24 ก.พ. 2020 เวลา 08:20 • ไลฟ์สไตล์
เปิดเรื่องราวชีวิต "นิรุตติ์ ศิริจรรยา" ชีวิตวัย 72 ปี กับการค้นพบความหมายของการอยู่คนเดียว
สวัสดีทุกๆคนนะครับวันนี้นั้นผมก็ได้ไปเจอเรื่องราวที่น่าประทับใจเกี่ยวกับดาราอาวุโสท่านหนึ่งที่ผมนั้นนับถือและชื่นชอบท่านนี้มาก จัดว่าเปรียบเสมือนเป็นอาจารย์หรือครูของผมคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ที่ได้สอนอะไรๆเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตอย่างมากมายและถือได้ว่าเป็นนักแสดงที่มากความสามารถที่ให้ทั้งหลักธรรม ข้อคิดและมีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับผมหรือใครอีกหลายๆคนก็ตาม แล้วเรื่องราวชีวิตของเขาท่านนี้นั้นจะเป็นอย่างไรไปดูเรื่องราวชีวิตและบทสัมภาษณ์กันเลยครับ
[ประวัติโดยย่อ]
อาหนิง "นิรุตติ์ ศิริจรรยา"
เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ปัจจุบันอายุ 72 ปี เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของร้อยตำรวจโท บุญยง กับนางมัลลิกา ศิริจรรยา
นิรุตติ์ เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการชักชวนของเทิ่ง สติเฟื่อง สู่วงการแสดงละครทีวี โดยละครเรื่องแรก คือ แสงสูรย์ รับบทพระรอง โดยมีภิญโญ ทองเจือ เป็นพระเอก คู่กับ อภันตรี ประยุทธเสนี อดีตนางสาวไทย ออกฉายทางทีวีช่อง 7 ขาว – ดำ
นิรุตติ์เริ่มรับบทพระเอกละครเรื่องแรกคือ แค่ขอบฟ้า ของศรีไทยการละคร แสดงคู่กับผาณิต กันตามระ เรื่องนี้ออกอากาศทางช่อง 3 ผลงานเรื่องต่อมาก็คือ กุลปราโมทย์ ออกอากาศทางช่อง 7 สี เรื่อง เพลงชีวิต แสดงคู่กับชัชฎาภรณ์ รักษนาเวศ เรื่อง ทองประกายแสด แสดงคู่กับรัชนี จันทรังษี และผลงานละครที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ติดตราตรึงใจมากที่สุด คือ บทของจะเด็ด จากเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ทางช่อง 4 บางขุนพรหม
จากนั้นได้มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ ดาร์บี้ นับแต่นั้นนิรุตติ์ก็มีผลงานการแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง ผลงานภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นบทพระรอง อย่างเรื่อง ผยอง, เสาร์ห้า, คู่กรรม, ผู้กองยอดรัก และยอดรักผู้กอง, น้ำผึ้งขม, ขุนแผน รวมไปถึงงานกรรมการตัดสินรายการ ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต ฯลฯ
ทางด้านชีวิตส่วนตัวเคยครองคู่อยู่กับ โขมพัฒน์ อรรถยา ก่อนเลิกรากัน และต่อมาได้สมรสกับ อรวรรณ ศิริจรรยา อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กระทั่งภรรยาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อปี พ.ศ. 2540 จึงเดินทางไปอยู่ที่ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา นาน 5 ปีก่อนจะกลับสู่ประเทศไทยใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสวนจังหวัดจันทบุรี
และกลับเข้าสู่วงการอีกครั้งด้วยละครเรื่องแรก สุภาพบุรุษ..ลูกผู้ชาย จากการชักชวนของ ศรัณยู-หัทยา วงษ์กระจ่าง และภาพยนตร์คือ ทวิภพ ส่วนงานละครและภาพยนตร์มีตามมาอีกหลายเรื่อง มหาอุตม์, โอปปาติก, ซุ้มมือปืน, ทับตะวัน, สี่แผ่นดิน, ตามรอยพ่อ, สุดรัก สุดดวงใจ, รักเธอทุกวัน, บ่วงรักกามเทพ, ไฟอมตะ เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว นิรุตติ์ยังเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟมาก โดยจะดื่มในถ้วยขนาดใหญ่แบบถ้วยซุปวันละ 2 ถ้วย (ประมาณ 10 ถ้วยกาแฟธรรมดา) โดยดื่มมาตั้งแต่ยังหนุ่ม
[เริ่มบทสัมภาษณ์]
“การอยู่เงียบๆ คนเดียวทำให้เกิดปัญญา มันทำให้เกิดการบวกลบคูณหาร นำสิ่งไม่ดีออกไปแล้วได้ทบทวน” คือคำแนะนำที่ ‘หนิง’ – นิรุตติ์ ศิริจรรยา ให้กับเราเมื่อตอนเดินทางไปสัมภาษณ์เขาที่จังหวัดจันทบุรี อาหนิงวัยย่างเข้า 72 ปีในวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เขายังเป็นคนมีเสน่ห์ สุขุม ในขณะเดียวกันก็มีอารมณ์ขัน และยังมีความสุขกับชีวิตอย่างน่าอิจฉา
หากมองเผินๆ ความสงบเงียบดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่หาได้จากบ้านสวนแห่งนี้ แต่หลังจากที่ใช้เวลาครึ่งบ่ายกับอาหนิง เราก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่บ้านสวนให้ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะความสงบคือบ่อเกิดแห่งปัญญา และปัญญานั่นแหละที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง คนข้างๆ ไปจนถึงสังคมที่เปรียบเสมือนบ้านของเรา
2
"ชีวิตของคุณมาเริ่มต้นที่จันทบุรีได้อย่างไร"
ผมเริ่มมาที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 2516 แล้วก็มาเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 จนกระทั่งปลูกบ้านเสร็จ ได้ทะเบียนบ้านปี พ.ศ. 2521 บางคนก็ถามว่าปลูกบ้านอะไรนานตั้งสี่ห้าปี เพราะมันเป็นบ้านที่พอเราว่างก็ปลูก เมื่อเรามีตังค์ก็ปลูก ไม่มีก็พอไว้ก่อน เราไม่ได้ปลูกทุกวี่ทุกวัน แล้วก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังมาซื้อบ้านเลย
เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว อุปกรณ์การก่อสร้าง การขนส่งต่างๆ ต้องไปซื้อในตัวจังหวัด ซึ่งตัวจังหวัดอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 32 กิโลเมตร แล้ว 32 กิโลฯ เมื่อก่อนค่อนข้างสาหัสนะ เพราะไม่มีรถที่เครื่องยนต์ดีๆ หรือว่ารถที่บรรทุกได้หนักๆ บางทีเราสั่งหินมาเพื่อผสมกับปูนซีเมนต์ ก่อนที่จะถึงบ้านเราสัก 3 กิโลฯ จะมีด่านตรวจของทหารนาวิกโยธินกับตำรวจ ก็จะต้องทิ้งทรายหรืออิฐไว้ตรงนั้นครึ่งคันรถก่อนแล้วขับเข้ามา พอเข้ามาก็ต้องใช้คนงานเอาหินลง แล้วขึ้นรถกับเขากลับไปขนที่เหลือมา นี่คือความสาหัสและความบุกบั่นที่จะทำบ้านทำสวนที่นี่
เราเริ่มตั้งแต่พัฒนาที่ขึ้นมา ขุดสระน้ำ เอาดินขึ้นมาทำถนน และก็หลายๆ อย่างรวมกัน สำหรับผม สี่ห้าปีเลยไม่ถือว่าช้าไปหรอก เร็วด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็เริ่มปลูกต้นไม้ ปลูกผลไม้ เริ่มจากการปลูกผลไม้แบบที่ชาวบ้านในท้องถิ่นเขาปลูกกัน เราไม่ได้นำผลไม้หรือพืชผลจากต่างถิ่นมาปลูกในนี้ ที่จันทบุรีมีมังคุด ลำไย ลิ้นจี่ และทุเรียน ทุเรียนมันก็มีเยอะแยะหลายสายพันธุ์ ถ้าจะให้ปลูกทุเรียนอย่างเดียวเลยก็ยังได้ แต่เราไม่อยากปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพราะการเป็นชาวสวนชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ ถ้าหากว่าปีนั้นเกิดฟ้าฝนหรือธรรมชาติไม่ดี ถ้าน้ำไม่พอ ถ้าน้ำมากไป ถ้าลมแรงไป ถ้าลมไม่มีเลย หรือว่าไม่มีแมลงมาช่วยในการผสมเกสร ปีนั้นเราอาจจะไม่ได้รายได้เลย
"ความไม่มั่นคงในงานเกษตรเลยเป็นเหตุผลที่คุณยังแสดงละครควบคู่กันตลอดมา"
เกษตรกรจะมีรายได้แค่ปีละ 1 ครั้ง และก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับเราเล่นละคร เรารู้ว่าตอนหนึ่งเราได้ 400-700 บาท ถ้าเป็นในสมัยก่อนนะ ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเรารู้ว่าจะได้ 25,000 บาท แต่การทำสวนไม่สามารถจะคาดเดาได้ บางทีเห็นเงินอยู่แค่เอื้อม แต่พอพายุแรงมาก็หล่นหมด นั่นหมายความว่าปีนั้นเงินเดือนของชาวสวนไม่ออก เมื่อมาคิดได้แบบนี้เราจึงต้องทำสองอาชีพควบคู่กันไป หลายคนเคยถามผมว่ามีสวน มีทุเรียนอยู่ แล้วทำไมจะอยู่สบายๆ ไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้ครับ เกษตรกรไม่สามารถอยู่ได้ด้วยอาชีพเดียว ต้องมีอาชีพหลัก 2 อาชีพ แต่นักแสดงสามารถอยู่ได้ในอาชีพเดียว แม้ว่าจะไม่แน่นอน แต่ถ้าหากรู้จักเก็บ ก็พอที่จะมีเงินอยู่ได้ไปจนแก่ มีบ้านหรูหราอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ มีรถได้ แต่ผมไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนั้น ทุกวันนี้ผมก็ใช้กระบะขับเข้าไปทำงาน
เมื่อก่อนตอนแรกก็ปลูกผลไม้แหละ แต่ก็เกิดเรื่องน่าแปลกขึ้น คือเจ้าของสวนหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่สามารถกำหนดราคาผลิตผลของตัวเองได้ เพราะมีนายหน้าเข้ามากำหนดราคาให้กับเรา เขาไม่เคยคิดว่าเราลงทุนไปเท่าไหร่ เขาเข้ามาบอกว่าให้ 7 บาทต่อ 1 กิโลกรัม ให้ 4 บาทต่อ 1 กิโลกรัม เราก็อยู่กันไม่ได้แล้วแบบนี้ เลยคิดว่าถ้าเรายังเป็นนักแสดงอยู่ ก็รับแสดงอย่างเดียวดีกว่า แล้วก็ปลูกผักปลูกหญ้าเอาไว้กินเอง มันแน่นอนกว่าอาชีพปลูกผลไม้ขาย ไม่มีใครหรอกตื่นขึ้นมาวันนี้แล้วกินทุเรียน 1 กิโลฯ กินมังคุด 2 กิโลฯ มันไม่ใช่ เราต้องมีผักมีปลากินไหม เรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญกว่า ผมเลยตัดสินใจหันมาปลูกป่าแทน ถามว่าปลูกที่ไหน ก็คือปลูกเข้าไปในป่าทุเรียน ป่ามังคุด แล้วมันก็จะเกิดผักพื้นบ้านขึ้น ของกินเหล่านี้มันจำเป็นกว่าของฟุ่มเฟือย ตอนนี้ก็เลยไม่หวังรวยจากการทำสวนแล้วนะ
คำถามที่ถามผมมาจึงต้องขอตอบยาวหน่อย ว่าชีวิตปกติผมทำอะไรและอยู่ที่นี่ทำอะไร ก็คือเลิกทำสวนแล้ว แต่ว่าปลูกป่าแทน และก็มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำอยู่อีก นั่นก็คือปลูกผัก เพราะกลับมาคิดได้ใหม่เมื่อปีหรือสองปีที่ผ่านมานี่เอง ว่าของที่เราชอบเอาเข้าครัวคือผัก ถ้าหากเรามีพืชผักสวนครัวอยู่ที่บ้าน ก็เปรียบเหมือนตลาดที่ให้เราได้จับจ่ายได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ตอนนี้เราเริ่มจากการปลูกผักชี ต้นหอม พริกขี้หนู ตะไคร้ มะกรูด มะนาว
"การทำสวนคาดการณ์ไม่ได้ เตรียมตัวไม่ได้ จริงๆ แล้วมันก็คล้ายกับชีวิตคนเราเหมือนกันนะ"
ไม่หรอก ผมว่าคุณยังไม่เข้าใจปรัชญาของโลกใบนี้ การทำสวนมีสิ่งที่เราบังคับมันไม่ได้ แต่ตัวคนเรา เราสามารถบังคับสิ่งที่จะเกิดกับตัวเองและแก้ไขสิ่งนั้นได้
"ถ้าเป็นเรื่องธรรมชาติ คุณไม่สามารถจะไปแก้ไขหรือต่อสู้กับเขาได้เลย ในทางกลับกัน ถ้าเป็นเรื่องของตัวเรา คุณมีปัญหา คุณสามารถต่อสู้กับตัวคุณเองได้ ขอให้คุณเงียบ คิด แล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"
แน่นอนว่าในชีวิตของคนเราก็มีบางเรื่องที่เราไม่รู้ คาดการณ์ไม่ได้ เช่น อุบัติเหตุ ผลลัพธ์ที่ตอบกลับมามันก็ไม่ใช่ทั้งชีวิตหรอก เพราะฉะนั้น คุณจะเปรียบการทำชีวิตกับการทำสวนไม่ได้ การทำชีวิตมันเกิดขึ้นได้หนเดียว คุณก็คอยแก้ไขปัญหาไป แล้วปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ธรรมชาติมันอาจจะเกิดได้ทุกวัน ปีนี้ก็ได้ ปีหน้าก็ได้ อยู่ๆ ดินถล่มลงมา พรุ่งนี้คุณก็ไม่ได้ตื่นอีกแล้ว
ฉะนั้น มันคนละอย่างกัน เรื่องของธรรมชาติไม่ใช่ชีวิต ไม่มีใครกำหนดธรรมชาติหรือต่อสู้กับธรรมชาติได้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว คุณรู้ตัวแล้ว แต่ใช่ว่าปีหน้ามันจะมาเวลาเดิม มาตามนัดเดิม ความผิดที่คุณสร้างหรือเขาสร้างกับคุณต่างหากที่แก้ไขได้และป้องกันไม่ให้ผิดซ้ำได้ คุณต้องรู้ว่าคุณทำอะไร ทำไมเขามาทำผิดกับคุณ เขาทำอะไรทำไมเราไปทำผิดกับเขา เราสามารถแก้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ได้ ขอให้เข้าใจตรงนี้ก่อนว่ามันไม่เหมือนกัน มนุษย์แก้ไขได้ทุกวัน แต่ธรรมชาติของธรรมชาติไม่สามารถแก้ไขได้
"เมื่อเราแก่ตัวลง ผ่านการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาของเรามาตลอดทั้งชีวิต เราจะเห็นคุณค่าของตัวเองอย่างไร ในทุกวันนี้คุณรู้สึกกับตัวเองอย่างไร"
เป็นคำถามที่ตอบยากมากนะ ถ้าอายุมาก เราจะหมดคุณค่าในตัวเองหรือเปล่า มันก็ถูกถ้าคุณมองในแง่ของธรรมชาติ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เมื่ออายุมากขึ้น คุณค่ามันจะด้อยลงไป แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นสิ่งของล่ะ บางสิ่งยิ่งเก่าจะยิ่งแพง นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ไม่ได้หมายถึงคุณค่าของคนมันจะสูญหายไป
ไม่ว่าคุณจะแก่หรือเด็กแค่ไหน งานทุกอย่างเราเลือกทำได้ อย่างเช่น การเป็นนักแสดง คุณค่าของความเป็นผู้สูงอายุก็ยังมีอยู่ในบทของละครสักเรื่องหนึ่ง หรือภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แน่นอนว่ามันต้องมีพ่อแม่ เด็กไม่ได้เกิดจากกระบอกไม่ไผ่กัน เพราะฉะนั้น นักแสดงที่อายุ 80 ก็ยังสามารถแสดงเป็นปู่ได้ เป็นทวดได้ เป็นอะไรก็ได้ มันขึ้นอยู่กับนิสัย จิตใจ แล้วก็วินัยของนักแสดงแต่ละคน รวมไปถึงความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนี่สำคัญ ระเบียบวินัย และนิสัยใจคอของตัวนักแสดงนั้นคือคุณค่าของแต่ละคนไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
"ความหมายของชีวิตในวัยนี้คืออะไร"
ชีวิตเราหมายถึงอะไรงั้นเหรอ? อืม… อาจจะไม่มีใครตอบได้เลยก็ได้ว่ามันคืออะไร เมื่อเกิดมามีชีวิต มีงานทำ มีครอบครัว มีสิ่งที่เรารัก อันนี้คือสิ่งที่มีความหมายสำหรับเรามากกว่า แต่ชีวิตเราจะมีความหมายสำหรับใครคนอื่นไหม อันนี้เราไม่ทราบได้ แต่ความหมายสำหรับเราคือว่าทุกวันนี้เรามีโอกาส มีโชค และรู้ตัวเราเองว่าตัวตนเราเป็นอะไร ชอบอะไร แล้วเรามีทุกอย่างนั้นครบแล้วหรือยัง ความหมายของชีวิตผมคือการอยู่ได้ง่ายๆ แบบนี้ มีบ้านอยู่ มีที่ที่ให้ทำงานอยู่
"เคยอยากบอกอะไรกับตัวเองเมื่อ 30 ปีที่แล้วไหม"
ไม่ เพราะผมบอกตัวเองทุกวันอยู่แล้ว ทำไมต้องรอให้ผ่านมา 30 ปีแล้วค่อยกลับไปบอก การบอกตัวเองคือการอยู่กับตัวเอง ทุกคนต้องบอกตัวเองอยู่แล้ว คุณตื่นขึ้นมาตอนเช้า คุณออกไปทำงาน คุณต้องบอกตัวเองไหม หรือก่อนคุณจะหลับ คุณต้องบอกตัวเองก่อนไหมว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นกี่โมง และถ้าหากเป็นนักแสดง คุณก็จะต้องรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เขานัดกี่โมง นั่นคือการบอกตัวเอง
ส่วนการบอกตัวเองในเรื่องอื่นๆ มันก็ขึ้นอยู่กับกาลเทศะ อย่างเช่น พรุ่งนี้ผมไม่มีงานไม่มีอะไรเลย ผมก็ไม่บอกตัวเอง ผมก็ปล่อยตัวเองไป ไม่ใช่ว่า 30 ปีที่แล้วถึงจะมาเริ่มบอกตัวเองมันไม่ใช่ มันต้องคิดทุกวัน ต้องบอกตัวเองทุกวันว่าทำอะไร โดยเฉพาะการอยู่นิ่งๆ เงียบๆ คนเดียวสัก 5 นาที หรือใครมีมากกว่านั้นก็ให้อยู่กับตัวเองบ้าง แล้วคุณจะได้ยินเสียงตัวคุณเองพูดกับคุณ
"แสดงว่าการที่อยู่เงียบๆ คนเดียวทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น"
2
ไม่ใช่แค่นั้น การที่เราอยู่เงียบๆ คนเดียวทำให้เกิดปัญญาขึ้นอีกด้วย มันทำให้เกิดการบวกลบคูณหาร นำสิ่งที่ไม่ดีทิ้งออกไป ได้ทบทวน
ไม่ใช่ตื่นขึ้นมาแล้วไปใช้ชีวิตไร้สาระ โดยที่อยู่กับอะไรไม่รู้ ก็ไม่ได้ให้อะไร ปัญญาก็ไม่เกิด สมมติไปเปิดดูโทรศัพท์มือถือหรือไปคุยกับเพื่อน อันนั้นมันเป็นปัญญาของคนอื่นใช่ไหม ปัญญาที่คุณรับคนอื่นมาเต็มๆ โดยที่ไม่ได้คิดกลับหรือกลั่นกรองก่อนนำมาใช้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันอาจจะไม่ถูกสำหรับคุณทั้งหมดไง
ฟังดูคล้ายกับพฤติกรรมการเสพข่าวสารจากโลกโซเชียลมีเดียของคนหนุ่มสาวสมัยนี้เหมือนกัน
ก็อาจจะเป็นแบบนั้น (หัวเราะ) เพราะการที่คุณเอาความคิดของคนอื่นมามันถูกต้องกับคุณหรือเปล่า หรือเขาว่าอะไรไปคุณก็ไปโกรธกับเขาแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่ามันใช่ตัวคุณหรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกับคุณหรือไม่ หรือว่าถ้าสิ่งใดมันเกี่ยวคุณก็ไม่จำเป็นต้องไปโกรธ คนที่มีหน้าที่จะโกรธ คนที่มีหน้าที่จะทำก็ทำไปแล้ว เราก็เฝ้าติดตามไปเท่านั้นเอง แล้วเราก็จะแยกแยะได้ออกว่าความเป็นธรรมกับความไม่เป็นธรรมมันอยู่ตรงไหน แต่ถามว่าใช่หน้าที่ของเราไหมที่จะกระโจนเข้าไปแล้วร่วมตัดสินคนอื่นโดยที่เรายังไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาเลย
"ในวัย 72 ปี มาอยู่ในป่าในสวนแบบนี้รู้สึกเหงาไหม"
ไม่เหงานะ ผมมีสุนัข มีคนงาน จะอยู่คนเดียวก็ตอนที่เรานอนเท่านั้น เหมือนวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องไปอยู่สุสาน ก็ไปคนเดียวเหมือนกัน แต่การที่บอกว่าเราอยู่คนเดียว เราอยู่กับตัวเรา ผมเชื่อว่ายังไงๆ ก็ต้องเป็นสอง ไม่มีวันที่คุณจะอยู่คนเดียวจริงๆ หรอก เพราะมันมีอีกคนอยู่ในตัวคุณเสมอ อย่างน้อยๆ สมองก็คืออีกคนหนึ่ง ใจก็คืออีกคนหนึ่ง ถ้าคุณไม่มีสมองไม่มีใจ คุณก็เป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว
ผมไม่จำเป็นต้องตื่นขึ้นมาแล้วหาคนนั้นมาคุย หาคนนี้มาอยู่ด้วย รู้จักหน้าที่ของเราว่าในแต่ละวันเราต้องทำอะไร ถ้าไม่มีงานแสดง ก็อยู่บ้าน อยู่กับตัวเองบ้าง เล่นกับสุนัขบ้าง ไปทำงานกับคนงานบ้าง และข้อสำคัญที่สุดคือเสียงธรรมชาติ ผมไม่เคยอยู่ตัวคนเดียวเลย ลองฟังสิครับ ต้นไม้วันนี้ก็มีความแตกต่าง อยู่นิ่งๆ ก็มีความแตกต่าง เราก็เห็นว่ามันเป็นยังไง ได้กลิ่นดินขึ้นมาเป็นยังไง พวกนี้มันเข้ามาทำให้หายเบื่อได้ อยู่ที่ว่าคุณสนใจหรือเปล่า ถ้าไม่สนใจ ถึงแม้อยู่กับคนเป็นร้อย คุณก็เหงาอยู่ดี เพราะไม่ได้ยินเสียงสักคน แต่ถ้าคุณสนใจแล้ว ต่อให้อยู่คนเดียวกับความเงียบ คุณจะได้ยินเสียงอะไรอีกมากมาย
"เราอยากรู้อะไรคือสิ่งที่ทำให้อยากตื่นขึ้นมาในทุกๆ เช้า"
ผมคิดว่าแค่ได้ตื่นขึ้นมาก็ดีมากแล้วนะ (หัวเราะ) เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราไม่มีทางรู้เลย ผมคิดเกือบทุกอย่างแล้ว ผมไม่ได้หวังอะไร ไม่ได้รออะไร ผมอยู่มาถึงอายุ 72 ปี ก็ว่าพอแล้วนะ สิ่งที่ยังต้องทำอยู่คือทำความดีไปเรื่อยๆ อย่าไปทำให้คนอื่นเขาเสียใจ โดยเฉพาะตัวเราเอง ดังนั้น ไม่ว่าจะตื่นหรือไม่ตื่นก็ไม่เป็นไร ไม่เคยรอ มีหน้าที่ก็ต้องทำไป ถ้าเขาไม่จ้างงานก็จะไปรออะไร ต้นไม้ต้นนี้มันเป็นกะเทยมันไม่ออกลูก รอให้มันออก รอแล้วจะได้อะไร ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดในแต่ละวัน รู้ว่าตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำอะไร วันนี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่มีหน้าที่ก็ทำหน้าที่ที่ไม่มีหน้าที่นั่นแหละ แต่ถ้าวันไหนมีหน้าที่ก็ไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เพราะฉะนั้นแล้วชีวิตผมไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรอ แต่ขึ้นอยู่กับการรู้หน้าที่และทำหน้าที่ของตนนั้นให้ดีที่สุดเท่านั้นเองพอแล้ว
"ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องราวจากบทสัมภาษณ์การใช้ชีวิตของอาหนิง
"นิรุตต์ ศิริจรรยา" สุดท้ายนี้ผมก็หวังว่าบทความชิ้นนี้จะทำให้ใครหลายๆคนได้ข้อคิดดีๆจากคุณอาหนิงกันไปไม่มากก็น้อยนะครับ"
ขอบคุณข้อมูล/ภาพ : https://adaybulletin.com
, Wikipedia
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณครับ😊🙇"
โฆษณา