2 ม.ค. 2020 เวลา 08:00 • บันเทิง
[Review] Roma (2018) – หุบเขาที่แก่แต่ก็ยังเขียวชอุ่ม
เข้าใกล้ช่วงงานประกาศรางวัลเข้าไปทุกขณะ ในช่วงที่ตัวเรากำลังไล่ดูหนังที่มีสิทธิเข้าชิงออสก้าร์ครั้งที่ 92 นี้ เป็นช่วงเวลาที่ระบบสตรีมมิ่งหลายแพลทฟอร์มออกผลงานน่าสนใจและเป็นตัวเต็งมาอย่างเรื่อย ๆ หวนกลับไปดูเมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมา จึงขออนุญาตหยิบหนังเรื่อง ๆ แรกที่นำมาลงแพลทฟอร์ม Netflix และเป็นตัวเต็งสำคัญในออสก้าร์ปีนั้น
มันคือหนังสัญชาติเม็กซิกันจากเจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม อัลฟองโซ่ คัวรอง ที่เข็นผลงานล่าสุดในการเล่าเรื่องชีวิตสาวใช้ในประเทศเม็กซิโกอย่าง Roma ออกมา โดยที่นอกจากจะกำกับแล้ว เจ้าตัวยังเขียนบท ร่วมตัดต่อและถ่ายทำด้วยตนเองอีกด้วย และมันก็กวาดคำชมและรางวัลจากเทศกาลหนังมาแล้วทั่วโลก
Roma บอกเล่าเรื่องราวผ่านครอบครัวผิวขาวกลุ่มหนึ่งในเมืองกลางกรุงโรมา ประเทศเม็กซิโกในปี 1970 โดยมีสาวใช้อย่าง เกลโอ เป็นศูนย์กลาง ผ่านเรื่องราวใช้ชีวิตมากมาย ทั้งเป็นวิถีชีวิตที่จืดชืด ทั้งต้องดูแลครอบครัว ดูแลบ้าน ซักผ้า แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้เปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัว ขณะที่เธอได้ใช้ชีวิตส่วนตัวของเธอแต่ครอบครัวที่เธอรับใช้ก็กำลังเหมือนจะมีปัญหาที่ทำให้สั่นคลอนเช่นเดียวกัน
ความเนิบช้าของ Roma ประกอบกับภาพสีขาวดำไร้สีสันทำให้ตัวเราต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องราวอันเนิบช้าที่ไร้การปรุงแต่งอยู่เหมือนกัน แต่ผลที่ได้มันคือความเป็นธรรมชาติในทุกฉาก-ทุกเฟรมของมัน มันคือความยิ่งใหญ่ทรงพลังที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้บนจอเงินและภาพขาวดำของมันก็ส่งเรื่องราวให้ได้มากยิ่งขึ้น หนังดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงไม่หวือหวา มีการสลับเส้นเรื่องของเกลโอและครอบครัวอยู่บ้าง ก่อนที่เรื่องจะขมวดเข้ามาสรุปในช่วงท้าย
ส่วนที่ดีของหนังเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นการกำกับของ อัลฟองโซ คัวรอง ที่คุมบรรยากาศและภาพรวมของเรื่องราวได้อย่างแน่นอนและมั่นคงกับสิ่งที่ดำเนินไป เราแทบไม่เห็นอะไรหวือหวามากนอกจากวิถีชีวิตของสาวใช้และครอบครัวที่เธออยู่ที่เป็นไปอย่างธรรมดาแต่มันก็เป็นบันทึกหน้าสำคัญที่ถูกฉาบไว้บนแผ่นฟิล์มได้อย่างสวยงามและน่าประทับใจ เราไม่อาจเห็นหนังดราม่าเรื่องไหนที่เล่าด้วยวิธีนี้ที่ดูธรรมดาแต่ตราตรึงขนาดนี้มาก่อน
การกำกับส่งผลให้หลายส่วนในหนังมีพลังตามไป ทั้งการถ่ายด้วยลองเทคที่เรื่องนี้มีไม่มากแต่ก็ขับเน้นให้เราได้อยู่ ได้ทุกข์ ได้สุขไปกับตัวละครแทบจะพร้อมกัน รวมถึงเสียงประกอบที่แทรกอยู่ในแทบทุกฉาก มันคือ เสียงแห่งชีวิต ที่ทำให้หนังจากเรื่องแต่งนี้ดูเป็นธรรมชาติและสมบูรณ์แบบมากเมื่ออยู่บนจอเงินขนาดยักษ์
ส่วนเสียของหนังเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นความธรรมดาที่เนิบช้าของมัน แต่เราก็พอเข้าใจได้ มันคือการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของมนุษย์กลุ่มนึงที่เล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ปรุงแต่งจนมากเกินไป ในสายตามันอาจเป็นงานดราม่าที่ค่อนข้างเสพย์ยากแต่ในแง่นึงมันคือความสุนทรีย์ทางภาพยนตร์ที่ดีมากครั้งนึง หาก อัลฟองโซ เคยพาเราไปอวกาศได้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูมาแล้วครั้งนึง เขาก็ยังสามารถพาเรากลับไปยืนบนโลกด้วยสายตาที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ตอน Gravity เลย
ตอนดูได้หนังเรื่องนี้ครั้งแรกในในโรงภาพยนตร์สกาล่าที่สยาม ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกทำให้เราสงสัยว่า ทำไมจอถึงสีซีดเซียวขนาดนี้ ทำไมเครื่องฉายถึงไม่สว่าง มันเป็นขาวดำปนเทาซีด ๆ ไม่ได้ขาวดำจัดแบบที่เราเคยดู Schindler’s List แต่พอเราซึมซับกับเรื่องราวไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เราเข้าใจในความราบเรียบของวิถีชีวิตที่ไม่มีการปรุงแต่ง บางครั้งเราไม่อาจคาดเดาได้ถึงจุดหมายข้างหน้าที่เราจะได้ไป มันคือชีวิตที่เกินคาดเดา ในบางฉากอาจมีเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยหาเหตุผลไม่ได้ ชีวิตเราก็เช่นกัน บางฉากของชีวิตก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน รวมถึงมนุษย์แต่ละคนก็ไม่ได้มีแต่ด้านดีและเลวเสมอไป การตัดสินใจของคนแต่ละคนย่อมมีปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกกันแตกต่างออกไป ทำให้มนุษย์เราไม่ได้มีแต่ด้านดำหรือด้านขาวไปซะหมด บางครั้งก็มันก็เทา ๆ แบบที่หนังนี้เป็น
สรุปแล้ว Roma คือหนังดราม่าน้ำดี อาจจะเนิบช้าไปบ้าง แต่ด้วยการกำกับของอัลฟองโซ คัวรองที่ละเมียดละไมในการถ่ายทอดซึ่งวิถีชีวิตปุถุชนทั้งชนชั้นสาวใช้และครอบครัวที่อาจดูมั่นคง แต่ภายในย่อมมีความรับผิดชอบและปัญหาภายในที่รอวันแตกร้าว หากไม่ได้แก้ไข หนังเรื่องนี้คือเหตุผลชั้นดีที่เรายังต้องดูภาพยนตร์ในโรงไม่ใช่แค่บนเน็ตฟลิกซ์ ทั้งงานด้านภาพ องค์ประกอบของมัน งานด้านเสียง ไม่มีทางสมบูรณ์ไปกว่าการดูบนจอใหญ่อีกแล้ว
4.5 / 5
Roma (2018)
Directed & Written by Alfonso Cuarón

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา