17 ก.พ. 2020 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีผู้ครองใจอเมริกันชน” ตอนที่ 5
ประธานาธิบดีคนใหม่
เมื่อหายดีแล้ว แจ๊คก็กลับมาหาเสียงอย่างจริงจังอีกครั้ง
ในเวลานี้ แจ๊คมีอายุได้ 42 ปีแล้ว แต่หลายคนก็มองว่าเขาเด็กเกินที่จะเป็นประธานาธิบดี แม้แต่ประธานาธิบดีในเวลานั้น คือ “ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower)” ก็ได้เป็นประธานาธิบดีขณะที่อายุ 62 ทำให้แจ๊คกลายเป็นเด็กไปทันที
ไอเซนฮาวร์เรียกแจ๊คว่า “เจ้าเด็กนั่น” และผู้คนก็ยังคงคุ้นเคยกับผู้นำที่มีอายุมากซักหน่อย
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower)
นอกจากนั้น แจ๊คยังเป็นคาทอลิกอีกด้วย ซึ่งสหรัฐอเมริกายังไม่เคยมีประธานาธิบดีที่เป็นคาทอลิกมาก่อน และหลายคนก็กังวลว่าหากมีประธานาธิบดีที่เป็นคาทอลิก ประธานาธิบดีอาจจะถูกพระสันตปาปาแทรกแซงอำนาจได้ ซึ่งเรื่องนี้ แจ๊คก็ได้ยืนยันว่าความเป็นคาทอลิกของเขานั้นเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นประธานาธิบดี
1
ในการประชุมใหญ่ของปีค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ได้มีชายอีกคนหนึ่งต้องการจะลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเช่นกัน
ชายผู้นั้นคือ “ลินดอน บี. จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson)”
ลินดอน บี. จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson)
จอห์นสันเป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้มากบารมีและประสบการณ์จากเท็กซัส และเขาก็เห็นว่าแจ๊คนั้นเด็กและไม่มีประสบการณ์มากพอจะเป็นประธานาธิบดี
แต่ถึงแม้จะเด็ก แต่แจ๊คก็ได้รับการเสนอชื่อให้ลงเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยมีจอห์นสันเป็นรองประธานาธิบดี
จอห์นสันคิดอยู่ซักครู่ก็ตอบตกลง เนื่องจากการเป็นรองประธานาธิบดีจะทำให้ชื่อเสียงของเขายิ่งเป็นที่รู้จัก และถ้าหากแจ๊คเป็นอะไรขึ้นมา เขาก็เป็นคนต่อไปที่มีสิทธิได้เป็นประธานาธิบดี จอห์นสันจึงตอบตกลง
2
แจ๊คได้ลงชิงตำแหน่งโดยแข่งขันกับคู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน
นั่นคือ “ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon)”
1
ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon)
นิกสันเป็นรองประธานาธิบดีในสมัยรัฐบาลไอเซนฮาวร์ โดยนิกสันกล่าวว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปีของเขาทำให้เขาเหมาะสมจะได้รับตำแหน่ง โดยนิกสันนั้นต้องการให้รัฐบาลเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจต่างๆ
แต่แจ๊คนั้นคิดว่ารัฐบาลต้องช่วยประชาชนก่อน ต้องทำให้ชีวิตของประชาชนนั้นดีขึ้นก่อน
แจ๊คและนิกสันนั้นได้ดีเบตกันผ่านการออกอากาศสดทางโทรทัศน์ โดยนิกสันนั้นมีลักษณะตื่นเต้น อึดอัด ในขณะที่แจ๊คพูดอย่างสบายๆ และมีการเตรียมพร้อม
ภายหลังจากการดีเบต ได้มีการทำโพลล์ขึ้นมา และผู้ชมการดีเบตกว่าสี่ล้านคนได้โหวตให้แจ๊คกว่าสามล้านคน
ในที่สุด วันเลือกตั้งก็มาถึงในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) และผลคะแนนก็เป็นที่ชัดแจ้งในเวลาตีสองของวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503)
แจ๊คได้เป็นประธานาธิบดี โดยเขาเป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุด และเป็นประธานาธิบดีที่เป็นคาทอลิกคนแรก
เมื่อเข้ามาเป็นประธานาธิบดีแล้ว แจ๊คก็ได้พูดสปีชที่โด่งดังในเวลาต่อมา
“จงอย่าถามว่าประเทศชาติให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามว่าท่านทำอะไรให้ประเทศชาติได้บ้าง”
แจ๊คได้พาแจ๊กกี้และลูกๆ ย้ายเข้ามาในทำเนียบขาว
แจ๊คนั้นชอบในการเป็นประธานาธิบดี เขามักจะตื่นนอนเวลาเจ็ดโมงครึ่ง และมักจะใช้เวลาในตอนเช้าอ่านหนังสือพิมพ์ ก่อนจะอาบน้ำและกินอาหารเช้า และภายในเวลาเก้าโมงเช้า เขาจึงเข้าทำงาน
แจ๊คเคยกล่าวติดตลกถึงงานการเป็นประธานาธิบดีว่า
“งานนี้เงินดีและผมยังสามารถเดินไปทำงานได้อีกด้วย”
แต่ที่หลายคนไม่ทราบและแจ๊คเองก็ไม่เคยเอามาพูดโอ้อวดหรือทวงบุญคุณใครก็คือ แจ๊คนั้นได้นำเงินเดือนจากการเป็นประธานาธิบดีทั้งหมด รวมถึงรายได้ต่างๆ จากการเป็นประธานาธิบดียกให้การกุศลทั้งหมด
อาจจะเป็นเพราะครอบครัวเขารวยอยู่แล้ว แจ๊คจึงไม่ได้มีความจำเป็นเรื่องเงินนัก เขาจึงยกเงินรายได้จากการเป็นประธานาธิบดีทั้งหมดให้แก่การกุศล
แจ๊คให้การสนับสนุนการสำรวจอวกาศ และตั้งเป้าว่านักบินอวกาศอเมริกันต้องไปเหยียบดวงจันทร์ก่อนสิ้นยุค 60
นอกจากนั้น แจ๊คยังเชื่อว่าสหรัฐอเมริกานั้นเป็นชาติที่ร่ำรวย ควรจะต้องช่วยชาติอื่นบ้าง จึงมีการส่งเสบียงไปยังทวีปต่างๆ ประเทศต่างๆ ที่ยากจน
ในเวลานี้ ประชาชนมองแจ๊คและครอบครัวเคนเนดี้อย่างชื่นชม แต่แน่นอนว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ในเวลานั้น ประชาชนถ้าไม่รักแจ๊ค ก็คือเกลียดไปเลย
ชีวิตของแจ๊คจะเป็นอย่างไรต่อ ติดตามได้ในตอนหน้านะครับ
โฆษณา