10 มี.ค. 2020 เวลา 00:57 • ข่าว
Morning News : สรุปประเด็นสำคัญน่ารู้ภาคเช้าวันนี้
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
1. รัสเซียเคลื่อนไหวแล้ว ปรับราคาน้ำมันสู้ และเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก !!!
Alexander Novak รัฐมนตรีฝ่ายพลังงานของรัสเซียออกมารายงานว่า "รัสเซียจะทำการแข่งขันเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดน้ำมัน โดยไม่สนใจว่าราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร"
"อุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซียมีฐานทรัพยากรที่มีคุณภาพสูงและมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากพอที่จะสามารถแข่งขันกับตลาดได้ในทุกระดับราคาที่คาดการณ์ไว้ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst case scenario) เราจะยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ได้" Novak กล่าวในเว็บไซต์ทางการของรัฐบาลรัสเซีย
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังรัสเซียยังออกมาย้ำเพิ่มเติมอีกว่า"แม้แต่ในราคาน้ำมันที่ระดับ 25-30 $/บาร์เรล รัสเซียจะยังสามารถรักษางบประมาณของประเทศและอยู่รอดไปได้อีก 6-10 ปีเป็นอย่างน้อย"
ซึ่งต้นทุนการผลิตน้ำมันของแต่ละประเทศเรียงจากต่ำไปสูง เป็นดังนี้
1. ซาอุดิอาระเบีย 5-9 $/บาร์เรล
2. รัสเซีย 15-20 $/บาร์เรล
3. สหรัฐฯ 30-50 $/บาร์เรล (เพราะเทคโนโลยีที่ใช้สูงกว่า)
ส่วนต้นทุนของรายจ่ายที่แต่ละประเทศต้องรักษางบประมาณและรายได้จากการขายน้ำมันไว้ เป็นดังนี้
1. ซาอุดิอาระเบีย 70-80 $/บาร์เรล (สวัสดิการณ์เยอะ)
2. รัสเซีย 50-60 $/บาร์เรล (ข้อมูลจาก Bloomberg) แต่กระทรวงการคลังรัสเซียระบุว่าต้นทุนส่วนนี้อยู่ที่เพียง 25-30 $/บาร์เรล
3. สหรัฐฯ ไม่มี เพราะเป็นประเทศที่ขุดด้วยเอกชน (แต่อย่าลืมว่าหนี้ที่ภาคเอกชนแบกไว้นั้นมหาศาล)
การเคลื่อนไหวครั้งนี้หากใครได้อ่านบทความที่แล้วคงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย Putin คงเล็งเห็นแล้วว่าคนที่เดือดร้อนจากสงครามครั้งนี้ไม่ใช่รัสเซียหรือซาอุฯ แต่เป็นสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นแล้วการคว้าโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไว้จึงเป็นเรื่องที่ Make Sense ที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน (สำหรับผู้ที่ยังไม่อ่านเกี่ยวกับสงครามน้ำมันสามารถอ่านได้ที่ https://www.blockdit.com/articles/5e65f6063dda560c96671e3a)
2. ทรัมป์ออกมาทวีตเตอร์เรื่องสงครามน้ำมันและตลาดหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนัก โดยกล่าวว่าเป็นเพราะข่าวปลอมทำให้ตลาดหุ้นตก
ไม่นานหลังจากตลาดหุ้นที่อเมริกาโดนเทขายจนติด Circuit Breaker แรกเป็นที่เรียบร้อย ทรัมป์ได้ออกมาทวีตโดยมีข้อความหลัก ๆ 4 อย่างคือ
"Good for the consumer, gasoline prices coming down!"
เขาอ้างว่าการที่ราคาน้ำมันลดลงนั้นส่งผลดีต่อผู้บริโภค (จริง ๆ เรื่องนี้มันก็แน่นอนอยู่แล้ว) แต่สิ่งที่เขาไม่ได้กล่าวคือผลกระทบอย่างมหาศาลที่จะตามมา ถึงแม้ชาวสหรัฐและคนทั่วโลกจะได้ใช้น้ำมันที่ถูกลง แต่ทั้งหมดที่ซาอุฯ ทำคือการทำลาย Shale Industry ของสหรัฐโดยเฉพาะ !
ลองนึกภาพว่าการผลิตน้ำมันมากกว่า 15 ล้านบาร์เรลต่อวันของสหรัฐฯ จะอยู่รอดได้อย่างไรที่ระดับราคา 20-30 $/บาร์เรล ! พร้อมกับหนี้สินกว่า 6 ล้านล้านบาท ที่ภาคอุตสาหกรรมน้ำมันทั้งหมดของสหรัฐฯ แบกอยู่
"So much FAKE NEWS!"
ข้อความนี้คงจะสื่อว่าเป็นเพราะข่าวปลอมเรื่อง Coronavirus ที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งได้ขนาดนี้ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมทรัมป์ถึงให้เหตุผลแบบนั้น เพราะแหล่งข่าวทั้งโลกต่างก็รายงานข่าวตรงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Bloomberg Reuters หรือสื่ออื่น ๆ ระดับโลก ข้อความนี้จึงไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก และฟังดูเหมือนเขากำลังดูถูกคนทั้งโลกว่าได้รับข่าวสารปลอม (มัน Make Sense ไหมเนี่ย)
"Saudi Arabia and Russia are arguing over the price and flow of oil. That, and the Fake News, is the reason for the market drop!"
ทรัมป์กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงหนักขนาดนี้ว่ามาจากการทำสงครามน้ำมันของซาอุฯ และรัสเซีย รวมไปถึงข่าวปลอม
สิ่งที่ไม่เป็นจริงในข้อความนี้คือซาอุฯ และรัสเซียไม่ได้ทำสงครามกันเอง แต่กำลังทำสงครามกับอเมริกาต่างหาก (ไม่งั้นทำไมคนที่เดือดร้อนที่สุดถึงเป็นนทรัมป์ล่ะ ทั้ง ๆ ที่ฝั่งปูตินและซาอุฯ ดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนอะไรเลย) นอกจากนั้นสิ่งที่เขาไม่ได้กล่าวในข้อความนี้คือตลาดหุ้นมันร่วงมาก่อนหน้านี้หลายวันแล้วจากผลกระทบเกี่ยวกับ Coronavirus
"So last year 37,000 Americans died from the common Flu. It averages between 27,000 and 70,000 per year. Nothing is shut down, life & the economy go on. At this moment there are 546 confirmed cases of CoronaVirus, with 22 deaths. Think about that!"
เขาให้มุมมองในเรื่อง Coronavirus ว่า เมื่อปีที่แล้วมีชาวอเมริกัน 37,000 คนเสียชีวิตจากไข้หวัดตามฤดูการ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะมีผู้ติดเชื้อ 27,000 ถึง 70,000 คนต่อปี แต่ไม่มีอะไรต้องยุติลง ชีวิตและเศรษฐกิจยังดำเนินต่อไป และในขณะนี้ มียอดผู้ติดเชื้อที่ยืนยันแล้วเพียง 546 ราย และเสียชีวิตเพียง 22 คน ลองคิดถึงจุดนี้สิ!
ข้อความนี้จริงอย่างที่เขากล่าวอ้าง แต่มีอีกหลายสิ่งที่เขาไม่ได้กล่าวถึงและมันมีนัยสำคัญมากกว่าเรื่องนี้ก็คือ อัตราการแพร่ระบาดของ Coronavirus สูงกว่าไข้หวัดใหญ่เสียอีก และเขาพูดถึงยอดผู้ติดเชื้อเพียงในอเมริกาเท่านั้น แต่สิ่งที่คนทั่วโลกมองคือภาพรวม สุดท้ายการที่ตอนนั้นเศรษฐกิจยังดำเนินต่อไปได้ เพราะมันยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เข้ามาเสริมทัพความวิกฤตอย่างเช่นในปัจจุบัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์พยายามจะลดความน่ากลัวของไวรัสในสหรัฐลง หลาย ๆ ครั้ง ทรัมป์ ได้พูดออกอากาศว่าไวรัสนี้ไม่มีอันตรายในขณะที่อัตราการเสียชีวิตอยู่ต่ำกว่า 1% ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐได้ออกมาย้ำเตือนอยู่หลายครั้งให้ ระวังการแพร่กระบาด และอัตราการเสียชีวิตของสหรัฐอยู่ที่ 5% ซึ่งสูงที่สุดในโลกในขณะนี้
และเพื่อไม่ให้ตลาดโดนเทขายหนักไปกว่านี้ ทรัมป์ได้เรียกประชุมด่วนกับทีมเศรษฐกิจที่ทำเนียบขาวเพื่อหารือเรื่องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงินหรือการกดดันให้ FED ลดดอกเบี้ย...(หรืออาจเป็นวิธีสุดโต่งอื่น ๆ ของเขาก็ได้)
3. กลุ่มบริษัทในภาค Shale Industry ของสหรัฐฯ เร่งปรับตัวโดยด่วน !
กลุ่มบริษัทผู้ผลิตหินน้ำมันในสหรัฐฯ ปรับลดค่าใช้จ่ายลงมากที่สุดอย่างเร่งด่วน และอาจจะลดกำลังการผลิตลงในอนาคต ซึ่งสวนทางกับกลุ่ม OPEC+ และรัสเซียที่กำลังเดินหน้าผลิตอย่างเต็มกำลัง (ตรงนี้ใครอ่านบทความที่แล้วก็จะเห็นว่ามันเป๊ะเวอร์อย่างที่เคยอธิบายไว้)
สัญญาน้ำมันดิบทั่วโลกปรับตัวลดลงประมาณ 20% ซึ่งเป็นการลดลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามอ่าวในปี 2534
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา OPEC+ และพันธมิตรส่วนใหญ่ รวมถึงรัสเซียได้ Supply น้ำมันเพื่อพยุงราคาเอาไว้ ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางให้ผู้ผลิต Shale oil ในสหรัฐฯ เพิ่มกำลังการผลิตและครองส่วนแบ่งการตลาดได้
ขณะนี้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกโดยสูบได้เกือบ 13 ล้านบาร์เรล/วัน (ข้อมูลตรงนี้บางแห่งบอก 13 บางแห่งบอก 15 คลาดเคลื่อนกันเล็กน้อยนะครับ) แต่บริษัทที่ดำเนินงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯ เหล่านี้ กลับต้องพยายามดิ้นรนเพื่อหาเงินลงทุน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมนี้แบกหนี้ไว้จำนวนสูงมาก
แม้แต่ก่อนหน้าที่ข้อตกลงของ OPEC+ และรัสเซียจะล้มเหลว บริษัทเหล่านี้ก็ยังต้องดึงเงินทุนมาใช้จ่าย และตั้งเป้าผลกำไรที่ต่ำมากอยู่แล้ว อีกทั้งยังต้องเร่งการผลิตเพิ่มขึ้นไปอีก (แล้วลองนึกภาพว่าต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่ถูกบีบคั้นโดยรัสเซียและ OPEC+ อีก)
บริษัทที่ถือหนี้ไว้สูง และได้รับผลกระทบอย่างมากในตอนนี้เช่น
Apache Corp ( APA.N ) ดัชนีหุ้นลดลงเกือบ 54%
Occidental Petroleum Corp ( OXY.N ) ดัชนีหุ้นลดลง 52%
Diamondback Energy Inc ( FANG.O ) และ Parsley Energy Inc ( PE.N ) ซึ่งเป็น บริษัทเอกชนเกี่ยวกับ Shale oil ที่ใหญ่ที่สุดสองรายกล่าวว่าพวกเขาลดการขุดเจาะลงเพื่อรักษากระแสเงินสดให้สูงกว่าค่าใช้จ่ายที่ยังดำเนินการอยู่ โดยอาจจะลดแท่นขุดเจาะลงเหลือ 12 จาก 15 แท่น และจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด
แม้แต่บริษัทน้ำมันที่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลก็ไม่รอด
Exxon Mobil Corp (XOM.N) ร่วง 12%
Chevron Corp (CVX.N) ร่วง 15%.
Goldman Sachs กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ตลาดน้ำมันในตอนนี้ ดูเลวร้ายกว่าในเดือนพฤศจิกายน เมื่อปี 2557 เสียอีก และเมื่อสงครามราคาน้ำมันเริ่มต้นขึ้นเสริมกับการแพร่ระบาดของ Coronavirus มันบ่งบอกถึงการล่มสลายของ Demand น้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศกล่าวว่าความต้องการน้ำมันถูกกำหนดให้หดตัวในปี 2563 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2552 หน่วยงานได้ลดการคาดการณ์ประจำปี และกล่าวว่า Demand น้ำมันจะลดลง 90,000 บาร์เรล/วัน ในปีนี้
ธนาคารใหญ่ ๆ ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ Demand ทั่วโลกลง Morgan Stanley คาดการณ์ว่าจีนจะไม่มีการเติบโตของ Demand เลยในปี 2563 ขณะที่ Goldman Sachs คาดว่าความต้องการทั่วโลกจะลดลง 150,000 บาร์เรลต่อวัน
Bank of America ปรับลดราคาน้ำมันดิบ Brent เป็น 45 $/บาร์เรล จาก 54 $/บาร์เรล
รายงานการวิจัยทั่วโลกของ Bank of America ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างรุนแรงแสดงให้เห็นว่าซาอุดิอาระเบียต้องการให้สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสามไตรมาสถัดไป เป็นผลให้ตอนนี้เราคาดว่าราคาน้ำมัน Brent จะลดลงอยู่ในระดับ 20 $/บาร์เรล ในช่วงหลายอาทิตย์ต่อไปนี้
4. ระดับความกลัวของ Wall Street เพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณให้เห็นว่าจะมีการเทขายมากกว่าเดิม
นักลงทุนหลายคนกำลังเดิมพันว่าตลาดจะผันผวนในอีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่มีการถล่มขายหุ้นสหรัฐฯ และจะเป็นความผันผวนในระดับที่รุนแรงกว่าวิกฤตทางการเงินทุกครั้ง
Cboe Volatility Index (VIX) หรือดัชนีความผันผวนของ Cboe ที่เรียกกันว่า "มาตรวัดความกลัวของ Wall Street" ทันทีที่เปิดตลาด VIX ปรับตัวขึ้นกว่า 20 จุดเหนือระดับปิดเมื่อวันศุกร์ ทำให้ขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 62.12 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551
ปัจจุบันทั้ง Dow Jones, S&P 500, Nasdaq ยังปรับตัวลดลงกว่า 7% ดัชนี VIX อยู่ที่ระดับ 54.46
แม้จะมีการเทขายอย่างหนักเกิดขึ้น แต่ดัชนี VIX ก็ยังปรับตัวสูงขึ้นอีก นั่นหมายถึงการที่นักลงทุนอาจต้องเผชิญกับสภาวะที่ผันผวนยาวนานขึ้น
จำนวนหุ้นที่ร่วงลงมีทั้งหมด 2860 หุ้น เทียบกับจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมีเพียง 75 หุ้น
5. มีข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก และอาจลงถึง 0%
นักวิเคราะห์ระดับโลกรวมถึงสำนักข่าวระดับโลกหลายแห่งเช่น Bloomberg CNN และ Reuters ระบุโดยคาดการณ์ว่า FED จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 18/03/2563 ที่จะถึงนี้ โดยเครื่องมือ FED Watch Tools ของ CME ระบุว่ามีโอกาสถึง 74.1% ที่ FED จะลดดอกเบี้ย 25-50 BP
ก่อนหน้านี้ความเชื่อมั่นของตลาดว่า FED จะลดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานให้เป็น 0 ในสัปดาห์หน้าพุ่งขึ้นเกือบ 95%
แน่นอนว่าหาก FED ลดอัตราดอกเบี้ยลงจนเหลือ 0% จะเป็นการยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่แท้จริงของวิกฤตครั้งนี้แน่นอน (ใครงงว่ามันเกี่ยวอะไรต้องไปอ่านบทความนี้ครับ https://www.blockdit.com/articles/5e6294138776e80c9e7095fe)
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา