30 มี.ค. 2020 เวลา 08:00 • สุขภาพ
สิงคโปร์ใช้ไม้แข็งสู้covid19
กับมาตราการที่รับมือการแพร่ระบาดของcovid 19 จนได้รับคำชมจาก องค์กรอนามัยโลก (WHO)
ช่วงที่โลกกำลังแข่งขันกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ สิงคโปร์ได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีในการตรวจหาและสกัดไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างระมัดระวังของกระทรวงสาธารณสุขได้ผลเพราะข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก มาตรฐานทางการแพทย์สูงและสามารถออกมาตรการเข้มงวดได้โดยไม่มีการต่อต้าน
ปลายเดือนก่อนรัฐบาลเพิกถอนสถานะผู้มีถิ่นพำนักถาวรของชายวัย 45 ปีคนหนึ่ง เพราะฝ่าฝืนคำสั่งให้อยู่บ้าน
หัวใจสำคัญของแผนสู้ไวรัสโคโรน่าคือสิ่งที่ทางการเรียกว่า “การติดตามผู้ติดต่อ” ตรวจสอบว่าผู้ป่วยไปไหนบ้างเพื่อหาคนที่อาจติดเชื้อรายต่อไปโดยอาศัยความร่วมมือของตำรวจ
ระบบนี้ประกอบด้วยการสัมภาษณ์ผู้ป่วย โทรหาคนที่ผู้ป่วยติดต่อสัมผัส หรือแม้แต่รวบรวมข้อมูลการเดินทางของผู้ป่วยจากผู้ให้บริการขนส่งคมนาคม
“สิงคโปร์ทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหา ตรวจสอบผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบทุกราย” ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) กล่าว
แม้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้าเอื้อให้ไวรัสเข้ามาแล้วแพร่กระจาย แต่ด้วยความเป็นประเทศเล็กเพียง 720 ตารางกิโลเมตร ประชากร 6 ล้านคน อีกทั้งปกครองโดยรัฐบาลพรรคเดียวมาตั้งแต่ได้เอกราชในปี 2508 สิงคโปร์จึงสร้างตนเองเป็นประเทศร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย พร้อมๆ กับการควบคุมอย่างเข้มงวด
ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยแพร่เมื่อกลางเดือน ก.พ. ระบุ ถ้าทุกประเทศมีความสามารถตรวจจับได้เหมือนสิงคโปร์ โลกจะพบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 2.8 เท่า
“การรับมือโควิด-19 ของสิงคโปร์ตั้งอยู่บนฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ข้อมูลเชิงประจักษ์ และการวิจัยทางการแพทย์ การรับมือจึงสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพ ไม่มีการขอโทษสำหรับมาตรการเข้ม เช่น ห้ามเข้าสังคม ปันส่วนหน้ากาก บังคับกักตัว และสั่งให้อยู่บ้าน” ตัน กล่าวโดยหมายถึงคำสั่งห้ามประชาชนจำนวนมากรวมตัวกัน และการที่รัฐบาลส่งหน้ากากอนามัยให้ครัวเรือนละ 4 ชิ้น
อีกด้านหนึ่งคณะรัฐมนตรีลดเงินเดือน 1 เดือน เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคร้าย
ล่าสุดมาตราการที่ออกมาคือ กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ประกาศว่า ประชาชนที่ไม่ยอมเว้นระยะห่าง 1 เมตรจากผู้อื่นในที่สาธารณะ อาจถูกปรับเป็นเงินถึง 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (6,985 ดอลลาร์) หรือถูกจำคุกสูงสุด 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ ประชาชนจะต้องนั่งหรือยืนเข้าคิวในที่สาธารณะโดยเว้นระยะห่างจากผู้อื่นไม่น้อยกว่า 1 เมตร โดยกฎดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อคืนวานนี้ และจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.
ผู้นำสิงคโปร์ 3มาตราการรับมือcovid19 การแพทย์ เศรษฐกิจ จิตวิทยา
นายกลี เซียนลุง ผู้นำจากประเทศสิงคโปร์เผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการการป้องกันการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งแบ่งเป็น 3 หัวข้อก็คือการแพทย์ เศรษฐกิจ และจิตวิทยา หลังจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ประกาศยกระดับไวรัส COVID-19 เป็นการระบาดทั่วโลก (Pandemic)
เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกนั้นเริ่มสูงขึ้น และเข้าสู่สภาวะการระบาดทั่วโลกแล้ว ตามคำคาดการณ์ของสิงคโปร์นั้น ไวรัส COVID-19 นั้นจะยังคงระบาดเรื่อย ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือมากกว่านั้น
นายกลียังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ถึงแม้ว่าสิงคโปร์นั้นจะไม่ปิดประเทศเหมือนเกาหลีใต้ จีน หรืออิตาลี สิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์นั้นจะทำคือการวางแผนล่วงหน้าในการออกมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น การลองใช้งานจริง และเตรียมความพร้อมของประชาชนสิงคโปร์หากเกิดสถานการณ์จริง
การแพทย์
หากตัวเลขผู้ติดเชื้อนั้นพุ่งขึ้นสูงเรื่อย ๆ ทางรัฐบาลนั้นไม่สามารถที่จะนำตัวผู้ติดเชื้อทุกรายไปยังสถานพยาบาล และแยกทุกคนออกจากกันได้ โดยผู้ติดเชื้อ COVID-19 จำนวนมากถึง 80% นั้นมีอาการไม่รุนแรง ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงส่วนมากจะอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีอาการอื่นอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงเท่านั้นที่จะถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่อาการไม่รุนแรงนั้นให้กักกันตัวอยู่ที่บ้าน และแยกตัวเองจากผู้อื่น ซึ่งการใช้วิธีนี้จะช่วยให้การทำงานของทางโรงพยาบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นเร็วขึ้น รวมถึงสามารถลดอัตรการเสียชีวิตลงได้
นอกจากแผนการในการรักษาผู้ติดเชื้อ รัฐบาลสิงคโปร์ยังเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างระยะห่างระหว่างคนสู่คนในสังคม โดยการออกมาตรการหลาย ๆ อย่าง เช่น การหยุดเรียน การจัดเวลาทำงานให้ไม่ตรงกัน หรือข้อบังคับให้ติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งนโยบาย ‘break’ เหล่านี้จะช่วยลดโอกาสในการแพร่ระบาดของไวรัส ป้องกันไม่ให้สถานพยาบาลนั้นมีผู้ป่วยหนาแน่นเกินไป และทำให้อัตรการติดเชื้อนั้นลดลง
และเมื่อการระบาดของไวรัสนั้นยังอยู่กับประชาชนไปอีกสักระยะหนึ่ง นายกลีจึงแนะนำให้ประชาชนนั้นเตรียมตัวกับวิถีใหม่ ๆ เช่น การรักษาความสะอาด การนำบรรทัดฐาน (social norms) ใหม่ ๆ มาใช้ และการหลีกเลี่ยงการรวมตัวในคนหมู่มาก เช่น การเข้าร่วมทางศาสนา อย่างตัวอย่างในประเทศเกาหลี ที่มีการเกิดการระบาดของโรคเป็นวงกว้าง (super spread) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวทางศาสนาของลัทธิชินชอนจี
เศรษฐกิจ
นายกลียอมรับว่าเศรษฐกิจของสิงคโปร์นั้นถูกกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ทางรัฐบาลจึงออกมาตรการการช่วยที่ต้องใช้เงินมากถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและช่วยเหลือธุรกิจต่าง ๆ ภายใต้วิกฤติเช่นนี้ มาตรการเหล่านี้ก็อาจจะยังไม่เพียงพอในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเช่น ธุรกิจโรงแรม การบิน การแพทย์ และฟรีแลนซ์ภายใต้ยุคการรับจ้างแบบชั่วคราว (gig economy) ดังนั้นในขณะนี้รัฐบาลจึงได้กำลังเตรียมมาตรการใหม่ที่จะช่วยธุรกิจต่าง ๆ ในด้านของต้นทุนและกระแสเงิน (cost and cash flow) ให้ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจนี้ไปได้ รวมถึงการรักษางานของพนักงานไว้ และเมื่อเศรษฐกิจสิงคโปร์นั้นเข้าสู่สภาวะปรกติ กลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มแรกที่พร้อมและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
จิตวิทยา
นายกลีเผยว่าหน่วยงานของรัฐที่เผชิญหน้า COVID-19 โดยตรงนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักหน่วงเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสและควบคุมสถานการณ์ภายในสิงคโปร์ ประชาชนทุก ๆ คน รวมถึง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่การขนส่งสาธารณะ คนขับแท็กซี่ และพนักงานทำความสะอาด คนนั้นเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้น
ด้วยความโปร่งใส่ของรัฐบาลต่อประชาชน ทางนายกลีนั้นยังย้ำอีกว่าให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยก็ต่อเมื่อรู้สึกไม่สบาย ไม่วิตกกังวลว่าอาหารและของใช้ในร้านค้าจะขาดตลาด ยอมรับในมาตรการของรัฐบาล และเปลี่ยนพฤติกรรมตามคำแนะนำ
โดยนายกลีได้กล่าวขอบคุณที่ชาวสิงคโปร์นั้นมีความรับผิดชอบต่อสังคมและให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลเป็นอย่างดี และขอบคุณที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุน และยังเพิ่มเติมอีกว่าสิ่งที่ทำให้สิงคโปร์นั้นแตกต่างจากประเทศอื่นก็คือการที่พวกเรานั้นเชื่อมั่นในกันและกัน เราเผชิญสถานการณ์นี้ด้วยกัน และเราไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้ ถ้าหากทุกคนคอยเฝ้าระวัง เพื่อที่จะปกป้องตัวเองและครอบครัว รวมถึงทำให้เศรษฐกิจของเราขับเคลื่อนไปข้างหน้า และในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ ทุกคนมีบทบาทของตนเองที่จะร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อช่วยให้ครอบครัวของเราและประเทศสิงคโปร์นั้นปลอดภัย และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน
กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ประกาศห้ามผู้ถือวีซ่าระยะสั้นจากทุกประเทศในโลก เดินทางเข้าสิงคโปร์ หรือต่อเครื่องที่สิงคโปร์ โดยเป็นมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ส่วนผู้ถือวีซ่าทำงานและผู้ติดตามจะเข้าประเทศได้ก็ต่อเมื่อทำงานในภาคบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น บริการสุขภาพและการขนส่ง
วันที่30มี.ค. ผู้ติดเชื้อของสิงคโปร์อยู่ที่732คน และรักษาหายแล้ว183ที่เห็นตัวเลขสูงแบบนี้แต่พอมาดูดีๆแล้วการเป็นประเทศศูนย์กลางสินค้าของโลก มีคนหลายเชื้อชาติที่เข้ามายังประเทศสิงคโปร์ การติดตามผู้ติดเชื้อที่มีคุณภาพมากที่สุดเลยก็ว่าได้ การเป็นประเทศเล็ก สามารถบริหารดูแลได้อย่างทั้วถึง และบุคลากรการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพมาก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา