Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
T
The life of monk
•
ติดตาม
11 ม.ค. 2020 เวลา 23:00 • ประวัติศาสตร์
ชีวิตพระ
ตอนที่ ๔๓ วาระสุดท้ายของพระเทวทัต
พระเทวทัต เป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ ๙ เดือน รู้ว่าตัวเองไม่รอดแน่แล้ว ระหว่างนี้ก็นึกทบทวนตัวเองว่าทำไมฉันจึงอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็สำนึกได้ในที่สุดว่า เพราะตัวเองพ่ายแพ้ต่อกิเลสที่บังคับให้อยากเป็นใหญ่ในทางที่ผิด จนกระทำกรรมชั่วต่างๆ นาๆ
ไม่ว่าจะเป็นยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระบิดาตัวเอง พยายามจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า ด้วยการสั่งนายขมังธนูให้ไปยิงพระองค์ กลิ้งหินจากยอดเขาคิชฌกูฏ ปล่อยช้างนาฬาคิรี ท้ายสุดก็เสนอกฎเหล็ก ๕ ข้อ (ตอนที่ ๓๓) เพื่อเป็นข้ออ้าง จนทำสังฆเภท ได้สำเร็จ แต่ก็เป็นความสำเร็จชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
จนบัดนี้ กลายเป็นผู้ถูกทอดทิ้ง จะมีก็แต่เพียงพระภิกษุไม่กี่รูป (คาดว่าน่าจะเป็นข้าทาสบริวารเก่าสมัยเป็นเจ้าชาย) ที่คอยดูแลอุปัฎฐากเท่านั้น
พระเทวทัต จึงอยากไปขอขมาพระพุทธองค์ก่อนตาย ความจริงคงอยากจะไปเร็วกว่านี้ แต่ติดที่บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ซึ่งก็มาจากผลงานที่ตัวเองทำไว้นั่นแหละ ต้องรอจนสงครามสงบ จึงค่อยบอกกับพระภิกษุผู้อุปัฎฐากไม่กี่รูปว่าช่วยพาตนไปเฝ้าพระบรมศาสดาหน่อย
“เมื่อท่านยังดีอยู่ ท่านทำไม่ดีกับพระพุทธองค์ไว้เยอะ พวกข้าพเจ้าไม่มีหน้าพาท่านไปหรอก”
ภิกษุอุปัฏฐาก กล่าว
“ใช่แล้ว ข้าพเจ้าทำไม่ดีกับพระพุทธองค์ไว้มาก แต่พระองค์ไม่ได้ผูกโกรธเราเลยแม้แต่ปลายผม น้ำพระทัยของพระองค์มีความบริสุทธิ์ให้กับทุกๆ คนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นนายขมังธนู องคุลิมาล ช้างนาฬาคิรี พระราหุล รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย” พระเทวทัตกล่าวตอบพร้อมอ้อนวอนต่อไปว่า
“ช่วยพาข้าพเจ้าไปเฝ้าพระพุทธองค์หน่อยเถอะนะ นะ นะ...” พระเทวทัตอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
พระภิกษุอุปัฎฐาก ฟังแล้วก็สงสาร ไหนๆ ก็เคยอยู่ร่วมกันมา ก็สงเคราะห์เอาบุญคนใกล้ตายหน่อย จึงพาให้พระเทวทัตนอนบนเตียงน้อย แล้วก็ช่วยกันยกออกเดินทางไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นึกๆ แล้ว พระภิกษุอุปัฏฐาก ก็ลำบากไม่ใช่เล่นนะ ช่วยกันหามเตียงที่มีพระเทวทัตนอนอยู่จากแคว้นมคธ ไปแคว้นโกศล ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมไม่เอาใส่รถใส่เกวียน ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ขณะหามผ่านเส้นทางหมู่บ้านชุมชนต่างๆ ผู้คนเห็นก็คงจะถามว่า พระคุณเจ้าหามพระคุณเจ้าองค์ไหนมา แล้วจะไปไหนกัน พอรู้ว่าเป็นพระเทวทัต ก็คงจะรังเกียจ ไม่อยากให้ความช่วยเหลืออะไร และก็คงจะบอกต่อๆ กันไปว่า พระเทวทัตกำลังจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่วัดเชตวัน กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล
ก็เรียกได้ว่า พระเทวทัตตอนนี้ ตกอับจนถึงที่สุดแล้ว
ส่วนที่วัดเชตวัน พระภิกษุก็ช่วยกันกราบทูลพระพุทธองค์ว่า พระเทวทัตกำลังจะมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ขณะนี้ เดินทางถึงนี้ ถึงนี้แล้ว (สงสัยคงจะมีคนคอยสังเกตการณ์แล้วส่งม้าเร็วมารายงานเป็นระยะๆ)
“ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตนั้นจักไม่ได้เห็นเราด้วยอัตภาพนั้น” (ในชาตินี้) พระพุทธองค์ตรัส
ภิกษุทั้งหลาย ก็ยังกราบทูลเป็นระยะๆ ว่า “ขณะนี้พระเทวทัตมาถึงนี้ ถึงนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
“เทวทัตจงทำสิ่งที่ตนปรารถนาเถอะ, (แต่อย่างไรเสีย) เธอก็จักไม่ได้เห็นเรา” พระพุทธองค์ตรัส สำนวนบ้านเราก็คือ อยากมาก็มา แต่ไม่เห็นฉันหรอก
ภิกษุทั้งหลายก็คงแปลกใจว่า คำว่า “ไม่เห็น” นั้นคืออะไร หรือพระพุทธองค์จะไม่ยอมให้เข้าเฝ้า ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะไม่ว่าใครจะมาขอเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ พระองค์ก็จะโปรดให้เข้าเฝ้าเสมอ แล้วมันคืออะไรกันแน่นะ ???
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัตมาถึงที่ประมาณโยชน์หนึ่ง (๑๖ ก.ม.) แต่ที่นี้แล้ว, (และทูลต่อๆ ไปอีกว่า) มาถึงกึ่งโยชน์แล้ว (๘ ก.ม.) , คาพยุตหนึ่งแล้ว (๔ ก.ม.) , มาถึงที่ใกล้สระโบกขรณีแล้ว (ใกล้หน้าประตูวัด) พระเจ้าข้า” พระภิกษุทั้งหลายกราบทูล
“แม้หากเทวทัตจะเข้ามาภายในพระเชตวัน, ก็จักไม่ได้เห็นเราเป็นแท้” พระพุทธองค์ตรัสย้ำคำเดิม
เมื่อคณะพระเทวทัต ช่วยกันหามพระเทวทัตมาถึงสระโบกขรณี ก็วางเตียงลงริมฝั่ง ต่างก็ลงไปเพื่อจะอาบน้ำในสระ เพราะเดินทางมาไกลขนาดนั้น ก็คงจะฝุ่นเขรอะ เปรอะกาย เหงื่อไหลไคลย้อย ไม่ใช่น้อย
พระเทวทัต ก็คงมีสภาพไม่ต่างกันนัก จึงลงจากเตียงจะไปอาบน้ำในสระบ้าง แต่ทันใดที่เท้าทั้งสองของพระเทวทัตแตะพื้นเท่านั้นเอง
เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง เพราะธรณีกำลังค่อยๆ สูบพระเทวทัตลงไป …
พระเทวทัตจมลงแล้วโดยลำดับ ตั้งแต่ข้อเท้า, หัวเข่า, เอว, นม, จนถึงคอ
ระหว่างนี้พระเทวทัต ช่วงแรกก็คงตกใจกลัว แต่เนื่องจากเคยฝึกสมาธิมาก่อน จึงเรียกสติตัวเองกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้นึกรู้ว่าบาปที่ตัวเองทำไว้ถึงที่สุดแล้ว ชาตินี้คงไม่ได้พบพระพุทธองค์อีกแล้ว เมื่อร่างกายจมไปถึงกระดูกคาง ก็กล่าวด้วยสำนวนที่บันทึกในอรรถกาพระไตรปิฎกว่า
“ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี
ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะ
(แต่ละอย่าง) เกิดด้วยบุญตั้งร้อย๑- ว่าเป็นที่พึ่ง
ด้วย กระดูกเหล่านี้พร้อมด้วยลมหายใจ.”
สรุปคือ ถวายกระดูกคาง และลมหายใจ เป็นพุทธบูชา จากนั้นก็จมลงแผ่นดินไป ….
พระภิกษุกลุ่มอุปัฏฐากที่พาพระเทวทัตมา ต่างก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้กันทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ขนพองสยองเกล้ากันไปตามๆ กัน …. แม้อากาศจะร้อนจนร่างกายอยากจะอาบน้ำ แต่พอเจอภาพเหตุการณ์นี้ ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่นสะท้านไปในทันที ….
ตอนต่อไป เราจะมาวิเคราะห์กันว่า ทำไม พระเทวทัต จึงถวายกระดูกคาง เป็นพุทธบูชา … จบตอนที่ ๔๓
บันทึก
34
9
17
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ชีวิตพระ ภาค ๑ ตอนที่ ๑ - ๕๐
34
9
17
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย