16 ธ.ค. 2019 เวลา 17:19 • บันเทิง
MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย ภูมิใจเสนอ
นิยายกำลังภายในเรื่องแรกของเพจ MovieTalk
“เงาวายุ” บทที่ 6
ความเดิม อี่ทงฮวงต้องเผชิญหน้ากับอิ่วชิ่วอิ่วคา ภายใต้การต่อสู้สองปะทะหนึ่ง อี่ทงฮวงไม่มีหนทางใดเอาชนะได้เลย จนกระทั่งอิ่วชิ่วอิ่วคาใช้พลังฝ่ามือประสานเข้าปะทะกับอี่ทงฮวง
แต่อี่ทงฮวงก็ใช้แผนลวงเอาชนะอิ่วชิ่วอิ่วคาได้ด้วยความประมาทของทั้งสองเอง จนอิ่วชิ่วอิ่วคาพ่ายแพ้ด้วยเข็มกระจกบินล่องหน จนพลังลมปราณแตกซ่านระเบิดร่างของทั้งอิ่วชิ่วอิ่วคาแหลกกระจาย แต่อี่ทงฮวงก็บอบช้ำภายในถึงกับล้มลง กระอักโลหิต ในขณะเดียวกันที่ไช้ตื้อเซ้งกำลังใช้วิชาตัวเบาดุจเหินบินมายังทิศทางเดียวกับที่อี่ทงฮวงล้มฟุบอยู่
“เงาวายุ” บทที่ 6 พันธมิตร ไม่ได้ให้เสียงภาษาไทย
อี่ทงฮวงยันกายขึ้น ต้องทรุดนั่งลง ล้วงมือเข้าไปในเข็มขัดที่เอว
มีถุงผ้าใบเล็กหนึ่งใบ
อี่ทงฮวงเทออกมา เป็นยาเม็ดกลมสีดำสนิท
อี่ทงฮวงกลืนเข้าไปหนึ่งเม็ด
ยาเม็ดสีดำสนิทนี้คือ “พหูโอสถ” ซึ่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชทานให้อี่ทงฮวงพกติดกาย
พหูโอสถมีสรรพคุณครอบจักรวาล ใช้รักษาอาการบอบช้าให้ทุเลาเร็วกว่าปกติด ทั้งยังสามารถเพิ่มพูนลมปราณที่สูญเสียไปได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังป้องกันพิษร้ายนานาชนิด แต่ไม่สามารถทานเกินสองเม็ดต่อหนึ่งวันได้
อี่ทงฮวง
อี่ทงฮวงจับพลังกดดันอันรุนแรงมหาศาลมากกว่าที่เคยพบพาน ประหวัดคิดในใจ
“พลังรุนแรงปานนี้ หรือจะเป็นไช้ตื้อเซ้ง?”
คิดได้ดังนั้นอี่ทงฮวงพยายามดึงพลังเฮือกสุดท้าย ยันกายขึ้นเพื่อไปให้ถึงประตูอุโมงค์ลับในแนวป่าไผ่ด้วยความยากลำบาก
พลังกดดันอันมหาศาลพุ่งใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว
ยื่อต๊อขบกรามกัดฟันด้วยโทสะ หันมากล่าวกับอาเฉ่า
“เราใคร่คิดฆ่าเจ้าบัดซบนั่น ด้วยน้ำเราเอง ไช้เจี้ยงไฉนให้เราคุมเชิงที่นี่”
อาเฉ่าย้อนถาม “หรือเจ้าไม่ได้ยิน ไช้เจี้ยงสั่งการไว้อย่างไร?”
“เราทราบ เราจึงมีโทสะมิสามารถทำอันใดได้ นอกจากรอคอย” ยื่อต๊อตอบ
อ๋องเอี๊ยะ และมั้วเง็กที่ฟังอยู่ด้านข้าง ต่างหันมาสบตากัน
อ๋องเอี๊ยะที่สังเกตก็เห็นม่านกังวลใจปรากฏในสายตาของมั้วเง็ก คล้ายจะมีน้ำตาเอ่อคลอ
จึงตบมือนางเบา ๆ เป็นการปลอบใจ พลางกระซิบบอกกับมั้วเง็กด้วยเสียงแผ่วเบา
“สวรรค์ต้องคุ้มครองทงฮวงแน่นอน เจ้าอย่าได้กังวลใจไป”
มั้วเง็กผงกศรีษะ วาจาปลอบประโลมนี้จากปากบิดานางจะมากจะน้อยก็ทำให้คลายกังวลใจได้บ้าง แต่ในใจมั้วเง็กก็ทั้งกังวลใจและห่วงใยอีทงฮวง
แม้ปลอบใจแก่บุตรี แต่ในใจอ๋องเอี๊ยะเองปรากฎเค้าลางพรั่นพรึงอยู่หลายส่วนเช่นเดียวกัน
อี่ทงฮวงลากสังขารอย่างยากลำบากเข้าไปในอุโมงค์ได้สำเร็จ ทันทีที่ปิดกลไกลประตูแนวป่าไผ่ลง
อี่ทงฮวงก็สติดับวูบล้มฟุบลงอีกครั้ง
สีหน้าของอี่ทงฮวงซีดเซียว ซีดเซียวดุจเช่นกระดาษขาว
แต่ตลอดร่างกายของอี่ทงฮวงเกิดเป็นไอเย็นขึ้นห่อหุ้มอี่ทงฮวงไว้ภายใน
อี่ทงฮวงที่ยามนี้ไม่รู้สึกตัว ไม่ขยับเคลื่อนไหวแล้ว
ไอเย็นปกคลุมทั่วร่างของอี่ทงอวง
ในไอเย็นมีคน
แต่คนไม่เคลื่อนไหว
ชั่วพริบตาที่อี่ทงฮวงสับกลไกประตู และล้มฟุบหมดสติ
เงาร่างของไช้ตื้อเซ้งก็ทะยานลงแตะพื้น หน้าลานป่าไผ่
พลังลมปราณของไช้ตื้อเซ้งระเบิดบริเวณที่ฝ่าเท้าตนเองแตะพื้นกระจายออกเป็นหลุมกว้าง
ไช้ตื้อเซ้งกวาดสายตารอบข้าง จมูกสูดได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง รอบบริเวณมีเศษเสื้อผ้าปลิวกระจายทั่วย้อมพื้นดินบริเวณนั้นจนแดงฉานจนไม่อาจจำแนกทิศทางใดได้
ร่างหนึ่งนอนทอดกายเป็นศพ ไช้ตื้อเซ้งเดินเข้าไปตรวจพบว่าเป็นจ๋อชิ่ว หลัวจากตรวจตราสภาพโดยรอบ ไช้ตื้อเซ้งก็ครุ่นคิดในใจ
“ดูจากสภาพการณ์แล้ว อิ่วชิ่วอิ่วคาคงต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามจนร่างแหลกกระจายไปแล้ว ยังมีจ๋อชิ่วที่กลายเป็นศพอีกหนึ่ง”
ไช้ตื้อเซ้งพยายามแกะร่องรอยของอี่ทงฮวง มันเดินไปจนถึงช่องอุโมงค์ลับหลังแนวป่าไผ่
อี่ทงฮวงที่สิ้นสติ ตลอดร่างไอเย็นห่อหุ้มกลับเป็นผลดีต่อสถานการณ์คับขันนี้
นั่นเพราะไช้ตื้อเซ้งไม่สามารถสัมผัสพลังกดดันของอี่ทงฮวงได้
ที่มันรู้สึกเป็นแนวป่าไผ่ไร้ผู้คนเท่านั้น
สภาพแวดล้อมยากจำแนกออก เศษโลหิต เสื้อผ้า ต้นหญ้าต้นไม้พังราบจนยากแกะรอยได้
“หรือมันจะหนีออกไปจากที่นี่แล้ว?”
ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด ไช้ตื้อเซ้งดีดทะยานตัวออกไปตามแนวถนนที่อี่ทงฮวงเคยใช้เดินทางไปพบกับซื่อหยุน
แต่โลดแล่นชั่วครึ่งธูปไหม้ ไช้ตื้อเซ้งก็หยุดร่างลง
“ผิดแล้ว ด้วยพลังตัวเบาระดับเรา อีกทั้งมันต้องบอบช้ำ ไฉนเรายังไม่พบร่องรอยของมัน หรือมันมิได้หลบหนีออกไป?”
"เมื่อมิได้หลบหนี เช่นนั้นศัตรูหลบหนีรวดเร็วไร้ร่องรอยเยี่ยงใด?"
ไช้ตื้อเซ้งครุ่นคิดถามตนเอง
"ทางลับ! ย่อมมีเส้นทางลับหลบหนีเป็นแน่"
ไช้ตื้อเซ้งครุ่นคิด
ทางลับนี้ย่อมต้องเชื่อมต่อกับสถานที่รอบตำหนักมังกรฟ้า มันอาจใช้เส้นทางอื่นหลบหนี
หากเราคิดหลบหนีเพื่อไปขอกองทัพมาช่วยเหลือมีแต่ต้องใช้ทิศใต้ ล่องเรือตามแม่น้ำไปถึงค่ายทัพด่านหน้า ป้อมพิทักษ์แดนใต้
ไช้ตื้อเซ้งผนึกลมปราณใช้วิชาถ่ายทอดเสียงพันลี้
“จ๋อคา เจ้าระวังตัวไว้ ศัตรูอาจมุ่งไปยังทิศทางที่เจ้าคุมเชิงที่ตำหนักทักษิณ จงทำลายเรือทุกลำที่จะใช้เป็นเส้นทางน้ำล่องสู่ป้อมพิทักษ์แดนใต้
จำไว้ศัตรูมีพลังฝีมือกล้าแข็ง ยากดูแคลน”
คลื่นเสียงถูกถ่ายทอดผ่านสายลมข้ามอากาศไปถึงจ๋อคาที่ขณะนี้ นั่งร่ำสุราอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งผ่านเสียงพันลี้ จ๋อคาผุดลุกขึ้นในใจครุ่นคิด
“ไช้เจี้ยงบัญชาเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าศัตรที่มาคราวนี้ตึงมือยิ่งนัก...”
กวาดตามองเห็นลิ่วล้อของตนเองสิบกว่าคน หันไปสั่งการ
“เจ้าสองคนไปทำลายเรือทุกลำที่จอดเทียบในโรงจอดเรือให้หมดสิ้น อย่าได้ให้ผู้ใดใช้งานได้”
ลิ่วล้อทั้งสองรับคำวิ่งตะบึงไปถึงโรงจอดเรือ โรยดินระเบิดในเรือทุกลำ หลังจากนั้นล้วงชุดไฟอออกมาจุด โยนคบไฟใส่เรือทุกลำ เสียงระเบิดดังสนั่น ประกายไฟลุกโชนเผาผลาญโรงเรือจนหมดสิ้น
เสียงระเบิดดังกึกก้อง เปลวไฟขับเน้นให้สว่างไสวดุจกลางวัน จนสามารถมองเห็นแต่ไกลจากเจดีย์แปดชั้น
ยื่อต๊อมองออกไปด้วยความตระหนก หันมามองอาเฉ่า
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“เจ้าถามเรา แล้วเราจะถามไถ่ผู้ใด?” อาเฉ่าย้อนถามกลับ
ยังไม่ทันต่อปากคำกัน ไช้ตื้อเซ้งปรากฏกายยืนด้านหลังของมันทั้งสองพลางกล่าวว่า
“เป็นเราสั่งการให้จ๋อคาทำลายเรือให้หมดสิ้นเอง ป้องกันมันใช้ทางแม่น้ำหนีไปขอความช่วยเหลือจากป้อมพิทักษ์แดนใต้”
จากนั้น ไช้ตื้อเซ้งเดินมาหยุดยืนที่หน้าอ๋องเอี้ย
“กระหม่อมล่วงเกินแล้ว...”
อ๋องเอี๊ยะ
จบคำใช้มือขวาคว้าข้อมือของอ๋องเอี๊ยะ แล้วดีดร่างทะยานขึ้นไป ร่างไช้ตื้อเซ้งพร้อมกับอ๋องเอี๊ยะพุ่งขึ้นไปพริบตาเดียวจากชั้นหนึ่งขึ้นไปถึงชั้นสาม ท่าร่างใกล้สิ้นสุด ไช้ตื้อเซ้งใช้มือซ้ายที่ว่างเกาะกับขอบกำแพงเจดีย์ชั้นสามหยิบยืมพลังดีดส่งขึ้นไปอีกครั้งก็ถึงชั้นหก
ไช้ตื้อเซ้งใช้มือซ้ายเกาะจับขอบกำแพงเจดีย์ชั้นหก ใช้พลังส่งตัวอีกครั้งก็ขึ้นมาพริ้วร่างลงมายืนบนลานชั้นแปด พร้อมกับอ่องเอี๊ยะที่ยังตื่นตระหนก ในใจครุ่นคิดหวาดหวั่นใจ
“บุรุษผู้นี้ทั้งพลังฝีมือ วิชาตัวเบา เรียกว่าเป็นสุดยอดฝีมือ พลังฝึกปรือต้องสูงล้ำ ทงฮวงมิใช่คู่มือของมันจริง ๆ”
เบื้องหน้าของไช้ตื้อเซ้งมีสตรีเลอโฉมสามนางยืนคอยอยู่
ด้านหลังของสตรีเป็นประตูบานใหญ่ บนบานประตูสลักมังกรไว้บานละหนึ่งตัว มังกรทั้งสองบนบานประตูคล้ายกำลังทะยานเข้าหากัน
สตรีทั้งสามนางประสานมือคำนับไช้ตื้อเซ้ง และอ๋องเอี๊ยะอย่างนอบน้อม
อ๋องเอี๊ยะเพ่งพินิจสตรีทั้งสามนาง ชมดูใบหน้าอันเลอโฉมของสตรีทั้งสาม ล้วนแต่มีความงามแตกต่างกันไป
เป็นความงดงามที่ดูลี้ลับ
เป็นความงดงามที่แฝงกลิ่นอายความตาย
เป็นความงดงามที่ดูยั่วยวนยากเบนสายตาหนี
แต่สตรีทั้งสามเมื่อยืนตรงหน้าพร้อมกัน ก็มิอาจหาคำบรรยายใดมากล่าวถึงความงดงามได้แล้ว
อ๋องเอี๊ยะแม้จะผ่านอิสตรีมามากมายเช่นบุรุษทั่วไป แต่กับสตรีทั้งสามนาง แม้จะงดงามปานใด อ๋องเอี๊ยะก็รับทราบถึงไอความตายอันพิสดารแผ่ซ่านมาถึงตนเองได้
“ความงามกับความตายคู่กัน เป็นเช่นนี้เอง” อ๋องเอี๊ยะเอ่ยขึ้น
สตรีทั้งสามหันมาสบตากัน หัวร่อคิกคัก เสียงหัวเราะชวนลุ่มหลง แต่แล้วก็หยุดเสียงลงเมื่อไช้ตื้อเซ้งเอ่ยถาม
“เป็นอย่างไร?”
“ยังหาทางเปิดประตูคลังมิได้” สตรีนางหนึ่งท่วงท่าดูลึกลับกล่าวขึ้น
“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดในคลังมังกรคู่ของเรา?”
“หรือว่า...” อ๋องเอี๊ยะถามเสร็จก็ลอบอุทานขึ้น
ไช้ตื้อเซ้งผงกศรีษะ
“พระองค์คาดเดาถูกต้อง ที่กระหม่อมต้องการคือผลึกตะวันจริง ๆ !”
พลางกล่าวต่อ “ผลึกตะวันนับเป็นศาตราวุธทรงอำนาจสั่นเทือนฟ้าสะท้านดิน หากใครได้ครอบครองเท่ากับมีขุมกำลังที่ไม่มีผู้ใดต้านทาน ยามใดที่ผลึกตะวันสะท้อนแสงตะวันในมุมที่เหมาะสม จะเปล่งแสงทำลายวัตถุที่ต้องแสง กระหม่อมต้องการผลักตะวันจริง ๆ”
“เฮอะ...เจ้าช่างเพ้อฝันยิ่งนัก เรารึจะมอบให้แก่เจ้า?”
ไช้ตื้อเซ้งย้อนถามอ๋องเอี๊ยะ “พระองค์ไม่มอบให้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต?”
“มิผิด” อ๋องเอี๊ยะรับคำอย่างเด็ดเดี่ยว น้ำเสียงทรงอำนาจ
“นับถือแล้ว...บุคลิกภาพ ความเด็ดเดี่ยวของท่านอ๋อง สมกับตำแหน่งรัชทายาทแห่งฮ่องเต้อย่างแท้จริง นับเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์...”
“กระหม่อมก็ทราบว่าพระองค์ยอมสิ้นชีวิต แต่ไม่มอบผลึกตะวันให้กระหม่อมอย่างแน่นอน แต่...กระหม่อมก็มีวิธีการของกระหม่อม”
ไช้ตื้อเซ้งหันมาทางอิสตรีทั้งสาม
“ฉุ่ยยี้ และ ซิงโท่ย เจ้าทั้งสองหมดภาระที่นี่แล้ว จงรีบไปเสาะหาองครักษ์อี่ทงฮวงให้พบ และใช้สิ่งที่พวกเจ้าคุ้นเคยที่สุดสังหารมันให้จงได้”
สตรีเลอโฉมเรือนร่างดูร้อนแรง และสตรีใบหน้าขาวใสคล้ายแปรเปลี่ยนได้เอ่ยรับคำแล้วพุ่งกายลงบันไดในทันที
ไช้ตื้อเซ้งหันมาสั่งสตรีที่มีดวงตาแวววับชวนลุ่มหลวง
“งั่งเจง (ดวงตา) เจ้าหาทางทำให้อ๋องเอี๊ยะตรัสวิธีเปิดกลไกประตูมังกรคู่ให้สำเร็จโดยเร็ว ยิ่งเวลาเนื่นนาน เหตุพลิกผันยิ่งมีเพิ่มขึ้น”
“รับทราบ” งั่นเจงประสานมือรับคำน้ำเสียงชวนรื่นหู
สั่งคำจบไช้ตื้อเซ้งก็ดีดกายโดดลงจากชั้นแปดของหอเจดีย์ ทางเดิมที่ตนเองขึ้นมา
ร่างพุ่งดิ่งลงมายังชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
ศรีษะพุ่งดิ่งลงมาก่อน ความเร็วเช่นนี้ต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ไม่ต่างจากโดดลงมาฆ่าตัวตาย คงกระแทกศรีษะแหลกราญ
แต่ไม่ใช่สำหรับชนชั้นเยี่ยงไช้ตื้อเซ้ง
มันสะบัดฝ่ามือลงไปพื้นล่างเบา ๆ ลมปราณกระแทกพื้นด้านล่าง เกิดเป็นลมหอบหนึ่งลอยขึ้น
ไช้ตื้อเซ้งตีลังกาหนึ่งรอบ เปลี่ยนท่วงท่าเป็นเท้าอยู่ล่าง ศรีษะอยู่บน อาศัยลมจากฝ่ามือที่ฟาดไปนั้นพยุงร่างตนเองไว้กลางอากาศ
ก่อนจะพลิ้วลง ฝ่าเท้าแตะพื้นอย่างนุ่มนวลดุจขนนกตกแตะพื้น
มั้วเง็กที่ชมดูอยู่อดตื่นตกตะลึงในพลังฝีมือไม่ได้ ในใจที่ประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งเกิดเค้าลางหม่นมืดขึ้นกว่าเดิม
แม้นางไม่ใช่ยอดฝีมือ แต่ก็ดูออกว่าพลังฝีมือของไช้ตื้อเซ้งเหนือกว่าอี่ทงฮวงมากมายนัก
“ไช้เจี้ยงฝีมือสูงส่ง ทอดตาทั่วแผ่นดินไม่มีผู้ใดทัดเทียบเปรียบติด” ยื่อต๊อกล่าวประจบ
“หากไม่มีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ ไหนเลยจะเป็นผู้นำกลุ่มสังหารของเราได้” อาเฉ่าตอบโต้ประจบบ้าง
ไช้ตื้อเซ้งหาได้แยแสคำประจบสอพลอไม่ พลางเดินมาทรุดนั่งบนบัลลังก์ที่อ๋องเอี๊ยะประทับอยู่ หันหน้ามาทางมั้วเง็ก
มั้วเง็ก
“โกวเนี้ยมิต้องกังวล พระบิดาของท่านยังปลอดภัยอยู่บนยอดเจดีย์ ขอให้โกว้เนี้ยอยู่ในความสงบ อย่าได้เล่นลวดลายใด ๆ กับข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด”
มั้วเง็กคิดจะตอบโต้ด้วยคำพูด แต่พอเห็นสายตาเย็นชาเวิ้งว้างห้าส่วน แฝงแววอำมหิตห้าส่วนก็อดเหน็บหนาวกาย คำพูดที่คิดตอบโต้ได้แต่เก็บไว้ในใจแล้ว
ไช้ตื้อเซ้งรินสุราใส่จอก ยกดื่มรวดเดียวหมดจอก สายตาเหม่อมองออกไป
สีหน้าเรียบเฉย ท่าทีสงบนิ่ง
แม้สงบนิ่งภายนอก แต่ภายในใจไช้ตื้อเซ้งกลับถูกก่อกวนอยู่สองสามส่วน ถึงกับแว่บหนึ่งคล้ายมีลางสังหรณ์อัปมงคลปรากฎขึ้น
ในใจมั้วเง็กเล่า?
ยามนี้แม้ร้อนรุ่มกังวลใจปานใด
แม้อยากถลันออกไปตามหาอีทงฮวงปานใด
แต่ยามนี้มั้วเง็กกลับสงบนิ่ง
มีแต่สงบนิ่งต่อหน้าคนร้าย
เมืาอทำเช่นนี้ ไช้ตื้อเซ้งย่อมไม่อาจทราบความผูกพันที่นางมีต่ออีทงฮวง
เพื่อมิให้ใช้นางเป็นเครื่องมือต่อรองภายหลัง
มีแต่วิธนี้ที่มั้วเง็กจะช่วยเหลืออี่เฮียได้
อ๋องเอี๊ยะที่ถูกชั้นบนสุดของเจดีย์ ในเวลานี้ทรุดนั่งบนเก้าอี้ ทั่วร่างถูกสกัดจุดไว้
ได้แต่ทรงกายนั่งนิ่งดุจรูปปั้น
งั่งเจงจับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอ๋องเอี๊ยะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนลุ่มหลงห้าส่วน เบาบางห้าส่วน
“เรียนท่านอ๋อง โปรดใช้พระเนตรของพระองค์จับจ้องมาที่ดวงตาของกระหม่อมด้วย”
อ๋องเอี๊ยะคล้ายต้องมนต์หลังจากได้ยิน ต้องใช้สายตามองลึกเข้าไปในดวงตาของงั่งเจงอย่างไม่รู้ตัว
งั่งเจง
ในดวงตาคล้ายมีสีดำ สีดำคล้ายกลายเป็นสีสันหลากสี
สีสันหลากสีคล้ายกลายเป็นดวงดาวพร่างพราย
ดวงตาอ๋องเอี๊ยะคล้ายเลื่อนลอยแล้ว
แต่ฉับพลันอ๋องเอี๊ยะก็พริ้มตาหลับลง
งั่งเจงใบหน้าเปลี่ยนสี ครุ่นคิดในใจ
“นับเป็นบุรุษที่จิตใจกล้าแข็ง สามารถขัดขืนต่อเนตรมนตราของเราได้ คิดสะกดจิตคนผู้นี้ไม่ง่ายดายดังที่ไช้เจี้ยงว่าไว้จริง ๆ “
นั่นเพราะอ๋องเอี๊ยะเป็นชนชั้นผู้นำ
เป็นรัชทายาทฮ่องเต้
เป็นมังกรในมวลหมู่มนุษย์
ทั้งทรงอำนาจ ทั้งน่าเคารพยำเกรง
จิตใจที่หนักแน่นมั่นคงดุจหินผา
เปี่ยมด้วยความยุติธรรม การณุยธรรม
เหล่านี้หล่อหลอมให้อ๋องเอี๊ยะแข็งแกร่งและน่าเคารพ
กับบุคคลเช่นนี้ ความแกร่งกล้าในจิตใจย่อมสูงส่งกว่าชนชั้นสามัญ
คิดสะกดจิตบุคคลเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ง่ายดาย
เรื่องราวในโลก เมื่อท่านคิดว่าง่ายดาย
มันกลับกลายเป็นยากเย็น
เรื่องราวที่ท่านคิดว่ายากเย็น
บางครั้งกลับง่ายดายจนเกิดคาดคิด
โลกมักเป็นเช่นนี้
คล้ายทดสอบผู้คน
คล้ายทดสอบจิตใจของคน
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb, The Arbuturian, theiapolis.com, tumblr.com, alamy.com, nytimes.com, variety.com, thecoast.ca, chinesedrama.info

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา