16 ม.ค. 2020 เวลา 15:37 • การศึกษา
Dead Poets Society (1989)
: เรื่องของ ครูขบถ และ เศรษฐศาสตร์นอกกระแส
แจ้งข่าว : ช่วงนี้แอดมินเพจหนังหลายมิติจะติดงานยาว คาดว่าจะไม่ได้เขียนบทความลงเพจประมาณ 3-4 วัน นะครับ
เห็นเพจ MovieTalk แนะนำหนังวันครู 10 เรื่อง หนึ่งในนั้นมีเรื่อง "Dead Poets Society " ด้วย ผมเลยจำได้ถึงบทความที่ ผศ.ดร.นรชิต จิรสัทธรรม นักเขียนอีกท่านของเพจ ได้เคยส่งต้นฉบับมาให้ผม(เมื่อนานมาแล้ว) ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
เลยขออนุญาตใช้มุกหากินง่ายๆด้วยการนำบทความของนักเขียนท่านนี้มาลงให้อ่านครับ
ช่วง 2-3 วันนี้ อาจไม่ได้ตอบคอมเม้นต์หรือตอบช้าอย่าเคืองกันนะครับ เพราะต้องทำงานติดๆกันหลายวัน เสร็จงานแล้วจะกลับมาสานต่อบทความตอนที่ 2 ที่เขียนค้างเอาไว้ให้เสร็จครับ
ส่วนวันนี้ลงบทความในซีรีส์ชุด "ดูหนัง - ละคร แล้วย้อนมองเศรษฐศาสตร์ " ให้อ่านครับ เป็นมุมมองที่น่าสนใจของหนัง กับ วิชาเศรษฐศาสตร์ ลองอ่านดูครับ
เมื่อหลายปีก่อนหนังเรื่อง "Dead Poets Society" หรือ "ชมรมกวีไร้ชีพ"เป็นที่โด่งดังมาก
เพราะได้รับรางวัลออสการ์ และมีผลให้เราได้รู้จักดาราฮอลลีวู้ดที่ชื่อ ร็อบบิน วิลเลี่ยมส์ (Robin Williams) ในฐานะบทบาทของ "ครูขบถ"
โดยชื่อหนังล้อมาจากชื่อของสมาคมลับที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ที่มารวมตัวกันในพลบค่ำ เพื่อต้องการปลดแอกตัวเองจากกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดและปิดกั้นอิสรภาพในการคิด ทำในสิ่งต่างๆ โดยใช้บทกวีเป็นเครื่องมือในการเยียวยาและสร้างพลังในการคิด กระทำและแสดงออกตามสิ่งที่ใจตนปรารถนา
ด้วยความที่โรงเรียน Walton เป็นโรงเรียนเก่าแก่มีชื่อเสียง และมีขนบธรรมเนียมจารีตปฏิบัติแบบผู้ดีที่มีความเฉพาะตน มาเป็นระยะเวลายาวนาน
ทำให้ทางโรงเรียนและผู้คุมกฎ ต่างพยายาม (แกมบังคับ) ปลูกฝังค่านิยม และกฎเกณฑ์ในรูปแบบของสถาบันอย่างเข้มงวด โดยไม่ได้คำนึงว่านักเรียนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการศึกษาต้องการอะไรจากโรงเรียนแห่งนี้
และอาจารย์ (ที่เชื่อกันว่าเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดเก่งที่สุด) ก็มีหน้าที่เพียงให้เด็กท่องคำศัพท์ซ้ำไปมา สอนหนังสือโดยการเปิดอ่านตำราเรียนให้ฟัง
รวมทั้งปิดโอกาสในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีในห้องเรียน อำนาจในห้องเรียนจึงถูกผูกขาดโดยอาจารย์ และการศึกษาเป็นเพียงการยัดเยียดความคิดของอาจารย์แต่เพียงฝ่ายเดียว
แต่การมาของ Jonh Keating (Robin Williams) อาจารย์สอนภาษาอังกฤษไฟแรงคนใหม่ ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชั้นเรียนขึ้น
ด้วยวิธีการสอนที่แหกขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการพานักเรียนเดินทัวร์ออกมาเรียนกันข้างนอกมากกว่าที่จะนั่งเรียนกันแบบซ้ำซากในห้อง หรือการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าอันลึกซึ้งของกวีนิพนธ์ ที่ไม่สามารถวัดได้โดยใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ หรือตัวแบบที่เป็นกราฟใดๆ โดยเขาได้หยิบเอาตำราขึ้นมาพร้อมทั้งฉีกหน้าหนังสือนั้นทิ้งไปเสีย
แต่วีรกรรมที่เด็ดสุดคงไม่พ้นคราวที่ Keating ชักชวนให้เหล่านักเรียนขึ้นไปยืนบนโต๊ะหน้าชั้นเรียน เพื่อให้เหล่าเด็กหนุ่มได้หัดมองโลกในมุมที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ รวมถึงการสอนที่เต็มไปด้วยการเร้าอารมณ์ด้วยกวี ท้าทายให้เหล่านักเรียนได้แสดงตัวตนออกมาในอย่างที่ควรจะเป็น แสดงตัวตนที่แท้ออกมา นอกเหนือจากการเป็นนักเรียนที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์การขีดเส้นคั่นพฤติกรรมของ "พวกเขา" ที่กำหนดโดย "ผู้อื่น"
นอกจากการสอนที่แหวกแนวแล้ว Keating ยังเป็นผู้จุดประกายไฟในการรื้อฟื้น "ชมรมกวีไร้ชีพ" ขึ้นมาอีกครั้งในตัวนักเรียนกลุ่มหนึ่ง นำทีมโดย Neil Perry (Robert Sean Leonard) เด็กหนุ่มที่นิยมชมชอบละครเวที และต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวอย่างแข็งขัน
และด้วยการชี้นำของ Keating เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะทำตามความฝันของตน ด้วยการเล่นละครเวทีตามที่เขาหวังเอาไว้ ซึ่งมันดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากสิ่งที่ Perry ปรารถนานั้นกลับเป็นสิ่งที่ขัดใจพ่อ ที่วาดหวังให้ตัวลูกชาย เป็นนายแพทย์ในอนาคต จนห้ามมิให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมอันใดที่จะส่งผลกระทบต่อการเรียนได้
1
แต่แล้วการกระทำตามความฝันโดยเข้าร่วมแสดงละครเวทีที่ปราศจากการยินยอมของผู้เป็นพ่อ กลับนำไปสู่โศกนาฏกรรมอันสุดสลดเหลือจะกล่าว...
เหตุการณ์ทั้งหมดจึงได้ส่งผลย้อนกลับมาที่ชมรมกวีไร้ชีพ และ Keating ในฐานะผู้จุดประกายและชี้นำการจัดตั้งกลุ่มดังกล่าว โดยพฤติกรรมของอาจารย์หนุ่มได้ตกอยู่ในสายตาอาจารย์หัวเก่ามานานแล้ว และเมื่อเกิดเหตุสลดใจขึ้น อาจารย์หัวเก่าเหล่านั้นจึงใช้เหตุการณ์นี้ในการเบียดขับ John Keating ออกจากโรงเรียนไป
นอกเหนือจากเรื่องราวชีวิตที่เข้มข้น
หนังเรื่องนี้ยังพยายามชี้ให้เห็นถึงการคิดออกไป "นอกกรอบ" จากสังคมกระแสหลักดังที่เป็นอยู่ ซึ่งในแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์นั้นก็มีสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างจากในภาพยนตร์ซักเท่าใด
การเรียนการสอนเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันที่กักขังตัวเองอยู่กับกรอบและรูปแบบของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (mainstream economics) ได้กลายเป็นเรื่องราวหลักที่แสดงภาพตัวแทน (representation) สังคมเศรษฐกิจแบบทุนนิยม โดยที่การเรียนการสอนในเชิงวิพากษ์ระบบ หรือวิพากษ์วิธีวิทยา (methodology) ของตนนั้นแทบไม่พบเห็นเลย
นี่เป็นความย้อนแย้งในตัวเองของศาสตร์ชนิดนี้ เพราะทั้งที่วิธีการมองโลกด้วยเศรษฐศาสตร์นั้น มีแง่มุมที่หลายหลาก และมากไปด้วยสำนักทางความคิด แต่สิ่งที่พบและเป็นอยู่กลับเป็นการยัดเยียดแบบจำลองทางคณิตศาสตร์กระแสหลักให้ผู้เรียน จนสุดท้ายมันได้ปลูกฝังโลกทัศน์ที่มองเห็นระบบเศรษฐกิจ เป็นกลไกแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่มีผู้คนและเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่หลากหลายและปรากฏอยู่ในความเป็นจริง
ผู้เขียนคิดว่าการเรียนเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเป็นพื้นฐานสำหรับนักเรียนเศรษฐศาสตร์และเป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กันคือการปลูกฝังความคิดในเชิงวิพากษ์ รวมถึงการให้ภาพของสังคมเศรษฐกิจ ด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไป
การเรียน การสอนเศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็นคือการศึกษาเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นขนบธรรมเนียมหลัก (orthodox) ควบคู่ไปกับเศรษฐศาสตร์นอกกระแส (heterodox) เพื่อให้ผู้เรียนมีมุมมองที่เปิดกว้าง เป็นการปลุกเร้าให้นักเรียนเศรษฐศาสตร์รู้จักคิดในมุมมองที่ต่างออกไปจากเดิม อันอาจจะนำไปสู่การตั้งคำถามใหม่ๆ ให้แก่แวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ได้
เหมือนกับในภาพยนตร์ที่ยกมา
ครูหนุ่มได้แสดงสัญลักษณ์ที่สื่อนัยนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการท้าทายให้นักเรียน ขึ้นมายืนบนโต๊ะ เพื่อให้เห็นโลกในมุมอื่น รวมถึงการวิพากษ์ทฤษฎีอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าในท้ายที่สุด Keating จะถูกไล่ออก แต่นักเรียนทุกคนพร้อมใจกันยืนบนโต๊ะเพื่อน้อมส่งคุณครูผู้เป็นที่รักถือ เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ตัวอาจารย์จะจากไป แต่วิธีการมองโลกที่พยายามกระโจนออกไปนอกกรอบกระแสหลักนั้นยังคงสถิตอยู่ในตัวนักเรียนที่เขาพร่ำสอนทุกคน
การให้กรอบคิดที่หลากหลายถือเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าที่จะให้ผู้เรียนถูกขังอยู่ในคอกความคิดหนึ่งอย่างคับแคบ ซึ่งสุดท้ายแล้วมันอาจจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมทางความคิดของผู้เรียนที่ถูกปิดกั้นด้วยโลกทัศน์บางประการแต่เพียงอย่างเดียว
เครดิตบทความ :
คอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน
กรุงเทพธุรกิจ 6 มีนาคม 2551
ผู้เขียน : นรชิต จิรสัทธรรม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทความนี้ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากผู้เขียนเพื่อเผยแพร่บนเพจหนังหลายมิติ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา