25 ธ.ค. 2019 เวลา 02:00 • การศึกษา
Series สรุปหนังสือ Homo Deus แบบยาว
บทที่ 3 : The Human Spark (1/3)
มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อันนี้ไม่ต้องสงสัย
แต่เพราะอะไร? อะไรทำให้มันมาถึงจุดนี้?
เพราะมนุษย์ มีกำลังและมีอำนาจ มากกว่าหมูที่เลี้ยงอยู่ในเล้างั้นหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ถ้าพละกำลังที่มากกว่านำมาซึ่งสิทธิ์ที่มากกว่า  (Might makes right) ก็แสดงว่า การที่อเมริกามีอำนาจมากกว่าอัฟกานิสถาน มันทำให้คนอเมริกามีคุณค่ามากกว่าหรือไม่?
แน่นอน ในทางปฏิบัติ คนอเมริกามีคุณค่ามากกว่าอัฟกานิสถาน เพราะมีเงินเยอะแยะมากมายใช้ไปในการลงทุนการศึกษา สุขภาพ ความปลอดภัย ให้กับเหล่าอเมริกันชน มากกว่าชาวอัฟกัน
ดังนั้นถ้าคนอเมริกาถูกฆ่าไปหนึ่ง ก็คง"เป็นเรื่อง" มากกว่าที่ชาวอัฟกันหนึ่งคนโดนฆ่า
การใช้พละกำลัง มาตัดสินคุณค่า จึงไม่น่าจะถูกต้อง...
ในบทนี้ Harari จะชักชวนผู้อ่านให้เราลองมาขบคิดกันครับ ว่ามีอะไรพิเศษในตัวมนุษย์ ที่ทำให้พวกเรากลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกใบนี้
เพราะว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณ? มีความรับรู้ตัว (Consciouness)? มี Free will? มีความฉลาดมากที่สุด? มีภาษา?
ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลยนะครับ
เราใช้อะไรมาตัดสินคุณค่าของคน?
ขั้นแรก ลองย้อนมาเทียบเรากับสัตว์ชนิดอื่นๆก่อน
เวลาเราพูดว่าเรามีคุณค่า มากกว่าหมูหรือ มากกว่าไก่ ...
เราอาจจะกำลังสื่อว่า เรา'เชื่อ' ว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเราที่พิเศษกว่าพวกมัน
เรามีสิ่งพิเศษ (magical spark) ที่พวกมันไม่มี สิ่งพิเศษนี้ จึงทำให้เรามีคุณค่ามากกว่า
คำถามคือ สิ่งที่พิเศษที่มีเฉพาะในมนุษย์นั้น คืออะไร (What is this unique human spark?)
ในมุมของศาสนาดั้งเดิมที่นับถือพระเจ้า (Traditional Monotheist) คำตอบนั้นก็คือ มนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะ (Eternal soul) ดังนั้นแม้กายหยาบจะสลาย แต่ Soul ยังคงอยู่ มันยังมีการเดินทางสู่การไถ่บาปและดินแดนของพระเจ้า ( realm of god )
ในขณะที่ หมู หรือ ไก่ ไม่มีวิญญาณ เมื่อมันตายไป มันก็ว่างเปล่า เราจึงไม่ต้องไปแคร์ชีวิตพวกมัน
ปัญหาคือ ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ จนถึงต้องนี้ ก็ยังหา 'วิญญาณ' ไม่เจอ
โอเค อาจจะอ้างได้ว่าความเจริญยังไม่ก้าวหน้าขนาดนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือหามันต่อไป (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)
ไม่เจอ ไม่ได้แปลว่า ไม่มี
ประเด็นคือ นอกจากวิทยาศาสตร์ยังคงหาสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณไม่เจอแล้ว  ยังมี อีกข้อแย้งสำคัญคือ  มันมีทฤษฏีหนึ่งที่ขัดกับความเชื่อเรื่องวิญญาณ
ทฤษฏีนั้นคือ ทฤษฎีวิวัฒนาการ  (Theory of Evolution)
Who’s Afraid of Charles Darwin
ผลสำรวจ ปี 2012 จาก Gallup พบว่า มีคนอเมริกาเพียง 15% ที่เชื่อในทฏษฎีวิวัฒนาการ และส่วนใหญ่ไม่เชื่อ Natural evolution เลย โดยไม่สำคัญว่าคุณจะเรียนสูงแค่ไหน มีคนเรียนจบสูงๆมากมายที่ไม่เชื่อทฤษฎีนี้
ที่น่าสนใจคือ ทฎษฎี Natural selection นั้นดูเป็นอะไรที่ทื่อๆ ตรงไปตรงมา หลัก Survival of the fittest ก็ดูเป็นอะไรที่ common sense มากๆ (สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวอยู่รอดได้เก่งกว่า ก็มีโอกาสอยู่รอดมากกว่า) แต่ทำไมทฏษฎีนี้จึงมีคนต่อต้านมากมาย?
ทำไมไม่ไปต่อต้าน ทฤษฎีสัมพันธภาพ? ทำไมไม่ไปต่อต้านทฤษฎี Quantum?
อย่างในทฤษฎี General relativity  มันถึงขั้นบอกว่าคุณสามารถยืดหดกาลเวลาได้ มันน่ากลัว เข้าใจยาก และแปลกกว่าตั้งเยอะ หรือใน Quantum ที่บอกว่าแมวตัวนึงมีสถานะได้ทั้งเป็นหรือตายในเวลาเดียวกัน ก็ดูน่ากลัวกว่าตั้งเยอะ
ทำไมทฤษฎีของ Charles Darwin จึงยังโดนต่อต้านเรื่อยๆ?
มันอาจเป็นเพราะ Theory of Evolution ตั้งอยู่ในพิ้นฐานที่ว่า วิญญาณไม่มีจริง (There is no soul) ซึ่งเป็นความคิดที่อันตรายมากในชาวคริสหรืออิสลามที่เคร่งครัด หรือในคนที่เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมี แก่นเอกลักษณ์สำคัญอยู่ภายใน (Individual essence) ที่ เป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดช่วงชีวิต และไปถึงหลังความตาย
Individual = in-dividual = my self is not divisible ->ตลอดช่วงที่ฉันเกิด และหลังความตาย ตัวฉันคืออันหนึ่งอันเดียว แบ่งแย่งไม่ได้ ฉันก็คือฉัน
ในช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ฉันก็มีอยู่ Soul เดียว ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ร่างกายจะชราภาพลง แม้อุปนิสัยจะเปลี่ยนไปตามอายุ แต่'แก่น' ของฉัน มันไม่เปลี่ยนแปลง
ในขณะที่ Evolution บอกเราว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบขึ้นจากส่วนเล็กๆต่างๆที่กระจัดกระจายและประกอบเข้าด้วยกัน
เช่น กว่าจะมาเป็นช้างตัวหนึ่งในปัจจุบัน มันก็ได้ผ่านกระบวนการวิวัฒนาการมายาวนานจากสัตว์โบราณ ผ่านการคัดเลือก ผ่านการผสมรวม การประสานแยก ของ Gene มานับไม่ถ้วน  (new combination of gene and split)
หรือ ดวงตามนุษย์นั้นก็พัฒนามาจากอวัยวะรับแสงของสัตว์เซลเดียว ที่ค่อยๆ Take shape and form ในช่วงหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมา ค่อยๆเกิดมาเป็นส่วนต่างๆ เช่น retina เลนต์ตา กระจกตา รวมๆเป็นตามนุษย์ในปัจจุบัน
ปัญหาคือถ้า Soul มีจริง แสดงว่า ดวงตาของมนุษย์นั้น เป็นส่วนหนึ่งของแก่น (Soul) ของมนุษย์ ก็แสดงว่ามันไม่สามารถแบ่งแยกได้แล้ว มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เราจะไม่สามารถพูดได้ ว่าดวงตา sapiens พัฒนามาจาก Homo erectus อีกที
ดวงตาของ Sapiens ก็เป็นของ Sapiens อยู่เดิม ไม่มีทางที่มันจะเกิดจากการพัฒนาการมาจาก Homo Erectus หรือลิงสายพันธุ์อื่นๆมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ Evolution จึงไม่สามารถ ยอมรับการมีอยู่ของ soul ได้
และ Soul ก็ไม่สามารถใช้หลัก Evolution อธิบายได้เช่นกัน
คุณอาจจะบอกว่า Soul เกิดจากว่า อยู่มาวันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นมาเอง  (one bright day) แต่ one bright day นั้นคืออะไร?
แสดงว่าเราอาจเคยมีบรรพบุรุษที่ไม่มี soul แล้วอยู่ดีๆ ก็มีมนุษย์รุ่นแรกที่มี soul ออกมา?
ชีววิทยาอธิบายได้ว่าทำไมเด็กคนนี้เกิดมาตาไม่เหมือนพ่อแม่ แต่คงอธิบายไม่ได้ว่าทำไมอยู่ดีๆเด็กคนนี้ก็มี soul เกิดขึ้นมาทันทีทันใด
ในมุมของ Evolution สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับเรื่อง 'แก่นของมนุษย์' ก็คือ DNA ซึ่ง DNA นั้นเป็นส่วนที่เกิดการ mutation มากมาย ไม่ใช่อะไรที่ 'ไม่เปลี่ยนแปลง และอยู่เป็นนิรัน' ดังเช่นจิตวิญญาณ
Why the Stock Exchange has no consciousness
Ok ถ้าคุณไม่ซื้อเรื่องวิญญาณแต่แรก คุณอาจจะบอกว่าที่มนุษวิเศษวิโส ได้นั้น เป็นเพราะเรามี Conscious mind (การรับรู้ตัว/สติ)
Consciousness ไม่ใช่สิ่งลี้ลับใดๆ เราต่างรู้จักมัน มันไม่ใช่ อวัยวะอันใดอันหนึ่ง มันคือ Flow of subjective experience (กระแสของความรู้สึก)
ในเรื่อง Soul อาจมีหลายๆคนไม่เห็นด้วย
แต่ในเรื่อง Consciousness ทุกคนต้องมี ทุกคนรู้สึกมัน และคงไม่มีใครปฏิเสธ
Conscious ประกอบด้วยองค์ประกอบสองอย่างหลัก Sensation (ความรู้สึก) and Desire (ความปรารถนา)
หุ่นยนไม่มี conscious เพราะอย่างเช่น หุ่นยนดูดฝุ่น มันคงไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ และคงไม่มีความปรารถนาใดๆ
แต่ในสัตว์ ดังที่ Harari Discuss ไปก่อนหน้าว่า Sensation and Emotion คือ Biochemical data-processing algorithm  ดังนั้น มันก็น่าจะมี conscious ด้วย เหมือนที่เรามี
แต่เพื่อเป็นการหาคำตอบ ว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ มีความรู้ตัว เหมือนมนุษย์หรือไม่
เราอาจย้อนมาหาคำตอบกันก่อนว่า Mind and Consciouness ของมนุษย์เกิดมาได้ยังไง ทำหน้าที่อย่างไร ? เพราะมีข้อมูลการศึกษาเรื่องนี้มากที่สุดแล้วในมนุษย์นั่นเอง
Consciousness (การรับรู้ตัวเอง) เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
นักวิทยาศาสตร์ยังรู้คำตอบน้อยมากเกี่ยวกับ Mind and Consciousness
เรารู้ว่ามันเกิดจาก Electrochemical Reaction ในสมอง แต่ก็ยังไม่มีใครรู้อยู่ดีว่า ไอ้ ปฏิกิริยานี้ ที่เกิดในส่วนต่างๆของสมอง ทำให้เรา "รู้สึกว่าเรามีตัวตน"ได้อย่างไร
ด้วยเทคโนโลยี fMRI scan เรารู้ว่าสมองแต่ละส่วน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอารมต่างๆยังไง เรารู้ด้วยซ้ำว่า สมองส่วนนี้สัมพันธ์กับคำว่า ฺBill Clinton  อีกส่วนสัมพันกับคำว่า Homer simpson
เรารู้ว่าเวลาเราโกรธ สมองส่วนไหนจะส่องสว่าง (ทำงาน/ Light up) มากขึ้น
ความก้าวหน้าเรื่องสมองนี้ ไปถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์สามารถทำนายอารมความรู้สึกคนได้ เพียงแค่ดู Light up area in the brain
เรารู้ว่าเวลาคนโกรธ เซลล์สมองส่วนไหนจะทำงานมาก
แต่ การทำงานบริเวณนี้ ทำให้เราเกิดอารมณ์โกรธได้ยังไง อันนี้เรายังไม่รู้
ความซับซ้อนนี้ มี Model ที่คล้ายๆกัน แต่มันก็อธิบายที่มาของ Consciousness ไม่ได้
เช่น ในตลาดหุ้น เวลาหุ้นหนึ่งตัวมีการซื้อขายหนึ่งครั้ง มันเข้าใจง่าย แต่เมื่อเกิดการซื้อขายนับล้านครั้งด้วยเวลารวดเร็ว มันก็ไม่มีใครที่จะเข้าใจความซับซ้อนของตลาดหุ้นได้
สิ่งที่เกิดในตลาดหุ้น ก็คือการทำงานของ Electronic signals ที่ซับซ้อน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจ
ถ้าสมมติทุกคนพร้อมใจกันขายหุ้น มันก็จะเกิดวิกฤติ แต่ถามว่าตัวตลาดหุ้นเกิด "ความรู้ตัว" มั้ย ว่าตัวมันวิกฤติแล้ว ก็ไม่ คำว่า วิกฤติ มันคือคำที่มนุษย์เอาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
แต่ ความโกรธ ของมนุษย์ ที่เกิดจากการทำงานของเซล์ประสาทนับล้านๆตัวนั้น ซึ่งก็เป็นกระแสไฟฟ้า มันดันทำให้เรา รู้สึก และความรู้สึกนี้ก็เป็นของจริง
ทำไมเซลล์ที่ทำงานมากมายนี้ มันต้องทำให้เรารู้ตัวด้วย...ในปี 2016 ที่หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้น มันก็ยังคงไม่มีคำตอบใดให้เรื่องนี้
The Equation of Life
สรุปว่า นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่า กลุ่มกระแสไฟฟ้าที่เกิดจาก Neuron ทำงาน ให้เกิดความรู้สึก (Emotion & Consciousness)ได้อย่างไร
คำถามต่อมา คือ การมีอยู่ของ 'ความรู้สึก' มีประโยชน์อะไร?
เรามีความรู้สึก กลัว โกรธ เศ้รา สุขใจ เหนื่อย หิว กระหาย ไปเพื่ออะไร?
คำตอบนั้นดูเหมือนง่าย เรามีความรู้สึกเพื่อการอยู่รอด ถ้าเราหิว เราก็จะไม่ไปหาอาหาร ถ้าเราไม่เจ็บ เราก็จะไม่รู้ว่ามันอันตราย ถ้าเราไม่กลัว เราอาจเอาตัวไปเสี่ยงตาย ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี
ปัญหาคือ เรามีความรู้มากขึ้น... ลองคิดดูว่า คุณจำเป็นต้องรู้สึก "กลัว" จริงๆเหรอ เวลาจะวิ่งหนีสิงโตวิ่งเข้ามา
วิทยาศาสตร์อธิบายว่า เวลาเรามองเห็นสิงโตกำลังวิ่งเข้ามา แล้วเราหนี กลไกคือแสงกระทบสิงโต สะท้อนเข้ามายัง Retina ของเรา , สัญญาณภาพจาก retina ส่งไปแปลผลที่สมอง สมองสั่งให้หัวใจสูบฉีดเร็วขึ้น สั่งให้ต่อมหมวกไตหลั่ง Adrenaline มากขึ้น สมองสั่งการมายังกล้ามเนื้อ ส่งผลลัพธ์สุดท้ายคือ คนที่วิ่งหนีสิงโตด้วยใจเต้นเร็วและกล้ามเนื้อที่ทำงานอย่างฉับไว
คำถามคือ 'ความรู้สึกกลัว' อยู่ที่ขั้นไหนของกระบวนการวิ่งหนีสิงโต?
เราจะรู้สึกกลัวไปทำไม เพราะกลไกการทำงานของร่างกายนั้น ไม่เห็นต้องใช้ความรู้สึกกลัวเลย เราก็หนีสิงโตได้
หรือเรามีรู้สึก เพื่อให้สมองสั่งการได้ ?
ก็คงไม่ เพราะกิจกรรมต่างๆในร่างกาย เช่นหัวใจสูบฉีด ต่อมหมวกไตหลั่ง adrenaline ก็เกิดขึ้นก่อนความรู้สึกเสียอีก
หรือ ความรู้สึก ทำให้เราจำได้ ทำให้เรามี plan ในการรับมือกับสิ่งต่างๆ?
เช่น สมมติผู้ชายคนนั้นเห็นสิงโต แล้วเค้าจำได้ว่าเมื่อปีก่อนป้าของเขาโดนสิงโตเขมือบไป เขาจึงเกิดจินตนาการว่าสิงโตตัวนี้ มันจะมาเขมือบเขาต่อแน่ๆ การที่เขาเห็นสิงโต จึงทำให้สมองของเขาตื่นตัว ทำให้คิดถึงอันตรายจากสิงโต ทำให้เขาคิดแผนว่าจะรับมือหรือหนีสิงโตต่อไป
ปัญหาก็คือ ทั้งความจำ จินตนาการ การวางแผนต่างๆ นั้นก็อยู่ในสมองของเรา เป็นผลผลิตของกระแสไฟฟ้าที่ generate จาก neuron หลายร้อยพันล้านตัวเช่นกัน
ดังนั้นแม้เราจะบอกว่า Reaction ต่อสิ่งโตเกิดจากสมองของเราสั่งเอง จากความคิดความทรงจำ มันก็เกิดจากข้อมูลที่เก็บไว้ในสมอง ข้อมูลพวกนี้ก็แค่ส่งสัญญาณให้เกิดการกระทำต่างๆของร่างกายก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องทำให้เรา รู้สึก เลย
ถ้าเรายึดหลักว่า สิงมีชีวิต คือ algorithm - การกระทำต่างๆนั้นเป็นขั้นตอน และสามารถเขียนออกมาเป็นแผนภาพ หรือสูตรทางคณิตศาสตร์ได้
ความรู้สึกจะอยู่ในขั้นตอนไหน?
การที่เราหนีสิงโตนั้น มันมีขั้นที่ว่า  ความกลัว ไปสั่งให้ ต่อมหมวกไต หลั่ง adrenaline รึปล่าว? ก็คงไม่
หรือ ความรู้สึกทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นตัวเอง (Emotion -> Self - Consciousness) ถ้าเรารู้จักตัวเราเอง เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้?
ก็อาจไม่จำเป็น เช่น ในกรณีของรถยนต์ไร้คนขับของ Google, เราก็พบว่ารถแต่ละคันสามารถเคลื่อนที่ได้เอง และ interact กันได้เอง โดยไม่ชนกันได้ ผ่าน algorithm ต่างๆ
1
โดยตัวรถของ google มันไม่จำเป็นต้อง รู้สึกกลัว ว่ามันจะเกิดรถชน
เอาหละ งั้นลองมาหามุมมองใหม่ ลองตั้งคำถามว่า
"มีอะไรไหม ที่เกิดขึ้นเฉพาะในจิตใจ โดยไม่เกิดขึ้นในสมอง?"
(“What happens in the mind that doesn’t happen in the brain?”)
มีอะไรบ้าง ที่เราต้องใช้ ใจ สร้างสรรออกมา ต้องใช้ ใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน?
ซึ่งเราก็ดันค้นพบว่า การที่เราสามารถคิดสร้างเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ออกมาเป็นเรื่องใหม่ๆได้นั้น ก็มีคำอธิบายแล้ว ว่ามันเกิดจากการมี synapse เพิ่มขึ้นใหม่ ระหว่าง Neuron ตัวต่างๆในสมอง
ก็กลายเป็นว่า ความสร้างสรรใหม่ๆ แนวคิดใหม่ สิ่งใหม่ๆนั้น มันไม่ได้เกิดที่ใจ
มันเกิดในสมองอยู่ดี
หรือว่าความรู้สึกไม่่มีอยู่จริง?
ในเมื่อเราหาแหล่งที่มาของความรู้สึกไม่ได้ เราอาจจะละทิ้ง (discard) มันไปเลยตามหลักวิทยาศาสตร์
เหมือนที่สมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแสงต้องมีตัวกลาง และตัวกลางที่ว่าคือ Ether แต่เมื่อทฤษฎีต่างๆของแสงพัฒนามากขึ้น และไม่พบสักทีว่า ether มีอยู่จริง พวกเขาก็แค่ทิ้งมันไป
หรือแม้แต่ในทางสังคมศาสตร์ ที่คนสมัยก่อนเชื่อในเรื่องพระเจ้า ในเรื่องจิตวิญญาณกันอย่างจริงจัง
โอเค แม้ในสมัยนี้ความเชื่อนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน แต่มันก็เจือจางลง ปัจจุบันนี้ เวลาคุณบอกว่าอเมริกาชนะสงคราม คงไม่มีตำราวิชาประวัติศาสตร์เล่มไหนไหนเขียนว่า เป็นเพราะพรจากพระเจ้า
ดังนั้นแล้ว เราเอาความรู้สึก ไปไว้ตำแหน่งเดียวกับเรื่องราวของวิญญาณ พระเจ้า ได้หรือไม่?
ไม่ง่ายขนาดนั้น ปัญหาก็คือ ในเรื่องความเชื่อพระเจ้า วิญญาณ ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริง
แต่ "ความรู้สึก (Emotion)" มันโคตรจริงและจับต้องได้
เราบาดเจ็บ เรากลัว เราตื่นเต้น ทุกคนต้องเคยพบมัน และไม่มีใครปฏิเสธความรู้สึกได้ ว่ามันไม่มีอยู่จริง
นอกจากว่าเราไม่สามารถละเลย การมีอยู่จริงของความรู้สึกได้ เพราะ  เรารู้สึก จริงๆ
ปัญหาอีกอย่างคือ หากเราละทิ้งความรู้สึก และจะอธิบายมันด้วย process การทำงานของสมองล้วนๆ กล่าวคือ ถ้าเราปฏิเสธความสำคัญของมันไปเลย มันก็ไม่ได้ เพราะในการคิดด้านศีลธรรมและจริยธรรมของมนุษย์นั้น ล้วนตั้งอยู่บนความรู้สึกทั้งสิ้น
ถ้าเราทิ้่งความรู้สึกไป เราจะเอาอะไรมาตัดสินความถูกต้องเหมาะสมของเหตุการณ์ต่างๆ เช่น
เรารู้ดีว่าการทรมาน การข่มขืน กระทำชำเราเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมาก แต่หากเราละเรื่องความรู้สึก และไปมุ่งแต่สัญญาณในสมอง เราก็จะเห็นแค่การทำงานของสมอง บริเวณหนึ่ง ของneuron กลุ่มหนึ่ง
เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่ามันผิดศีลธรรม เพราะที่เราเห็นมันก็แค่ กลุ่มก้อนเซลล์ประสาทที่กำลังทำงาน
สุดท้ายแล้ว ทฤษฎีที่ดีที่สุดที่เรามีในการอธิบายเรื่องของความรู้สึก กลับเป็นว่าความรู้สึกคือ By product ของการทำงานของสมอง ...เหมือนเสียงเครื่องบิน Jet ที่ไม่ได้มีประโยชน์อันใด (Consciousness may be a kind of by-product from innumerable neuron firing)
ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นมาในสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้นับพันล้านชนิด เกิดสัตว์ที่มีพัฒนาการมาหลายร้อยล้านปี ... มันเป็นแค่ Mental Pollution
ติตตาม อัพเดท บทความอื่นๆ ได้ที่ FB : ในโลกของคนอยู่เป็น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา