23 ก.พ. 2020 เวลา 13:49 • การศึกษา
กรณีศึกษา : นานาประเทศ กำลังลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หนี้สาธารณะของอเมริกาพุ่งกว่า 23 ล้านล้านดอลลาร์
Session 1 : จุดเริ่มต้นของหนี้
สถิติข้อมูลที่รวบรวมโดย WolfStreet ล่าสุดพบว่า หนี้สาธารณะของอเมริกาเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 23.3 ล้านล้านดอลลาร์
ซึ่งหากย้อนกลับไปดูในอดีต หนี้ของอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดวิกฤต Great Depression และประกาศยกเลิกใช้ Gold Standard ในช่วงปี 1971 เป็นต้นมา การคาดการณ์ของ CBO แสดงให้เห็นว่า "หนี้" มีโอกาสจะพุ่งสูงกว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
การเติบโตของหนี้เทียบกับ GDP ของประเทศ
ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เอกชนต้องแบกรับเมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศอยู่ที่ 79% ของ GDP สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 95% ภายในปี 2029 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณของสหรัฐฯ เตือนว่าสงครามการค้ากำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกาและลดรายได้ของครัวเรือน การวิเคราะห์โดยสำนักงานงบประมาณกลาง(CBO) คาดการณ์ว่าการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางจะสูงถึง 960 พันล้านดอลลาร์สำหรับปี 2019 ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2020 (ซึ่งตอนนี้ก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไปแล้ว)
1
Phillip Swagel ผู้อำนวยการของ CBO กล่าวว่า "แนวโน้มทางการคลังของประเทศกำลังเสี่ยง" ก่อนที่จะกล่าวเพิ่มเติมว่า "หนี้ของรัฐบาลกลางซึ่งสูงอยู่แล้วตามมาตรฐานทางประวัติศาสตร์ และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นหลังจากปี 2020 เนื่องจากประชากรสูงอายุ การเติบโตของค่าใช้จ่ายต่อหัวของประชากร และดอกเบี้ยที่สูงขึ้น"
ตัวเลขหนี้ของสหรัฐเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1971
Session 2 : ใครเป็นเจ้าหนี้ของสหรัฐฯ ?
หนี้ทั้งหมดคือหนี้ที่รัฐบาลกลางเป็นหนี้ให้กับบุคคลภายนอกรัฐบาลอีกทีนึง ซึ่งก็คือ พวกนายทุน นายธนาคาร บริษัทหุ้น/กองทุน บริษัทประกันภัย นักลงทุนรายย่อย และรัฐบาลต่างประเทศ ง่าย ๆ ก็คือรัฐบาลกลางต้องหาเงินมาคืนคนหรือบริษัทพวกนี้นั้นเอง
ในแง่ของผู้ถือหุ้นต่างชาตินั้น ข้อมูล TIC ของกระทรวงการคลังเปิดเผยให้เห็นสัดส่วนของการถือครองตราสารหนี้ของ "นักลงทุนต่างชาติ" จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2019
"นักลงทุนต่างชาติ" ทั้งหมดในที่นี้ รวมถึงทั้งภาคเอกชนและภาครัฐต่างประเทศทั้งหมด (ที่ไม่ใช่อเมริกา) เช่น ธนาคารกลางและนักลงทุนภาคเอกชนต่างประเทศทุกราย
สัดส่วนการถือครองหนี้ของ "นักลงทุนต่างชาติ" ลดลงเหลือ 28.9% จากไตรมาสก่อน แต่เกือบจะเท่าเดิมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เส้นสีฟ้าแสดงการถือครองในตอนท้ายของแต่ละไตรมาส และเส้นสีแดงคือเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับหนี้สหรัฐทั้งหมด
มีการลงทุนในตราสารหนี้ของสหรัฐ 83 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม แต่ตลอดปี 2019 การถือครองในส่วนของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น 425 พันล้านดอลลาร์เป็น 6.70 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มาคือหน่วยงานต่างประเทศซื้อเพิ่มอีก 35% ของหนี้ที่อเมริกาเป็นในปี 2019 (อีก 65% ผู้ที่ซื้อจะกล่าวภายหลัง)
ญี่ปุ่นมีการถือครองคลัง 6 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม แต่สำหรับปี 2019 ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 113 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันถือครองอยู่ที่ 1.16 ล้านล้านดอลลาร์ (สูงสุดตั้งแต่ปี 2014 ที่ 1.24 ล้านล้านดอลลาร์)
แต่ประเทศจีนได้ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ลงทุกเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายน ในเดือนธันวาคมได้ลดการถือครองอีก 20,000 ล้านดอลลาร์ มูลค่าการถือครองรวมอยู่ที่ 1.07 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2559
1
โดยภาพรวมแล้ว ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นและจีนในฐานะเจ้าหนี้ของอเมริกาลดลงมาหลายปีเนื่องจากหนี้สหรัฐได้พุ่งขึ้นและเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ก็เพิ่มขึ้น สัดส่วนการถือครองโดยรวมของญี่ปุ่นและจีนลดลงเหลือ 9.6% ของหนี้สหรัฐทั้งหมด
1
เจ้าหนี้ของอเมริการายใหญ่ 10 รายถัดไปส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับภาษีและศูนย์กลางทางการเงินรวมถึง อังกฤษซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และเบลเยียมซึ่งเป็นที่ตั้งของ Euroclear ซึ่งจัดการระบบบัญชีจำนวนมาก
ต่อไปนี้คือข้อมูล 10 อันดับการถือครองตราสารหนี้ของประเทศและรัฐต่าง ๆ เมื่อสิ้นปี 2019 (ในวงเล็บการถือครองตอนสิ้นปี 2018)
1. อังกฤษ : 333 พันล้านดอลลาร์ (288 พันล้านดอลลาร์)
2. ไอร์แลนด์ : 282 พันล้านดอลลาร์ (279 พันล้านดอลลาร์)
3. บราซิล : 281 พันล้านดอลลาร์ (303 พันล้านดอลลาร์)
4. ลักเซมเบิร์ก : 255 พันล้านดอลลาร์ (231 พันล้านดอลลาร์)
5. สวิตเซอร์แลนด์ : 237 พันล้านดอลลาร์ (230 พันล้านดอลลาร์)
6. หมู่เกาะเคย์แมน : 231 พันล้านดอลลาร์ (226 พันล้านดอลลาร์)
7. ฮ่องกง : 223 พันล้านดอลลาร์ (196 พันล้านดอลลาร์)
8. เบลเยียม : 210 พันล้านดอลลาร์ (185 พันล้านดอลลาร์)
9. ไต้หวัน : 193 พันล้านดอลลาร์ (157 พันล้านดอลลาร์)
10. ซาอุดิอาระเบีย : 180 พันล้านดอลลาร์ (172 พันล้านดอลลาร์)
มาถึงผู้เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ 65% ที่เหลือ
1. Federal Reserve (FED)
รัฐบาลกลางเพิ่มเงินอัดฉีดอีก 344 พันล้านดอลลาร์ในคลังรวมถึงสัญญาซื้อคืนในปี 2019 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) FED ได้สำรองเงิน ซื้อ และปล่อยกู้หลักทรัพย์จำนวนมาก รวมถึงตั๋วเงินคลัง ผ่านข้อตกลงซื้อคืนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือตลาด ทำให้ตอนนี้ถือครองหนี้ทั้งหมด 2.54 ล้านล้านดอลลาร์
3. กองทุนรัฐบาลสหรัฐ
หน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาถือครองตราสารหนี้ 178 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 รวมเป็น 6.03 ล้านล้านดอลลาร์ หน่วยงานเหล่านี้รวมถึงกองทุนประกันสังคมและกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและหลักทรัพย์ตราสารหนี้ เป็นสินทรัพย์ที่เป็นของผู้รับผลประโยชน์ของกองทุนเหล่านั้น
4. ธนาคารพาณิชย์สหรัฐ
ธนาคารพาณิชย์สหรัฐได้ซื้อพันธบัตรมูลค่า 131,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 ซึ่งถือรวมอยู่ที่ 924 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 4% ของหนี้สหรัฐทั้งหมด
1
5. หน่วยงานอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา
หน่วยงานอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกาซื้อส่วนที่เหลืออีก 141 พันล้านดอลลาร์ในคลังในปี 2562 หน่วยงานเหล่านี้รวมถึงนักลงทุนของสหรัฐ (นอกเหนือจากธนาคารพาณิชย์) รวมถึงกองทุนพันธบัตรกองทุนบำนาญ บริษัทประกันภัยกองทุนป้องกันความเสี่ยง บริษัทเอกชนรวมถึง บริษัทที่ร่ำรวยด้วยเงินสดเช่น Apple และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือครองรวมเป็น 7.0 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 30% ของหนี้สหรัฐทั้งหมดทำให้พวกเขาเป็นผู้ถือครองหนี้รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
แผนภูมิด้านล่างแสดงข้อมูลของผู้ถือหลักทรัพย์ US Treasury รวมถึงธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ของสหรัฐ รวมกันเป็นสีเหลืองด้านบนสุด
ตั้งข้อสงสัยและสรุปสั้น ๆ โดย World Maker
1. จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าผู้ที่ถือของหนี้ของอเมริกามากที่สุดในโลกก็คือผู้คนและหน่วยงานของอเมริกาเอง หากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้นมาลองคิดดูว่าใครจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ?
2. พูดง่าย ๆ ตอนนี้คือทั้งคนและบริษัทอเมริกาเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้กันเอง ถ้าเกิดวิกฤตหนี้ขึ้นมา...พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ
3. ผลกระทบจากไวรัสโคโรน่าทำจีน-สหรัฐแยกกันมากกว่าเดิม เมื่อเศรษฐกิจจีนกระทบ สหรัฐซึ่งต้องพึ่ง Supply จากจีนก็กระทบหนัก ทั่วโลกที่หวั่นเรื่องเศรษฐกิจถดถอยกันอยู่แล้วก็ยิ่งหวั่นมากขึ้นไปอีก
4. "นักลงทุนต่างชาติ" กำลังลดการถือครองเงินดอลลาร์ลงเรื่อย ๆ ทำให้กำลังซื้อของเงินดอลลาร์น้อยลง แต่ตลาดหุ้นอเมริกาตอนนี้ All Time High มันดูขัดแย้งกันไปหน่อยไหมครับ (ฟองสบู่ ?)
1
5. Warren Buffet เปลี่ยนมาถือครองเงินสดมากที่สุดในประวัติการณ์ ปู่กำลังกลัวอะไรอยู่ กลัวตลาดหุ้นล้ม? แต่การถือครองเงินสดนั้นเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยจริง ๆ หรือ ?
6. Ray Dalio ผู้บริหารกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวว่า "Cash is Trash" หรือเงินสดคือขยะ ซึ่งดูเหมือนจะสวนทางกับปู่ Warren Buffet แล้วใครผิดใครถูก ? ทั้งตลาดหุ้นและเงินสดปลอดภัยแน่หรือ ?
3
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา