2 ก.พ. 2020 เวลา 03:17 • ปรัชญา
สิ่งที่ปล่อยได้ยากที่สุดคือความเชื่อว่าใช่
Cr. Photo from pixels.com [Boriana Giormova]
คนเราพัฒนาความเชื่อมาจากหลายสาเหตุ
เพราะได้เห็นมากับตา
เพราะฟังมาจาก "คนที่เชื่อถือได้"
เพราะใครๆก็เชื่อกันแบบนั้น
เพราะถูกสอนมาแบบนั้น
1
เพราะเปิดใจลองทำตามวิธีที่ได้รับการแนะนำ
เพราะสรุปเองด้วยปัญญาและประสบการณ์
เพราะมันเป็นจริงในโลกของเรา
เพราะมันดูมีเหตุผล
เพราะเดาเอาและคิดไปเอง
เพราะความชอบ
เพราะความกลัว
เพราะศรัทธา
หรีอเพราะสังขารปรุงแต่ง?
ไม่ว่าจะเชื่อมาจากสาเหตุใด ความเชื่อจะมีผลต่อโลกของเรา จากนั้นจะมีผลต่อโลกของคนอื่น แล้วจะมีผลต่อโลกของทุกคน
Believes affected to your world, then reflected to other people's world, and then affected to this world of ours.
ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี มันจะเป็นเช่นนั้นตามที่เราเชื่อ เพราะเราจะสร้างสภาวะขึ้นมามารองรับสิ่งที่ใจเชื่อนั้นโดยไม่รู้ตัวจนมันเป็นจริง
นี่เป็นที่มาของกฏแห่งแรงดึงดูด
แต่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในบรรดาความเชื่อทั้งปวง ความเชื่อว่า "ใช่" อันตรายต่อวิมุติที่สุด
เพราะความเชื่อว่าใช่ เป็นพัฒนาการอันซับซ้อนของสัญญาและสังขารที่เหลาตัวตนของเราให้เป็นเรา
เพราะแรงและความพยายามต่างๆที่เราลงไปกับมันนั้นมีความหมายกับเรา
มันเป็น accumulation ของประสบการณ์ในทุกรูปแบบของเหตุข้างบนผ่านสิ่งไม่มีอยู่จริงที่เรียกว่ากาลเวลา
(เพราะกาลเวลาเป็นสิ่งสมมุติซึ่งไม่มีอยู่จริง แต่นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
แล้วสรุปรวบยอดลงไปกลายเป็นสูตรสำเร็จ เป็นพิมพ์เขียวสำหรับเราว่า "ใช่"
และสิ่งนี้ "ทำลายไม่ได้"!
อีโก้ตายไม่ได้
เพราะความตายของอีโก้คือความตายของตัวตน
เราจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวตน
และตัวตนคือความเชื่อ
ดังนั้นความเชื่อจึงผิดไม่ได้
ถ้าความเชื่อผิดแล้วอีโก้ต้องตาย ตัวตนต้องตาย
ความเชื่อ อีโก้ และตัวตนคือเรา
เราตายไม่ได้!
เหรียญด้านหัวเหมือนสิ่งที่ใช่ ด้านก้อยเหมือนสิ่งที่ไม่ใช่
เราเหมือนเลือกไว้แล้วอยู่ตลอดเวลาว่าต้องเป็นแบบนี้
ฉันเลือกด้านห้ว ด้านก้อยฉันไม่เลือก
ใครสาปเราไว้?
แท้จริงแล้วมันก็คือเหรียญเดียวกัน การเลือกว่าสิ่งนี้ใช่และสิ่งนี้ไม่ใช่ไม่ได้ทำให้เราพ้นไปจากเหรียญเดิม
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนาม
นามอุบัติมีขึ้นเพื่อใช้เรียกแทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มันคือ "สมมุติ"
นามไม่เคยมีอยู่จริง
แท้ที่จริงแล้วอีโก้ไม่เคยมีอยู่จริง ความเชื่อไม่เคยมีอยู่จริง มันเป็นแค่สังขารปรุงแต่ง มันเป็นแค่ความคิด และความคิดเป็นแค่ธรรมชาติรูปแบบหนึ่งเท่านั้น!
(อ่านเรื่องความคิดในบทความ "สมาธิ และ ความคิด")
ดังนั้นตัวตนจึงไม่เคยมีอยู่จริง
เราไม่รู้จึงยึด
และนี่เป็นอันตรายต่อวิมุตติ
เพราะหากเรายังยึดสิ่งที่ใช่อยู่ เราจะปล่อยได้อย่างไร?
เมื่อเราไม่ปล่อยอยู่ เราจะพ้นได้อย่างไร?
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะปล่อยวางจากความเชื่อที่เราคิดว่าใช่ เพราะเมื่อเราเลือกสิ่งที่ใช่ เราจึงยังหยิบเหรียญเดิมอยู่ และนั่นทำให้เรายังไม่พ้น
(อ่านเรื่องปล่อยวางจากบทความที่แล้ว)
คนล่วงข้ามวัฏฏะด้วยแพ
เรารู้ว่าเราอยู่ในวัฏฏะคือฝั่งที่เวียนว่ายตายเกิดนี้
เราต้องการออกจากวัฏฏะที่พ้นไปจากการเกิดตายแล้วที่ฝั่งนั้น
กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นแม่น้ำใหญ่ขวางกั้นเราอยู่
เราต่อแพด้วย ความรู้ ปัญญา ลัทธิ ศาสนา ความเชื่อ ตำรา มุขปาฐะ ไบเบิล คัมภีร์ อรรถกถา สัญญา สังขาร ความคิด คอนเซปต์ วิธีการ ต่างๆ นาๆ เพื่อใช้มันข้ามแม่น้ำไป
เมื่อถึงฝั่งนั้นแล้ว เรายังต้องใช้แพนั้นอีกไหม?
เราพ้นไปได้แล้ว ยังจะต้องใช้อรรถกถาเหล่านั้นอีกหรือไม่?
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และส่วนประกอบของแพ ฯลฯ เหล่านั้นยังมีความหมายกับเราต่อไปอีกหรือไม่?
เราจะแบกแพไปไหนมาไหนด้วยหรือไม่?
เรายังจะต้องกลับไปที่ฝั่งเดิมอีกไหม?
แล้วเรายังจะแบกแพไปไหนมาไหนอีกด้วยหรือไม่?
การยังยึดติดอยู่กับแพ อยู่กับยาน อยู่กับคัมภีร์ อยู่กับตำรา อยู่กับอรรถกถา อยู่กับความเชื่อว่าใช่ เปรียบเสมือนการพายถ่อแพจนมาชนถึงขอบฝั่งวิมุติแล้วถามขึ้นมาว่า
"เหตุใดมันถึงพายไปต่อไม่ได้?"
ก็มันชนของฝั่งแล้ว แพมันจะไปต่อได้อย่างไร?
เราต้อง "ขึ้น" จาก "แพ" แล้วเคลื่อนตัวเองออกไปเพื่อเข้าสู่ฝั่งนั้น
ทิ้งแพแล้วเข้าไปยังฝั่งนั้น
หากเรายังเสียดายแพอันวิจิตรโอฬารที่เราพียรหาส่วนประกอบชั้นพรีเมี่ยมอย่างมุขปาฐะคัมภีร์และอรรถกถามาอย่างยากเย็นและใช้เวลาสะสมและการต่อมายาวนานหลายสิบปีไป เราไม่ละทิ้ง เราก็ยังคงพายมันต่อไปในแม่น้ำแห่งวัฏฏะเช่นเดิม วนเวียนอยู่หน้าฝั่งวิมุตินั่นแหล่ะ ไม่อาจข้ามฝั่งไปได้
นี่เป็นกับดักของผู้ทรงความรู้
ใครสาปเราไว้?
ดังนั้นเราจะเห็นว่า สิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้พ้นไปคือการไม่หยิบเหรียญนั้นขึ้นมาอีก
แพนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว
เรามีทุกอย่างที่ต้องใช้ครบแล้ว
เราอาจจะยังนั่งอยู่บนแพที่ใกล้จะถึงฝั่ง
วันนึงมีคนที่แพข้างๆกระโดลงจากแพแล้วบอกเราว่า
"นี่คุณๆ น้ำมันตื้นแล้ว เดินได้แล้ว แพไม่ต้องใช้แล้ว"
เราจะเชื่อหรือไม่?
Ordinarility เพียงเป็นคนที่ปลุกคุณคนนั้น
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่อยู่บนแพที่ติดกับขอบฝั่ง หรือเป็นคนที่อยู่บนแพที่อยู่ใกล้ฝั่ง คุณจะคิดเห็นอย่างไร?
สิ่งที่เราเห็น (อ่าน) เป็นเพียงสิ่งที่เราเห็นเท่านั้น
สิ่งนี้ไม่ใช่การสอน
สิ่งนี้คุณไม่ต้องเชื่อ
ไม่มีใครสอนอะไรคุณ
ไม่มีอะไรใน Ordinarility
คำๆ นี้ก็อุปโลกน์ขึ้นมาเอง
เมื่อชักปลั๊กหรือแบตฯหมด ทุกอย่างก็หายไป
ไม่เคยมีอะไรมีอยู่จริง
อย่าแทนที่สัญญาเก่าด้วยสัญญาใหม่
ห้ามจำอะไรทั้งนั้น
ลืมให้หมด
เหรียญๆ นี้หยิบไม่ได้
ขอให้รู้ธรรมตามความเป็นจริงโดยไม่แทรกแซง
บทความถัดไป
บทความก่อนหน้านี้
โฆษณา