5 มี.ค. 2020 เวลา 15:50 • ความคิดเห็น
บันทึกการเดินทางฉบับที่ 6 กับการทำเพจครบ 6 เดือน 😃🖌️
อีกครั้งกับวาระพิเศษที่ตัวผมอยากจะบันทึกเรื่องราวการเดินทางของตัวผมเองในการมาเป็นนักเขียน
ถือว่าเดินทางมาไกลนะสำหรับผม เขียนมา 9 เดือนครึ่งและเปิดเพจมา 6 เดือน
พร้อมจะฟังการพร่ำเพ้อเรื่องของตัวเองหรือยังครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาเลย . . .
ย้อนมองกลับไปเมื่อครั้งวัยเด็ก กลับมาดูตัวเราในวันนี้ก็ไม่น่าเชื่อนะ วันนั้นตอนที่คุณครูบอกให้เราหัดเขียนไดอารี่ เขียนเรียงความ เขียนรายงาน
มันทรมานมากเลยในตอนนั้น เรียนจบมาได้เริ่มทำงานก็ยังไม่วาย เขียนรายงานอีกแล้วเฮ้ย โอวววโนวววว ชีวิต 😅
แต่พอทำงานไปซักพักเริ่มพบว่า การเขียนรายงาน การเขียนบันทึกการประชุมที่ดีมันมีประโยชน์ต่องานและต่อตัวเรามาก 🧐
มันเหมือนเป็นภาคบังคับ แต่นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้น . . .
เมื่อหลายปีก่อนเคยมีความคิดว่าอยากจะเขียนไม่ซิ แปลบทความวิทยาศาสตร์จากวารสารต่างประเทศ เช่นพวก Discovery, Popular Mechanic, Science Illustrated ดูเล่น ๆ
แต่ก็ไม่รอด เพราะมันเป็นการแปลเลยรู้สึกเหนื่อย ก็พับโครงการไป
จนมาวันนี้ผมเขียนแบบไม่แปล ถ้าให้ถูกต้องบอกว่าสิ่งที่ทำทุกวันนี้เป็นการอ่านเรื่องจากแหล่งที่มา แล้วมาเล่าต่อน่าจะตรงกว่า
บางเรื่องเอามาแต่รูปแล้วบรรยายเองเลย ต้นฉบับเขียนอะไรไม่ค่อยได้สนใจ เพราะมันมีเรื่องที่อยากเล่าอยู่แล้วในหัว
สิ่งนี้ได้มาจากการที่ผมเขียนบทความมา 260 บทความต่อเนื่องเกือบทุกวัน ไม่ได้เป็นพรสวรรค์อะไรเลย ลองกลับไปอ่านบทความแรก ๆ ของผมดูได้ว่ากากขนาดไหน
อ่านที่คนเก่ง ๆ เขียน สำนวนแบบไหนที่อ่านแล้วลื่นไหล สนุก ก็จำเอามาปรับใช้กับของเรา เขียนเสร็จอ่านทวน รู้สึกติด ๆ ขัด ๆ มั้ย ปรับไปเรื่อย ๆ
และปัจจุบันผมเขียนบทความได้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ บทความหลัง ๆ มานี่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจใช้เวลาทั้งคืนกว่าจะเขียนเสร็จ เดี๋ยวนี้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงโดยเวลากว่าครึ่งใช้ไปกับการหารูปประกอบที่เหมาะกับเนื้อหา
** เป้าหมายและการวัดผลก็สำคัญถ้าหากอยากจะจริงจัง **
ข้อแนะนำแรกที่ผมพูดเสมอตั้งแต่บันทึกการเดินทางฉบับแรกสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ที่คิดจะลองมาเขียน คือ Mindset ว่าเขียนเพราะอยากจะเขียนก่อน แต่จะอยากเพราะอะไรก็แล้วแต่คน
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้พิจารณาจริงจังหากอยากจะเป็น "นักเขียน" คือคุณจะต้องมีความเป็นมืออาชีพ ดังนั้นการวัดผล ประเมินผลงานตนเองต้องมี ถ้ายังอยากที่จะเขียนต่อไป
การประเมินต้องมีหากคิดจริงจัง
การเลือกให้ความสำคัญต่อการประเมินผมเคยพูดไว้แล้วในบันทึกการเดินทางฉบับก่อน ๆ และปัจจุบันการประเมินงานเขียนของผมนะเหรอ
เป้าแรก เขียนให้มีคนแชร์ต่อเนื่องให้นานที่สุด
ทำไม? เพราะมีคนแชร์แปลว่าคนอ่านแล้วชอบที่เราเขียน รู้สึกว่ามีประโยชน์ควรค่าที่จะแชร์ต่อ
ปัจจุบัน งานเขียนสุดท้ายที่ไม่มีคนแชร์เลยคือ เมื่อ 4 มกราคมที่ผ่านมา ก็เกือบ 2 เดือนละ ผมพอใจนะ
แม้แต่รีวิวหนังก็ยังมีคนแชร์แม้จะคนสองคนก็ตาม นั่นคือมีคนที่ชอบการรีวิวของเรา
เป้าสอง หลังจากมีระบบให้ทิปนักเขียน โพสที่ได้ทิปคือโพสที่ผมถือว่า "ผ่าน" งานเขียนเรามีค่ามากพอที่คนอ่านอยากให้ทิป ปัจจุบันพยายามเขียนให้ได้ทิป ไม่ใช่เพราะอยากได้ตัง แต่เหมือนได้โล่ห์มากกว่า
เป้าสาม เขียนให้ได้ดาวติดต่อกันมากที่สุด เพราะนั่นคือการบ่งบอกถึงคุณภาพและความคงเส้นคงวาของงานเขียนเรา การที่จะได้ดาวติดต่อกันมันเป็นความท้าทายที่ผมตั้งใจจะทำลายสถิติไปเรื่อย ๆ
จักเขียนให้ได้ดาวพร่างพราวดุจทางช้างเผือก
ปัจจุบันสถิติดีที่สุดคือ 10 โพสต่อเนื่อง แต่ยังไงก็ไม่ขอหยุดแค่นี้ 😉
ทั้งนี้การวัดผลก็เพื่อใช้ในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้รู้ว่าเรามีการพัฒนา และการวัดผลควรต้องใช้ตัวชี้วัดที่มองมาจากข้างนอก
ในความเป็นจริง งานเขียนที่ดีของเราไม่ใช่เพราะเราคิดว่ามันดี แต่เพราะคนอื่นคิดว่ามันดี 🧐
** การเติบโตของเพจ **
ขอพูดนิดเดียว
เดือนแรก คนติดตามเพิ่ม 700
สองเดือนถัดมา คนติดตามเพิ่ม 2000
สามเดือนถัดมา คนติดตามเพิ่ม 3500
ผมพอใจนะ ค่าเฉลี่ยต่อเดือนดีขึ้นเรื่อย ๆ
** คำแนะนำสำหรับนักเขียนทั่ว ๆ ไป **
- Mindset วินัยและความอดทน เหมือนที่หลายท่านแนะนำไปแล้วไม่ขอพูดซ้ำ
- เพจเฉพาะทาง สุดท้ายเดี๋ยวมันจะหมด หรือเพจที่เขียนเกี่ยวกับงานหรืออาชีพที่ทำอยู่ มันก็คือการขายเรื่องราวสิ่งที่เราทำแต่ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น เห็นมาหลายเพจ ช่วงแรกมาแรงแล้วก็แผ่วไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ หายไป 😔
อันนี้ความเห็นส่วนตัว แต่จากที่เล่น BD มาปี กว่า นี่คือสิ่งที่ผมเห็น เป็นไปได้หาแนวทางที่ชอบและต่อยอดได้เผื่อไว้ในวันที่หมด
** คำแนะนำสำหรับเพจแนววิทยาศาสตร์ **
ขออนุญาติเอามะพร้าวมาขายสวน ปกติผมคอยดูและตามเพจแนวเดียวกัน เพราะ
1. ศึกษาแนวทาง บางเพจใช้เป็นเป้าเสียหมายเสียด้วยซ้ำ (เราจะไปถึงจุดนั้นให้ได้บ้าง 😁)
2. เพราะไม่ค่อยมีเพจแนวนี้เหลือรอด ต้องคอยตามไปช่วยกด Like เพราะงานเขียนแนวนี้เข้าถึงคนยากด้วยลักษณะเนื้อหา
หลายเพจเขียนดี เนื้อหาดี แต่มันมีแต่เนื้อหามีรูปเปิดแค่รูปเดียว แล้วก็เนื้อหา พรืด ๆ ถ้าไม่รักกันจริงนี่ไม่อ่านต่อแน่ ๆ
รูปปลากรอบมันต้องมี เพิ่มความแซ่บให้บทความ
หากสังเกตทุกบทความผมจะมีรูปอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 4 รูป ในขณะที่บทความของแหล่งที่ผมอ้างอิงบางบทความมีรูปเปิดแค่รูปเดียว ที่เหลือผมต้องไปหาเอามาเพิ่มเอง
แต่ละบทความผมจะใช้เวลากว่าครึ่งในการหารูปประกอบที่เข้ากับเนื้อหา เพราะ "ภาพ เล่า เรื่อง" ได้ดีมาก ๆ
และบางคนอาจจะรู้ว่าผมนั้นเป็นสายแคปด้วย นั่งแคปรูปจากวีดีโอมานั่งอธิบายเป็นฉาก ๆ เพราะผมคิดว่ามันอธิบายได้ดี วีดีโอเขาทำดี เราเอามาเล่าต่อได้เลย
ดูภาพประกอบพร้อมคำอธิบายมันเข้าใจกว่ามานั่งอ่านตัวหนังสือพรืด ๆ เป็นไหน ๆ บทความวิทยาศาสตร์ไม่ใช่นิยายที่ต้องใช้จินตนาการของคนอ่านเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านนะผมว่า 😁
รูปนะ ใส่ไปเหอะ เยอะ ๆ เลย แต่เอาที่เกี่ยวกับเนื้อหานะ ให้ภาพช่วยเล่าเรื่อง บางบทความผมถึงขนาดตามไปแกะเอาใน Paper แคปรูปมาจากในนั้นเพราะรูปมันช่วยอธิบายได้เยอะเลย 😉👍
** คำแนะนำสำหรับผู้อ่าน **
งงดิ อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่อยากพูดหลังจากอ่านและเขียนมาพักใหญ่ โดยเฉพาะช่วงนี้
เบื่อกันไหมครับ มีแต่เรื่องซ้ำ ๆ โควิช การลงทุน พัฒนาตนเอง บางคนอาจจะไม่เบื่อ ก็ชอบอะ ใช่ครับเป็นสิทธิ์ของผู้ใช้งานทุกคน
แต่ผลก็คือ ความหลากหลายมันเริ่มหายไปจาก BD แน่นอนว่าเรายังเลือก Tab ประเภทโพสที่สนใจได้ แต่สุดท้ายผมว่ามันจะก็จะส่งผลภาพรวม APP อยู่ดี คนอาจจะเริ่มเบื่อ เลิกเล่น คนใหม่เข้ามาดูก็เบื่อ มีเรื่องอยู่แค่ไม่กี่แบบ
หนึ่งคนหนึ่งสิทธิ์กด Like ให้งานเขียนหลากหลายแนวทางได้มีที่ยืนบ้างก็ดีนะครับ
ตอนนี้ผมเริ่มงด Like งานเขียนหมวดฮิตอย่างที่กล่าวมาข้างต้นละ ถ้าไม่เขียนได้ดีมีประโยชน์แบบจัด ๆ อะนะ
โอเค พร่ำเพ้อมาพอสมควร จะบอกว่า โพสนี้ เขียนนานกว่าบทความวิทยาศาสตร์บางเรื่องเสียอีกนะเนี่ย 😁
ยังไงก็ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับมิตรรักแฟนเพจที่คอยติดตามและให้กำลังใจมาตลอด
จะพยายามพัฒนาผลงานต่อไปเรื่อย ๆ ครับ
😃🙏

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา