7 ม.ค. 2020 เวลา 14:23 • บันเทิง
𝗿𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄 𝗯𝘆 𝗰𝗮𝗸𝗲. 𝗘𝗣.𝟮
released date: 6 Sep 2019
𝗞-𝟭𝟮 (album) - 𝗠𝗲𝗹𝗮𝗻𝗶𝗲 𝗠𝗮𝗿𝘁𝗶𝗻𝗲𝘇
หลายคนน่าจะไม่รู้จัก Melanie Martinez เล่าก่อนว่าเธอผู้เข้าแข่งขัน The Voice Season 3 ได้ที่ 6 (จริงๆ ควรไปได้ไกลกว่านี้ถ้าอดัมไม่เลือกเพลงผิด = =) นี่ก็รู้จักแล้วก็ติดตามมาตั้งเเต่ตอนนั้นแหละ ด้วยความที่น้ำเสียงโคตรมีเอกลักษณ์ คือเสียงเป็นแนวอินดี้ป็อปสไตล์ Billie Ellish, Halsey, Lorde สไตล์แนวๆ นี้ ประกอบกับการวาง character ที่เป็นเหมือนเด็กผญ ตัวเล็กๆ คนนึงที่โลกสีชมพูสดใส วิกสองสีแบ้วๆ เเต่เพลงแต่ละเพลงที่นางแต่งนี่คือความหมายลึกซึ้งผสมไปด้วยกลิ่นอายความหลอนมาก แบบดูชื่อเพลงเเล้วเดาไม่ออกด้วยซ้ำว่าเพลงนี้จะเป็นอะไร -0-
อัลบัม “K-12 (K through 12)” นี่เป็นอัลบัมชุดที่ 2 หลังจากที่อัลบัมแรก “Crybaby” ปล่อยมาเมื่อปี 2016 อัลบัมแรกนั่นเหมือนเป็นการสร้างตัวละครขึ้นมาตัวนึงชื่อ ‘Crybaby’ ซึ่งก็คือเมลานี่เองแหละ แล้วก็เล่าชีวิตของตัวละครว่าเป็นมายังไง ชีวิตวัยเด็กเป็นไง พอมาถึงอัลบัมชุดนี้ก็คือเป็นภาคต่อของอัลบัมแรก ที่เล่าชีวิตในรั้วโรงเรียน ซึ่งอัลบัมนี้พิเศษมากๆ คือนางทำหนังประกอบเพลงด้วยจ้า หนังคือชม ครึ่ง ยอมใจมาก
อันนี้หนัง ไปดู ⇩:
ต่อไปคือรีวิว K-12 ทีละเพลงจ้า ไปโลด
1. 𝙒𝙝𝙚𝙚𝙡𝙨 𝙊𝙣 𝙏𝙝𝙚 𝘽𝙪𝙨 🚌
เพลงนี้ก็คือเป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการ don’t give a fuck ในเรื่องต่างๆ ในชีวิต จริงๆ มันคือเพลงเปิดของหนังอ่ะแหละ ฉากกำลังนั่งรถโรงเรียนไรงี้ เเล้วก็เล่าเหตุการณ์บนรถต่างๆ จริงๆ คือต้องการจะสื่อว่าเรื่องประสาทแดกต่างๆ ในชีวิตบางทีก็ไม่ต้องไปสนใจมันมากก็ได้ ปล่อยๆ ผ่านไปบ้าง เเล้วชีวิตจะดีมีความสุข ตัวเพลงก็ดี เอาทำนองมาจากเพลงเด็ก ‘Wheels On The Bus’ บางส่วน เป็นเพลงเปิดอัลบัมที่โอเคอยู่ ไม่ได้ดีที่สุดในอัลบัมแต่ก็อยู่ในกลุ่มดี ติดหู
And I'm trying not to look a row behind me
'Cause Jason's got his ass on the glass
2. 𝘾𝙡𝙖𝙨𝙨 𝙁𝙞𝙜𝙝𝙩 🤺
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบฉากละครไทยแนวแย่งแฟนกัน เนื้อหาก็คือบรรยายฉากตบตีกันแย่งผู้ชายในหนัง ไม่ค่อยมีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจเท่าไหร่ 5555 ตัวเพลงก็คือธรรมดา หรือฟังเเล้วไม่ค่อยอินก็ไม่รู้ ในตัวหนังชอบฉากเมลานี่ใช้ผมรัดคอผู้หญิงอีกคน มีเสียงดังกรอบแกรบเลย เเล้วคือเสียงมันก็อยู่ในเพลงด้วย 😱
The teacher broke us up after I broke her
And my one true love called me a monster
3. 𝙏𝙝𝙚 𝙋𝙧𝙞𝙣𝙘𝙞𝙥𝙖𝙡 👨🏻‍💼
เพลงนี้เป็นเพลงเเต่งมาเพื่อด่าโดยเฉพาะ 5555555 ท่อนด่าคือเดือดมาก เนื้อหาในหนังมันคือมีครูใหญ่ไล่ครูที่เป็นเพศที่ 3 ออก เมลานี่เลยร้องเพลงนี้ด่าครูใหญ่ เดือดมะ 😂 ละคือตอนจบนางวางยาพิษครูเลยจ้า /คนจริงมากๆ เพลงนี้เนื้อหาจริงๆ คือใช้ด่า Donald Trump ที่ออกกฎหมายนู่นนี่นั่นออกมาทั้งๆ ที่ประชาชนไม่เห็นด้วย (ทำไมมันเหมือนใช้ด่าประยุทธ์ได้ด้วยหว่า 5555) เนื้อเพลงก็คือมีคำด่าประมาณร้อยคำได้ คือด่ารัวๆ แบบรัวๆ จริงๆ เเล้วก็ในหนังได้เห็นนางเต้นด้วย คือเป็นอะไรที่ดีงามเพราะปกติไม่เคยเห็นเต้นมาก่อน ส่วนความติดหูของเพลงคือติดหูขนาดใช้เป็นเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าเเล้วจ้า 😂
What if I had told your mother
Her son was a cruel motherfucker?
4. 𝙎𝙝𝙤𝙬 & 𝙏𝙚𝙡𝙡 🎎
ซิงเกิลแรกของอัลบัม เพลงนี้เมลานี่แต่งตัดพ้อกระแสสังคมที่คอยจ้องจับผิดพวกดาราหรือคนมีชื่อเสียง ด้วยความที่นางมีคดีเมื่อปีก่อนที่โดนกล่าวหาว่าไปข่มขืนเพื่อนสนิทสมัยเด็กคนนึง เเล้วเพื่อนคนนั้นออกมาแฉ นางก็เลยต้องออกมาแก้ข่าวเเล้วพักเรื่องงานไปสักพัก ก็เลยได้ออกมาเป็นเพลงนี้ ตัวหนังเปรียบเทียบการเป็นดารากับการเป็นหุ่นเชิด คือโดนเชิดไปวันๆ ให้เป็นในแบบที่คนในสังคมคิดว่าเป็น ทั้งที่จริงๆ นางก็เป็นมนุษย์คนนึง จริงๆ เพลงนี้เป็นเพลงที่ดูเหมือนจะฮิตที่สุดในอัลบัม เเต่ทำไมเราฟังเเล้วเฉยๆ หว่า รู้สึกว่าธรรมดาไปหน่อยทั้งการร้องทั้งทำนอง เเต่เนื้อหาจัดว่าดี
I'm just like you, you're like me
Imperfect and human, are we?
5. 𝙉𝙪𝙧𝙨𝙚’𝙨 𝙊𝙛𝙛𝙞𝙘𝙚 💉
เพลงนี้คือเป็นเพลงที่ชอบตั้งเเต่ครั้งเเรกที่ฟังเลย (แต่เพลงอื่นคือยิ่งฟังเเล้วยิ่งติดหูไง) แถมตัวหนังในส่วนของเพลงนี้คืออลังการสุด choreography คือกราบคนคิดท่ามาก เป็น long take ที่ต้องเป๊ะจริงๆ ถึงออกมาดีขนาดนี้ ตัวเนื้อเพลงเนื้อหาเกี่ยวกับการบ่นตัดพ้อในสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องจำใจทำ คือเนื้อเพลงมันลึกซึ้งจนไม่เกี่ยวไรกับเนื้อเพลงเลย ชอบการเล่นกับความกลัวโดยการเปรียบเทียบกับความกลัวในการเข้าห้องพยาบาลสมัยตอนอยู่โรงเรียนประถม แบบเห็นภาพเลย 😱 เพลงนี้คือใช้ซาวน์ประกอบต่างๆ แบบเยอะมาก ทั้งเสียไอ เสียงสำลัก เสียงดื่มน้ำ คือเห็นภาพตั้งเเต่ยังไม่ได้ดูหนังเลย ชอบมากกกก
I'm pale as the loose-leaf paper they grow
From hollowing out all my lungs in the snow
1
6. 𝘿𝙧𝙖𝙢𝙖 𝘾𝙡𝙪𝙗 🎭
เพลงนี้แต่งเพื่อด่าเพื่อนคนเดิมกับในเพลง Show & Tell คืออารมณ์จะสื่อว่ากูไม่เคยเกี่ยวอะไรกับดราม่าที่แกสร้างขึ้นเลย อย่ามโน ทำนองนี้ เพลงนี้ production ค่อนข้างต่างจากเพลงอื่นๆ ในอัลบัม คือเหมือนมีความเล่นใหญ่ในทั้งดนตรีกับการร้องมากกว่า ในหนังฉากของเพลงนี้ก็จากคราวที่แล้วหลังวางยาพิษไม่สำเร็จ คราวนี้นางเลยใช้ให้นักเรียนในโรงเรียนไปฆ่าครูใหญ่ซะเลยจ้า ครูใหญ่สู่ขิต
Everyone's so soft, everyone's so sensitive
Do I offend you? You're hanging on my sentences
7. 𝙎𝙩𝙧𝙖𝙬𝙗𝙚𝙧𝙧𝙮 𝙎𝙝𝙤𝙧𝙩𝙘𝙖𝙠𝙚 🍰
เพลงนี้คือเฉยที่สุดในอัลบัม แบบมันฟังผ่านๆ ได้นะ ไม่ถึงกับต้องกดข้าม แต่มันไม่ค่อยมีจุดน่าสนใจเท่าไหร่ เเต่เนื้อหาเพลงนี้คือจัดว่าดีเป็นอันดับต้นๆ ของอัลบัมเลย เนื้อหาบอกเกี่ยวกับการแต่งตัวของผู้หญิงที่ไม่ว่าจะแต่งตัวยังไงก็ไม่ควรถูกข่มขืนไรงี้ เป็นเพลงที่เนื้อหาลึกซึ้งจนดูไม่ออกจากเนื้อเพลงอีกแล้ว 55555 ใน MV เพลงนี้สิ่งที่ชอบที่สุดคือสระว่ายน้ำ อยากมีสระว่ายน้ำกลางบ้านอย่างงี้บ้าง ~
Instead of making me feel bad for the body I got
Just teach him to keep it in his pants and tell him to stop
8. 𝙇𝙪𝙣𝙘𝙝𝙗𝙤𝙭 𝙁𝙧𝙞𝙚𝙣𝙙𝙨 🍱
เพลงนี้เนื้อหาเกี่ยวกับ fake friend ทั้งหลายที่ไม่ต้องมีซะยังจะดีกว่า ตัวเพลงคือยิ่งฟังยิ่งติดหู ชอบท่อนฮุคที่ใช้ autotune แล้วค่อยๆ ปรับเป็นเสียงปกติอย่างลงตัว แล้วก็ชอบ choreography ในหนัง นางโชว์เต้นแบบ long take อีกแล้ว รู้เลยอ่ะว่าต้องฝึกนานมากๆ แน่ๆ -0-
Throw it on TV, people have high expectations of me
Wanna be my best friend, then judge me
9. 𝙊𝙧𝙖𝙣𝙜𝙚 𝙅𝙪𝙞𝙘𝙚 🍹
เพลงนี้ตอนแรกชอบน้อยสุดในอัลบัม แต่พอฟังไปๆ มาๆ คือกลายเป็นเพลงที่ชอบอันดับต้นๆ ในอัลบัมเลย เพลงนี้เนื้อหาพูดเกี่ยวกับโรค bulimia ที่ผู้หญิงวัยรุ่นชอบเป็นกัน ชอบการเปรียบเทียบการกินแล้วล้วงคอตัวเองออกมาเหมือนกับการที่เอาส้มมาทำเป็นน้ำผลไม้ที่มันไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก เหมือนเสียตัวตนของตัวเองไป ลึกซึ้งไปอีก ส่วนตัว MV คือน่ากลัวสุดในอัลบัมแล้วมั้ง ในหนังเหมือนเป็นช่วงเล่าเรื่องธรรมดานะ แต่ช่วงท้ายคือมีเอามีดมากรีดหัวแล้วเปิดกระโหลกออกมาเป็นเครื่องปั่นน้ำผลไม้จ้า วดฟ แล้วก็มีเนื้อเพลงท่อนที่ร้องว่า ‘I wish I could give you my set of eyes’ ก็คือนางควักลูกตาตัวเองออกมาเลยจ้า 😱
Now you're sitting in the cafeteria
Shoving clementines and orange bacteria
10. 𝘿𝙚𝙩𝙚𝙣𝙩𝙞𝙤𝙣 🧿
เพลงนี้บอกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักที่ถ้าไม่จริงใจหรือเลิกรักกันแล้วก็บอกมาตรงๆ เลยเถอะ อย่าพยายามยื้อต่อไปเลย เหมือนการถูกกักตัวอยู่ในห้องคุมประพฤติที่จริงๆ ก็ไม่มีใครอยากอยู่แต่เหมือนต้องโดนกักตัวไว้ ในหนังตรงกับฉากที่เมลานี่โดนครูใหญ่คนใหม่ (ซึ่งก็คือลูกของครูใหญ่คนเก่าที่ลาโลกไป) จับเข้าห้องคุมประพฤติ เเล้วนางก็เลยโชว์เต้นยั่วๆ พร้อมสะกดจิตครูใหญ่ให้เป็นคนมาปล่อยตัวเอง
Stop calling up my phone trying to say that I've been out of line
When all I ever asked is to go to the bathroom
11. 𝙏𝙚𝙖𝙘𝙝𝙚𝙧’𝙨 𝙋𝙚𝙩 🐀
เพลงนี้ให้ฟีลอ่อยสุดในอัลบัมแล้วจ้า เนื้อเพลงคือแบบแต่งตอนดูละครไทยหลังข่าวภาคค่ำแน่ๆ เนื้อเพลงจะสื่อว่าถ้ารักกันจริงทำไมต้องปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ไรงี้ ความพีคมันอยู่ตรง MV ที่เพื่อนสนิทของเมลานี่ไปแอบชอบครูสอนชีวะ แล้วนางก็เป็นอ่อยๆ ครูก็เล่นหูเล่นตาให้ นางเขียนในข้อสอบว่าถ้าสอบผ้านเราไปมีลูกด้วยกันมั้ย คือคิดได้ไงอ่ะ 5555555 สุดท้ายคือเพื่อนคนนี้โดนครูวางยาจ้า ครูกะจะเอานางไปทำเป็น specimen ผ่ากรอส โชคดีที่เมลานี่กลับมาช่วยทัน คืออิเพื่อนนี่แสดงเก่งมาก ยั่วเป็นยั่ว ควรได้รางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม
If I pass this quiz will you give me your babies?
Don't call me crazy
12. 𝙃𝙞𝙜𝙝 𝙎𝙘𝙝𝙤𝙤𝙡 𝙎𝙬𝙚𝙚𝙩𝙝𝙚𝙖𝙧𝙩𝙨 💘
เพลงนี้ชอบสุดในอัลบัมเลย เป็นเพลงที่เนื้อหาพรรณนาสรรพคุณร้อยแปดพันอย่างของผัวนางที่ควรมี ส่วนที่ชอบในเพลงนี้มากที่สุดน่าจะเป็นการที่เริ่มเพลงด้วยการร้องเเบบช้าๆ ก่อนแล้วค่อยเร่งทำนองขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันทำให้สื่ออารมณ์ได้ดีขึ้น ชอบตรงที่นางพูดคำว่า fuck ด้วยเสียงหวานๆ ให้สมูทในท่อนเพลงช้าได้ แถมท่อนฮุคคือติดหูมากกกก ส่วนใน MV คือไม่ค่อยมีไรที่สุดในหนังละมั้ง เป็นส่วนที่ใส่เข้ามาให้ตรงเพลงแค่นั้น มีฉากนางเต้นไปเต้นมากระดี้กระด้าเพราะได้จดหมายรักจากผู้ชายซึ่งจริงๆ ฉากนี้ไม่ต้องมีก็ได้ 😂
If you can't handle a heart like mine
Don't waste your time with me
13. 𝙍𝙚𝙘𝙚𝙨𝙨 ⚰️
เพลงปิดอัลบัมที่ mood & tone ดีเหมาะกับเป็นเพลงสุดท้าย แต่ไม่ค่อยเข้ากับฉากในหนังเท่าไหร่ คือฉากในหนังมันเป็นฉากเต้นอ่ะ เเต่เพลงนี้มันไม่ค่อยให้อารมณ์เต้นเท่าไหร่เลย = = เนื้อเพลงเล่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ทันคน ไม่ให้โดนคนอื่นหลอก แบบในชีวิตนี้มีคนไม่จริงใจอยู่เยอะ ก็อย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้น จบ คือจริงๆ เพลงนี้ควรเป็นเพลงที่อยู่ในเครดิตตอนท้ายเรื่องอ่ะ ไม่ควรอยู่ตรงจุด climax ของเรื่อง เเล้วก็คือเพิ่งมารู้ตอนหลังว่านางจะทำฉากจบอีกแบบนึง เเต่งบดันไม่พอ เลยต้องจัดลำดับเพลงใหม่นิดหน่อย เลยกลายเป็นความไม่ลงตัว เเต่เอาจริงๆ มันก็พอถูไถได้อยู่ ไม่น่าเกลียด
Sittin' in my room looking at all I've done
Everything I wanted has come to fruition
14. 𝙁𝙞𝙧𝙚 𝘿𝙧𝙞𝙡𝙡 🧯
เพลงนี้ใช้เป็นเพลง end credit ของหนัง (หาฟังได้ในคลิปหนัง K-12 ตอนท้ายสุด) ซึ่งเนื้อหาคือเผ็ดมากเพลงที่เเล้วอีกกกก นางแต่ง diss track เพลงที่สองที่มีเนื้อหาคล้ายๆ เรื่องเด็กเลี้ยงแกะ ใจความว่า เธอ (เพื่อนชั่วคนนั้น) อ่ะมันเป็นพวกชอบโกหกคนอื่น ใส่ไฟฉันในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำ ถ้าถึงคราวซวยของเธอเมื่อไหร่ก็ขอให้เธอโชคดีเเล้วกัน เพราะทั้งหมดนั้นเธอทำตัวเธอเอง ช่วงฮุคเผ็ดๆ ของเพลงนี้คือ ถ้าวันหนึ่งมีปรมาณูพุ่งใส่บ้านของเธอ เธอจะเขียนโน๊ตบอกลาแม่เธอมั้ยนะ เธอจะกอดแม่เธอทันหรือป่าวก่อนที่บ้านเธอจะชิบหายทั้งหมด ถึงเวลานั้นเธอก็รับผิดชอบตัวเองเเล้วกันนะเพราะฉันไม่อยากจะยุ่งกับเธอแล้ว บัยส์ 👋🏼
I personally believe that everyone is fully capable
Of more than what they're doing
จริงๆ ตอนจบของหนังที่เมลานี่แพลนเอาไว้ตอนเเรกคือ เมลานี่จะช่วยนักเรียนทุกคนออกมาจากโรงเรียนเเล้วเผาโรงเรียนทิ้งซะ ซึ่งเพลงปิดก็คือ ‘Fire Drill’ ซึ่งเราคิดว่าเหมาะสมและน่าจะดีกว่า ‘Recess’ เพราะเพลงนี้เหมือนเล่าบทสรุปของตัวหนังได้ทั้งหมด เเต่ด้วยความที่นางงบหมดอย่างที่บอกไปตอนเเรก เลยต้องเปลี่ยนตอนจบใหม่ มันเลยดูไม่ค่อยสมูท
สรุปก็คืออัลบัมนี้ยังคงเอกลักษณ์ของ Melanie Martinez ไว้ได้เป็นอย่างดี นางยังคงเด่นเรื่องการแต่งเพลงหวานๆ ให้มีเนื้อหาจริงจังได้ สามารถเอาคำหยาบไปใส่ในเพลงได้อย่างลงตัว 😂 ถึงอัลบัมเพลงจะไม่ค่อย upbeat เท่าอัลบัมที่เเล้ว เเต่ในด้านเนื้อหากับความเข้ากันของเพลงต่างๆ ในอัลบัม คิดว่าอัลบัมนี้ทำได้ดีกว่า อยากให้ทุกคนไปลองฟังละจะติดใจ ~
K-12 (album): 8.5/10
exceptional.
top tracks: high school sweethearts, the principal, teacher’s pet, nurse’s office, fire drill

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา