4 ก.พ. 2020 เวลา 11:15 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
“เข้าใจโรคติดเชื้อผ่านทฤษฎีวิวัฒนาการ"
ตอนที่ 6 ทำไมเราไอและจามเวลาเป็นหวัด
มาคุยกันต่อเกี่ยวกับโรคติดเชื้อนะครับ
ใกล้จบแล้วครับ
หมายเหตุ เรื่องนี้เรียบเรียงขึ้นใหม่ จากหนังสือเหตุผลของธรรมชาติ ที่ผมเขียนไว้ในปี พ.ศ. 2554 ครับ
1.
ในโลกที่เราวิวัฒนาการมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นั้น ธรรมชาติเต็มไปด้วยสิ่งที่สามารถทำอันตรายเรา
นอกเหนือไปจากสัตว์ผู้ล่าที่พยายามกินเราแล้ว เรายังต้องระวัง งูและแมลงมีพิษที่อาจทำร้ายเราเพราะพยายามป้องกันตัวมันเอง สารพิษในต้นไม้ต่างๆที่เราพยายามจะนำมาเป็นอาหาร พยาธิ แบคทีเรียและไวรัส ต่างๆที่พยายามจะเข้ามาทำมาหากินในร่างกายเรา
โลกยุคหินเราใช้ชีวิตใกล้สิ่งมีชีวิตต่างๆมากมาย
จึงไม่น่าแปลกใจที่ร่างกายของมนุษย์เราจะวิวัฒนาการกลไกต่างๆขึ้นมาเพื่อป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่หลุดรอดเข้ามาในร่างกายเราได้
แรกสุดเลย มนุษย์และสัตว์ต่างๆ จะมีพฤติกรรมพื้นฐานที่พยายามจะเลี่ยงอันตรายเหล่านี้
เมื่อมีสิ่งที่สกปรกน่ารังเกียจอยู่ข้างหน้า เช่น สมมติเราเป็นประตูส้วมสาธารณะที่มีอึเหม็นเลอะอยู่ที่พื้น ฝาผนัง ปฎิกริยาตอบสนองของเราคือ เราจะผงะ เบือนหน้าหนี ก้าวถอยหลัง หรี่ตา เม้มปากแน่น ทำจมูกย่นพร้อมกับพ่นลมออกก่อนจะกลั้นใจ
ขออภัยท่านที่ไม่ชอบภาพนี้ เลือกภาพที่ไม่สกปรกมากจนเกินไปแล้วครับ
ท่าทางที่เราแสดงออกนี้เป็นสัญชาตญานอัตโนมัติที่จะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายได้ ไม่มีใครตอบสนองต่อภาพที่เห็นด้วยการ อ้าปาก ลืมตากว้าง หายใจเข้าลึกๆ และยื่นหน้าเข้าไป เพราะพฤติกรรมเช่นนี้จะเพิ่มโอกาสที่สิ่งสกปรกจะเข้าสู่ร่างกายเราได้ง่ายขึ้น
ถ้าสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ต้องการเกิดหลุดเข้ามา ร่างกายเราก็จะพยายามขับสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป
เมื่อมีฝุ่นละอองเข้าตา น้ําตาเราจะไหล ซึ่งการไหลของน้ำตานี้จะช่วยชะล้างและละลายพิษออกจากตา นอกจากนั้นในน้ำตายังมีสารเคมีหรือโปรตีนที่สามารถฆ่าเชื้อบางชนิดผสมอยู่ด้วย 

เนื้อเยื่อที่บุทางเดินอาหารและทางเดินหายใจจะหลั่งมูกออกมาจำนวนมากเพื่อจับสิ่งแปลกปลอมนั้น น้ำมูกและการจามเป็นกลไกที่ร่างกายใช้ขับสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในจมูก
ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นเข้าไปในทางเดินหายใจ ร่างกายเราจะใช้เสมหะและการไอขับออกมา (คนที่สูบบุหรี่มากจึงมีเสมหะมาก) น้ำลายสามารถเจือจางพิษและยังสามารถฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้ (เวลาเรากินอาหารเผ็ดแล้วน้ํามูก น้ําตา และเหงื่อออกมาก เพราะร่างกายเราตอบสนองโดยมองว่าความเผ็ดเป็นพิษจากพืชชนิดหนึ่ง)
ถ้าพิษหลุดรอดเข้าไปถึงเลือดได้ ตับจะรับหน้าที่ทําลายพิษเหล่านั้นด้วยเอนไซม์พิเศษที่ตับสร้างไว้
สมองเองก็สามารถจะรับรู้พิษบางชนิดที่ถูกดูดซึมเข้าไปในเลือดได้ และสั่งให้เรารู้สึกคลื่นไส้อาเจียนเพื่อขจัดพิษที่อาจจะยังตกค้างและยังไม่ถูกดูดซึมออกจากทางเดินอาหารส่วนต้น (ยา เคมีบําบัดรักษามะเร็งหลายชนิดจึงทําให้อาเจียนมาก เพราะยาเหล่านี้ทำมาจากพิษของต้นไม้)
อาการท้องเสีย ถ่ายเหลวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ร่างกายพยายามขจัดพิษที่ตกค้างออกจากทางเดินอาหารส่วนปลาย
จะเห็นว่าอาการที่เราเรียกว่าป่วยเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมูก น้ำตา ไหล ไอ จาม อาเจียน จริงๆแล้วเป็นเครื่องมือของร่างกายที่จะพยายามจะขับสิ่งที่อาจเป็นอันตรายออกจากร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าอาการเหล่านี้ จะมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเสมอไป ดังที่เราเห็นไปก่อนใน 4 ตอนแรกว่า อาการป่วยหลายๆอย่างเกิดขึ้นเพราะเชื้อก่อโรคทำให้เกิดเพื่อประโยชน์ของเชื้อโรคเอง
ดังนั้นคำถามสำคัญที่เราต้องถามเพื่อให้เข้าใจอาการป่วยมากขึ้นคือ ใครได้ประโยชน์จากอาการป่วยนี้
เราหรือเชื้อโรค ?
เพราะบางครั้งอาการป่วยที่เราคิดว่าเราได้ประโยชน์ จริงๆแล้วเป็นเหมือนแผนซ้อนแผน หรือการยืมมือฆ่าของเชื้อโรคก็เป็นได้
2.
เมื่อเราเป็นหวัด อาการป่วยที่เด่นชัดคือ การไอและจาม
คำถามคือ อาการไอและจามที่เกิดขึ้นนี้ เป็นประโยชน์กับใคร
เราหรือเชื้อไวรัส?
โดยปกติเรารู้กันดีกว่า อาการไอหรือจามส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างผ่านเข้าไปในจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนต้นๆ และเป็นกลไกสำคัญที่คอยป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมผ่านเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนล่างๆได้
ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้ไหมที่ การไอและจามจะเป็นกลไกขับไล่และป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัส (หวัด) ลงไปยังทางเดินหายใจส่วนล่างได้?
คำตอบคือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ครับ
การไอหรือจามสามารถขับเศษอาหารหรือเกสรดอกไม้ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีจำนวนไม่มากและมีขนาดใหญ่พอที่จะถูกผลักออกมาด้วยลมได้
แต่สำหรับไวรัสและแบคทีเรียที่มีขนาดเล็กและกระจายทั่วไปในลำคอ หรือหลอดลมนั้น การไอหรือจามไม่สามารถลดปริมาณของไวรัสหรือแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อให้เราจามแบคทีเรียหรือไวรัสออกมาทั้งวันเราก็ไม่ได้ช่วยให้เราหายป่วยเร็วขึ้น
ในทางกลับกัน การไอและจามของเราจะพ่นละอองน้ำมูกและน้ำลายออกมามากมายมหาศาล ทำให้ไวรัสที่เกาะอยู่บนหรือภายในละอองน้ำ (ที่เรียกว่า droplet) สามารถกระจายไปได้กว้างไกล
3.
การจามของเรานั้นเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อร่วมกันมากกว่า 100 มัด แรงส่งของการจามสามารถทำให้ละอองน้ำมูกหรือน้ำลาย 40,000 กว่าฟอง พุ่งออกจากจมูกเราด้วยความเร็วมากกว่า 160 กม./ชม. และสามารถเดินทางไปไกลได้มากถึง 20 เมตร (รวมระยะที่ละอองเล็กๆลอยต่อไปในอากาศ)
ภาพจาก wikipedia
ดังนั้นไวรัสนับล้านภายในแต่ละหยดละอองจึงมีโอกาสกระจายไปสู่ร่างกายของคนที่อยู่ไกลได้มากมาย
ในแง่นี้ก็เหมือนว่า ไวรัสวิวัฒนาการวิธีที่จะหาทางใช้กลไกป้องกันตัวของเราให้เป็นประโยชน์ในการแพร่พันธุ์และส่งต่อพันธุกรรมของไวรัส
4.
ปกติเมื่อเราท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ เราอยากจะให้อาการถ่ายเหลวหยุดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่บางครั้งการหยุดอาการ อาจส่งผลเสียในภาพใหญ่ได้
ตัวอย่างเช่นในคนท้องเสียจากโรคติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด (เช่นโรคบิดหรือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Shigella) การได้รับยาที่ไปหยุดการถ่าย (เช่น ยาที่ลดการบีบตัวของลำไส้) มีแนวโน้มจะมีไข้และป่วยนานกว่าคนที่ไม่ได้รับยา เพราะการถ่ายเหลวเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่จะขับพิษหรือสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากลำไส้
ในทางตรงกันข้ามโรคที่ทำให้ท้องเสียถ่ายเหลวบางโรคเช่น โรคอหิวาต์ อาจจะอาศัยกลไกการถ่ายเหลวเพื่อขับพิษ ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเชื้อโรค
โดยมันจะไม่สนใจว่าปริมาณน้ำที่ร่างกายเราเสียไปจะมากจนเป็นอันตราย สิ่งที่มันต้องการคือ ให้เราถ่ายออกมาเป็นน้ำให้มากและเร็วที่สุด เพื่อที่ตัวมัน (เชื้อโรค) จะได้ไหลตามน้ำออกมาแล้วปนเปื้อนไปในแหล่งน้ำอื่น แล้วแพร่กระจายขยายพันธุ์ให้กว้างไกลที่สุด
โดยสรุป จะเห็นว่าแม้ว่าโรคทั้งสองจะเหมือนกันคือ เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ท้องเสีย แต่ถ้าเรามองผ่านเลนส์ของทฤษฎีวิวัฒนาการ เราจะเห็นภาพของโรคทั้งสองนี้ต่างกันไป
คำถามสำคัญที่เราต้องถามตัวเองคือ
ใครได้ประโยชน์จากการถ่ายเหลวนี้ เชื้อโรคหรือว่าตัวเรา
แล้วเราค่อยพิจารณาว่า เราจะรักษาอาการถ่ายเหลวนี้อย่างไร ?
5.
เมื่อเราเข้าใจกลยุทธ์ต่างๆ ของเชื้อโรคผ่านทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว ในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนสุดท้าย ผมจะชวนไปดูว่า ความรู้ความเข้าใจนี้ จะช่วยให้เราวางกลยุทธ์เพื่อควบคุมทิศทางวิวัฒนาการไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ (โดยเฉพาะเมื่อเกิดโรคระบาด) ได้อย่างไรครับ
(ปิดท้ายด้วยโฆษณา)
สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของโรคติดเชื้อ แนะนำหนังสือ Bestseller ของผมเอง 2 เล่ม เหตุผลของธรรมชาติ และ สงครามที่ไม่มีวันชนะ สามารถสั่งซื้อได้จากลิงก์
อ่านบทความประวัติศาสตร์อื่นๆเพิ่มเติมได้ที่
อ่านบทความวิทยาศาสตร์และการแพทย์ได้ที่
คลิปวีดีโอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เพิ่งเริ่มทำนะครับ ช้านิดแต่จะมีคลิปใหม่ๆตามมาอีกแน่นอน
โฆษณา