22 ม.ค. 2020 เวลา 15:34
14 days in japan : วันที่ 10 ศาลเจ้าเมจิ
เช้านี้ที่โตเกียว แดดจัดมากแต่อากาศเลขหลักเดียวออกจากที่พักสายหน่อยเพราะไม่อยากไปแย่งกันใช้รถไฟฟ้ากับมนุษย์เงินเดือน ตอนนี้เริ่มชินกับอากาศหนาวแล้วใส่เสื้อยืดชั้นเดียวสวมเสื้อกันหนาวธรรมดาทับกางเกงยีนตัวนึง พอทนได้
ที่แรกที่ไปคือศาลเจ้าเมจิที่นี่เหมือนป่ามีต้นไม้ใหญ่มาก ศาลเจ้าใหญ่มาก
คนเยอะมาก ห้องน้ำเหม็นมาก คนขี้เยอะ ทัวร์ลงน่ะสิครับ
ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) เป็นศาลเจ้าสำคัญของประเทศ มีพื้นที่กว่า 400 ไร่ ต้นไม้กว่า 100,000 เรียกได้ว่าป่ากลางกรุงเลย
นักท่องเที่ยวมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ปีละประมาณ 3,000,000 คน มีร้านขายเครื่องรางที่อวยพรด้านต่างๆ และป้ายขอพรที่ให้คนเขียนคำอธิษฐาน เครื่องรางจะมีอายุ 1 ปีนะครับถ้าใครซื้อเครื่องรางของที่นี่ไปต้องเอากลับมาคืนที่ตู้รับคืนเครื่องรางด้วยไม่งั้นจะไม่ขลัง
วันนี้เป็นวัน 14 มกราคม เป็นวันบรรลุนิติภาวะ ของญี่ปุ่น เป็นวันแสดงความยินดีและจัดพิธีให้กับผู้ที่มีอายุเข้า 20 ปีบริบูรณ์ ที่กำลังก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ เป็นวัยที่บรรลุนิติภาวะแล้ว มีสิทธิความเป็นผู้ใหญ่ทางกฎหมายทุกประการ สาวๆ ญี่ปุ่นเขาก็แต่งตัวชุดกิโมโนมาขอพรกัน วันนี้ในวัดผมเจอสาวๆญี่ปุ่นน่ารักๆ ใส่ชุดกิโมโนเดินกันเต็มเมืองเลย
เดินศาลเจ้าแล้วก็ไปต่อที่โอโมเตะซันโด ถนนช๊อปปิ้งสตรีท ย่านนี้แบรนด์เนม ห้างดัง ของแพง หรูหรา ไม่ถูกจริตผมเลยพับผ่าสิ
ที่น่าสนใจคือย่านนี่ห้องแถวด้านบนก็เปิดเป็นร้านอะไรสักอย่าง ถ้าเราเห็นป้ายแล้วอยากเดินขึ้นไปร้านไหนก็เดินขึ้นไปได้เลยครับ เหมือนว่าห้องแถวหนึ่งแบ่งเป็น 4 ชั้น ทุกชั้นก็เป็นร้านอะไรสักอย่างผมเข้าใจว่าทำเลการค้าที่ญี่ปุ่นเขาจะใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าและทำธุระกิจได้หมดทุกตารางนิ้ว บ้านเราห้องแถวบางแห่งในเขตเมืองยังปล่อยร้างๆ ว่างๆ อยู่เลยนะ นั่นเพราะเมืองเรายังไม่หนาแน่นคับคั่งเหมือนเขา
เดินไปเรื่อยเปื่อยก็ไปโผล่ถนน Cat Street สายแมวห้ามพลาด ทีแรกผมนึกว่าแมวเยอะแต่พอมาเข้าจริง ไม่มีแมวเลยครับ มันเป็นแค่ชื่อถนนแต่เป็นทางลัดไปฮาราจูกุ
ถึงตรงนี้ก็ต้องแวะกินอะไรสักหน่อย Luke's Lobster คนต่อแถวกันเพียบเลย บ้านเราก็มีขายครับ อาหารฝรั่งที่ประกอบด้วยขนมปังและกุ้งล๊อบสเตอร์ ซึ่ง....ผมแพ้กุ้ง....I Lose Ebi.....
แล้วก็มาถึงถนนฮาราจูกุ ผมมาผิดที่ผิดเวลาหรือเปล่า.....
คนน้อยคนโล่ง ร้านค้าวัยรุ่น แต่เงียบจัง ไม่รู้สินะถึงมาตอนตลาดคนเต็มๆ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะประทับใจหรือเปล่า ผมไม่ได้เน้นช๊อปปิ้งซะด้วยสิ
จึงตัดสินใจเดินเล่นไปมาอยู่แถวนี้ครับ ฮาราจูกุ Cat Street และโอโมเตะซันโด
เดินไปเดินมาเหนื่อยเลยแวะที่ร้านกาแฟ Blue Bottle ครับร้านนี้กาแฟดีมาก บรรยากาศร้านดีมาก และที่สำคัญ....
บาริสต้าหล่อมาก....คือผมชอบมองคนหล่อนะ มันเท่ดี ถือว่าถ่ายรูปคนหล่อมาฝากแล้วกันครับ
นั่งร้านกาแฟจนเย็นแล้วก็ตัดสินใจไปชิบูย่าต่อ แอนมันรับปากฝากซื้อของเพื่อนไว้ผมต้องไปเดินเป็นเพื่อนหาซื้อของให้ ผมบอกเลยครับว่าใครไปต่างประเทศอย่าปากพล่อยรับฝากซื้อของครับ ลำบาก จะด่าผมใจดำก็เถอะ หนำซ้ำถ้าหิ้วของเข้าประเทศเกิน 20,000 บาทเราอาจโดนจับแล้วต้องเสียภาษีหิ้วของเข้าประเทศนะคุณ
ตกเย็นแวะกินโอโคโนมิยากิกระทะร้อน ร้านนี้เขาให้บริการตัวเองแต่ผมทำไม่เป็นพนักงานก็มาผัดให้ แต่วันนี้สั่งน้ำเปล่าน้องพนักงานเขาแอบหัวเราะใส่ ไอ้ผมก็สงสัยเลยมองโต๊ะรอบๆ เขากินเบียร์กันหมดเลยอ่ะครับคู๊ณ....นนนนน แหมมเปรี้ยวปากเลย แต่ผมไม่สั่งเพราะตลอดทางผมเดินกินเบียร์กระป๋องมาตลอดเลย
กินเสร็จเดินต่อมาเจอซอยนึงก็ตกใจเพราะได้ยินเสียสัตว์ประหลาดร้องลั่นทั้งซอย มีดนตรีด้วย แล้วพอมองไปที่ทิศทางของเสียงมันคือก๊อตซิล่าหวะเฮ้ยยยยย
HOTEL GRACERY เป็นโรงแรมก๊อตซิล่าตรงนี้มีรูปปั้นก๊อตซิล่าเท่าของจริง (เขาว่างั้น) ตั้งอยู่บนหลังคาตึกและจะมีเปิดแสงสีเสียเรียกแขกเข้าซอยเป็นรอบๆ ในซอยก็จะขายของก๊อตซิล่าเพียบเลย
วันนี้เดินแต่เมือง ดูแหล่งช๊อปปิ้งของสาวๆ ผมไม่ได้ซื้ออะไรสักอย่าง เดินดื่มเบียร์ไปเรื่อยๆ การดื่มเบียร์ในที่สาธารณะแบบเดินดื่มในญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ฟินมากเพราะอากาศหนาวดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา ดื่มไปเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ แต่เป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างกากมาก เขาว่าไร้วัฒนธรรมกันเลย ซึ่งผมก็ใช้สิทธิของแม้วท่องเที่ยวตีมึนไป ทำอะไรอย่างไร้เดียงสาไม่มีใครว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปที่อื่นต่อแล้วหนิ....
ค่าเสียหายของวันนี้
Toyoko Inn Tokyo 3,972 เยน
ค่าอาหาร 3,000 เยน
ค่าโดยสาร 1,000 เยน
ค่าเบียร์ 3,000 เยน
โฆษณา