Blockdit Logo (Mobile)
Antfield
•
13 ธ.ค. 2019 เวลา 14:58 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
หากตัวเรามี DNA คนอื่นปะปนอยู่ แล้วการตรวจ DNA จะยังเชื่อถือได้อยู่หรือไม่?? 😔
เมื่อชายอเมริกันที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือด พบว่าเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ที่ใช้ในการตรวจ DNA หรือแม้แต่ในอสุจิของเขานั้นไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป!!
สเปิร์ม ทำหน้าที่นำสารพันธุกรรมของเราส่งต่อให้ลูก แต่มาวันนี้สเปิร์มเราอาจไม่ได้มี DNA ของเราแล้ว, เครดิตภาพ: Christoph Burgstedt/iStock
Chris Long ซึ่งอาศัยอยู่ในเนวาดา อเมริกา ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษาโรคมะเร็งกระดูกเมื่อ 4 ปีก่อน โดยได้รับไขกระดูกจากผู้บริจาคซึ่งเป็นชายชาวเยอรมัน
Chris Long ผู้ที่ยอมให้มีการตรวจสอบ DNA ของเขาจนนำมาสู่ความจริงที่จะมาสั่นสะเทือนวงการนิติวิทยาศาสตร์, เครดิตภาพ: Tiffany Brown Anderson for The New York Times
สามเดือนหลังจากการรักษาเพื่อนที่ทำงานเขาได้ตั้งข้อสงสัยว่า แล้วเลือดของเขาหรือเซลในร่างกายเขาจะมี DNA ของผู้บริจาคผสมอยู่ด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ Chris Long ทำงานอยู่ที่สำนักงานอำเภอในรีโน เนวาดา และเพื่อนเขาที่ทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ก็เกิดความสงสัย
จึงเป็นที่มาของการเป็นอาสาสมัครเพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากการปลูกถ่ายไขกระดูก
ซึ่งผลตรวจก็เป็นดังคาด เลือดของเขาปรากฏ DNA ของเขาและของผู้บริจาค นั่นทำให้เขากลายเป็น chimera หรือคนที่มี DNA ของ 2 บุคคลในตัว
นอกจากเลือดแล้ว เนื้อเยื่อริมฝีปาก กระพุ้งแก้มและลิ้นก็มี DNA ของผู้บริจาค โดยมีสัดส่วนเพิ่ม-ลดตลอดการติดตามผล รวมถึง DNA ของสเปิร์มก็ยังมี DNA ของผู้บริจาคผสมอยู่
และหลังจากสี่ปีของการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ผลตรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสเปิร์มของเขามีแต่ DNA ของผู้บริจาค!! 😲
ยินดีด้วยคุณได้ลูกชาย... ของผู้บริจาคไขกระดูก, เครดิตภาพ: Tiffany Brown Anderson for The New York Times
ยิ่งทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า แล้วถ้าเขามีลูก เด็กคนนั้นจะยังเป็นลูกของเขาหรือเปล่า??
รวมถึงถ้าเกิดการเก็บหลักฐานการก่อคดีข่มขืนด้วยการตรวจเชื้ออสุจิ คนร้ายจะกลายเป็นชายชาวเยอรมันที่อายุน้อยกว่าเขาร่วมสิบปี!!!
แต่คำถามนี้คงตรวจสอบไม่ได้เพราะ Chris Long ได้ทำหมันถาวรตั้งแต่มีลูกคนที่ 2 ไปแล้ว
และในกรณีของ Chris Long ยังสร้างความกังวลให้กับเพื่อร่วมงานเขาในแผนกนิติวิทยาศาสตร์อย่างมาก เพราะว่า Chris นั้นถือได้ว่าไร้ตัวตนในทางนิติวิทยาศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว 😯
** นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของกรณีบุคคลที่มี 2 DNA **
แม้ว่าการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ลักษณะภายนอกหรือนิสัยใจคอของผู้รับบริจาค แต่ก็ได้ทำให้ผู้รับบริจาคมี DNA ของ 2 บุคคลในร่าง
ในปี 2004 เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์เกาหลีใต้งุนงงกับผลการตรวจ DNA ของหญิงสาวที่เสียชีวิตจากคดีชนแล้วหนี ซึ่งผลตรวจปรากฏ DNA ของทั้งชายและหญิงในตัวเธอ
จนต่อมาจึงได้รู้ว่าเธอเคยได้รับการถ่ายไขกระดูกจากพี่ชายนั่นเอง
ทุกวันนี้มีผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกปีละหลายพันคนทั่วโลก และกำลังจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ chimera หรือ คน 2 DNA มีมากขึ้น แถมข้อมูลของผู้บริจาคก็ยังเป็นความลับทางการแพทย์ ค่อนข้างยุ่งยากในการตรวจสอบ
แล้วการตรวจ DNA จะยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาคดีในชั้นศาลได้อีกหรือไม่???
เทคโนโลยีก้าวหน้า มาพร้อมกับปัญหา คำถามและความท้าทาย เราคงต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด 😔

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา