5 เม.ย. 2020 เวลา 03:13 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 8
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
ความเดิมตอนที่แล้ว
ตองมารอรับเสี่ยงอู๋ ทัวร์ยุคใหม่ตลาดไทย และลูกสาว แบมแบม ระหว่างนั้น ตองได้ถูกแก๊งของพิภพหัวล้านลวนลาม แต่บี บางรัก และ นกโน่ บางรักมาช่วยไว้ทัน ตองตกหลุมรักบี ในขณะที่บีก็ดูเหมือนจะเริ่มมีใจเอนเอียงมาทางตอง เสี่ยอู๋ตั้งใจจะมาพัฒนาพื้นที่ของบางบอกดิกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่จะไม่แตะพื้นที่ส่วนป่าลึก “ป่าพยนต์” อันเป็นสถานที่เร้นลับ อาถรรพ์
อีกด้านหนึ่ง นายหัวเฉื่อยดูจะไม่สนใจในการทำธุรกิจและมอบให้กานต์ บัญชีเป็นคนทำหน้าที่แทน มิสเตอร์ท็อป เหลียง ยื่นข้อเสนอให้กานต์ในการใช้ที่บางบอกดิกเป็น Hub ในการขนส่งเฮโรอีนไปยังประเทศในภูมิภาค
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน “บางบอกดิก” ได้ ณ บัดนี้...
บางบอกดิก ตอนที่ 8
ห้องประชุมคฤหาสถน์พ่อเลี้ยงก้อม
“ฉิบหายป่นปี้หมด”
พ่อเลี้ยงก้อมตวาดขึ้นมาด้วยโทสะอย่างแรง ในขณะที่เต้ เบียร์วุ้น และลูกน้องก้มหน้านิ่ง
พ่อเลี้ยงก้อมอัดบุหรี่เข้าปอดแล้วพ่นออกมา ก่อนจะด่าต่อ
“แล้วเอ็งยังมีหน้ากลับมารายงานความผิดพลาดอีกนะไอ้เต้”
“เอ่อ...ก็...ผมเห็นว่า...” เต้ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร ใจก็กลัวพ่อเลี้ยงจะหยิบปืนมายิงกระบาลตนเอง
“พอเลย ๆ “ พ่อเลี้ยงโบกมือห้าม “ข้าไม่อยากฟังเอ็งแก้ตัว”
พ่อเลี้ยงก้อมหันมาทางแมน เมืองชล
“เรื่องนี้เอ็งมีความเห็นยังไง ไอ้แมน”
แมน เมืองชล
แมนครุ่นคิดครู่ใหญ่ก่อนจะออกความเห็น
“ไม่น่าใช่พวกตชด. เพราะไม่ได้แสดงตนเข้าจับกุม บางทีอาจจะเป็นพวก ผกค.ที่คิดจะหักหลังชิงของเราระหว่างทางก็อาจเป็นไปได้ แต่ผมยังคิดว่าอาจเป็นคนกลุ่มอื่นครับ”
“มันจะมีใครอีกวะ”
พ่อเลี้ยงก้อมถามพลางวางบุหรี่ลง แล้วหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา คราวนี้เป็นกาแฟเย็นพ่อเลี้ยงซดเข้าไปอึกใหญ่
“นายไม่ดื่มกาแฟร้อนแล้วเหรอครับ?” เต้สงสัยเอ่ยถาม
“ไม่แดกแล้วกาแฟร้อน ลวกปากทุกที แดกกาแฟเย็นนี่ล่ะ ส่ายนมเยอะ ๆ อร่อยดี”
ตอนที่พ่อเลี้ยงก้อมพูดประโยค “ส่ายนมเยอะ ๆ” สายตาของพ่อเลี้ยงก้อมมองไปที่สระว่ายน้ำเห็นเด็กสาวสองคนในชุดว่ายน้ำกำลังเล่นน้ำในสระกันอย่างสนุกสนาน
พ่อเลี้ยงก้อม
“แล้วที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง” พ่อเลี้ยงหันมาถาม
แว่น เลี้ยงยาย ที่นั่งจ๋องอยู่ข้างหลังสุด ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาพ่อเลี้ยงก้อม
“ผมหลอกพามันไปที่โชโกะเลาจ์ แล้วให้น้อง ๆ ที่นั่นล้วงความลับครับ ข้อมูลเท่าที่ได้คือ ไอ้หมอนี่เดินทางแบกถุงทะเลเที่ยวไปทั่ว เหมือนตามหาคนครับ เท่าที่ดูไม่น่าใช่คนของทางราชการส่งมา เพราะดูแล้วน่าจะเป็นนักเที่ยวตัวยงครับ และก็ดูจะหื่นอยู่ไม่น้อย”
แว่น เลี้ยงยาย
“อย่างนั้นก็น่าจะเบาใจ ไม่ต้องเปิดศึกหลายทาง” พ่อเลี้ยงก้อมจิบกาแฟเย็นไปพูดไป
“ผมสงสัยไอ้กลุ่มคนลึกลับที่มาปล้นสินค้าของเรา มันชำนาญเส้นทางหลบหนีมาก ป่าลึกแถบนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปข้องเกี่ยว กลัวพรายพยนต์มาหักคอ แต่พวกนี้ถ้ามันไม่ใช้เส้นทางในป่าพยนต์หลบหนี ก็ต้องหนีไปทางชายแดน และถ้าไปทางชายแดนก็แสดงว่าเป็นพวก ผกค.มันหักหลังมาปล้นเราก่อน” แมนเสริมขึ้น
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่หนีเข้าไปในป่าพยนต์ ถ้าไม่หลงป่า ก็ตายห่าเพราะพรายพยนต์” เต้กล่าวบ้าง
“พ่อเลี้ยงครับ ผมว่าเราจะลองส่งคนไปแกะรอยตามเส้นทางหนีของมันนะครับ” แมนเสนอแนะขึ้นมา
เต้ เบียร์วุ้น
“เอ็งจะบ้าเหรอไอ้ห่าแมน” เต้ขัดขึ้น “เข้าไปให้โดนหักคอสิ เอ็งก็รู้ไอ้พวกลูกน้องเก่าของข้า ที่เข้าไปล่าสัตว์สงวนในป่านั้นถูกหักคอหมดเลย รุ่งเช้ามีคนพบศพมันสามคนนอนคว่ำหน้าอยู่ที่ตรงหน้าศาลเพียงตาหน้าต้นไทรผูกผ้าสามสี”
“น่าประหลาด...ทางพวก ผกค.มันกลับไม่ทวงถามที่เราส่งอาวุธให้มันล่าช้า” พ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้น
“หรือว่า...พวกมันเองที่ปล้นเรา แล้วจะหลอกเอาเงินค่าปรับจากเราสองต่อ” แมนเอ่ยขึ้น
“นั่นไง..ข้าว่าแล้ว” เต้เสริมขึ้น
แต่แมนยังขมวดคิ้วเหมือนรู้สึกว่าทุก ๆ อย่างมันง่ายดาย และลงตัวเกินไป แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เต้ เบียร์วุ้นเปลี่ยนหัวข้อประชุมเพื่อเลี่ยงประเด็นโดนตำหนิทำงานผิดพลาด
“เอ่อ...นายครับ ผมได้ยินข่าวว่ามีนักธุรกิจกจากจีนมาติดต่อกับไอ้นายหัวเฉื่อย เรื่องจะใช้ที่นี่เป็น หับ หรือฮับอะไรนี่ล่ะ”
“ฮับมั้ง” แมนเสริม “ก็ประมาณจุดลงสินค้าก่อนส่งต่อไปยังที่อื่นครับ”
“มันวางแผนจะค้าเฮโรอีนส่งขายให้ประเทศเพื่อนบ้านครับ” เต้อธิบายต่อ
“เฮโรอีน” พ่อเลี้ยงก้อมทวนคำ “เอ็งจำไว้นะไอ้เต้ และทุก ๆ คน คนอย่างพ่อเลี้ยงก้อมถึงจะชั่ว แต่ก็ไม่ค้าเฮโรอีนเด็ดขาด มันมีแต่ทำลายชีวิตผู้คน ข้าไม่ทำ”
พูดจบพ่อเลี้ยงก็ลุกเดินตรงไปที่สระน้ำ ถอดเสื้อคลุมออก แล้วกระโดดลงไปในสระ ไล่ปล้ำสาว ๆ สองคนที่กำลังว่ายน้ำเล่นอย่างมีความสุข
“ข้าเห็นด้วยกับพ่อเลี้ยงนะ จะทำผิดกฎหมายอะไรก็ทำไป แต่ค้าประเวณี กับ ยาเสพติด ข้าไม่ทำว่ะ” แมนตัดบทก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปสตาร์ทมอเตอร์ไซต์เพื่อกลับไปหาเพ็ญ-ภาเมียรัก
ทิ้งให้เต้ เบียร์วุ้นกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
....
สนามบินดอนเมือง
สนามบินดอนเมือง
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดเชิร์ตสีขาว กางเกงสีน้ำตาล ยืนรออยู่ตรงพื้นที่รอรับผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ
สักพักหนึ่งกลุ่มผู้โดยสารก็เดินออกมาเป็นขบวน ชายหนุ่มกวาดตามองตาม ก่อนจะพบเห็นหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่ง ใส่แว่นดำเดินสะพายเป้ออกมาพร้อมกับกลุ่มผู้โดยสารเหล่านั้น
ผู้กองวีกิจ หลิว
ชายหนุ่มที่รออยู่โบกมือเป็นสัญญาณให้ หนุ่มเอเชียคนนั้นเดินตรงมาพร้อมกับถอดแว่นกันแดดสีดำออก พลางยื่นมือขวาจับทักทาย
ชายหนุ่มคนไทยเป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวก่อน
“ผมหมวดอติ เพาะสุข ทางเบื้องบนมอบหมายให้มาเป็นผู้ช่วยของผู้กองวีกิจ หลิวครับ”
“ขอบคุณครับ ทางสำนักงานตำรวจสากลส่งผมมาติดตามคดีของนักค้ายาเสพติดข้ามชาติ มิสเตอร์ท็อป เหลียงครับ”
“จะเข้ากองบัญชาการก่อนไหมครับ หรือจะเดินทางต่อเลย” หมวดอติเอ่ยถาม
“ผมขอเป็นเดินทางต่อไปยังพื้นที่เฝ้าระวังเลยครับ ระหว่างเดินทางเราบรรยายสรุปกันทางวิทยุแล้วกัน”
“ได้ครับ” หมวดอติเตรียมจะทำท่าเคารพแบบตำรวจ แต่ผู้กองวีห้ามไว้
หมวดอติ เพาะสุข
“หมวดอย่าลืม เรามาแบบราชการลับ” ผู้กองวีเตือนขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หมวดอติได้ต่อวิทยุไปยังกองบัญชาการ ซึ่งได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการตามขั้นตอนที่ได้มีการซักซ้อมความร่วมมือระหว่างกรมตำรวจไทยกับสำนักงานตำรวจสากลแล้ว
จากประวัติ ผู้กองวี หรือชื่อจริง วีกิจ หลิว มีมารดาเป็นคนไทย ส่วนบิดาเป็นคนฮ่องกง ภายหลังจากพ่อแม่แยกทางกัน วีกิจ หลิวถูกบิดานำตัวไปเลี้ยงดูที่ฮ่องกง จนจบการศึกษา และได้รับคัดเลือกเป็นซีไอดี ก่อนที่ทางกรมตำรวจจะเห็นความสามารถและถูกผลักดันไปอยู่ในหน่วยงานตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล โดยมีหน้าที่คือกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติ
ผู้กองวีกิจ หลิว
วีกิจเล่าให้อติฟังในระหว่างเดินทาง
“เท่าที่ผมทราบคือ มิสเตอร์ท็อป เหลียง ใช้เครื่องบินส่วนตัวบินลัดเลาะหลบเรดาห์ของทางการเข้ามาในประเทศไทยแล้ว และตอนนี้อยู่ในสถานที่หนึ่งของประเทศไทย เตรียมแผนที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฮับในการส่งยาเสพติดไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อไป”
“ทำไมถึงเลือกประเทศไทยครับ” หมวดอติสงสัย
“คาดว่าเพราะไทยอยู่ตรงกลางของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะขนถ่ายออกไปได้ทุกทิศทาง”
“แล้วสถานที่ที่มิสเตอร์ท็อปเหลียงจะใช้เป็นฮับคือที่ไหนครับ?” หมวดอติถามต่อ
“บ้านบางบอกดิก!” ผู้กองวีกิจตอบ
และนั่นคือจุดหมายปลายทางที่รถโตโยต้าคันนี้กำลังมุ่งไป
....
เสก ก้าวเล็ก บอกกับผู้ใหญ่ข้าว เขาได้ห้องเช่าของเฮียหมู ท่ารถบอกดิก เป็นห้องแถวอยู่ท้ายตลาด เพราะเสกเห็นว่า มันไม่ค่อยจะสะดวกและเหมาะสมเท่าไรนัก ตัวของเขาเองรู้ดีว่า พฤติกรรมของเขาบางเรื่องก็ดูจะไม่เหมาะสม แม้ผู้ใหญ่ข้าวจะไม่ได้พูด แต่แม่ฉัตรก็คงไม่สบายใจเท่าไรนัก การเลือกออกมาหาที่พักเองนั่นจะเป็นการดีที่สุด
อีกประการเสกต้องการจะค้นหาความจริงบางอย่าง
เสก ก้าวเล็ก
ตั้งแต่เจอสุที่ห้องเสื้อจริยาในวันก่อน เสกรู้สึกคาใจกับเค้าหน้าของสุ และความรู้สึกเหมือนว่าเคยรู้จักมาก่อน
แม้เสกจะผ่านผู้หญิงมามากหน้าหลายตา แต่ความรู้สึกที่มีต่อสุไม่ใช่แบบชู้สาวหรือความรัก สิ่งที่เสกรู้สึกมันคลับคล้ายความรู้สึกแบบคนรู้จักมากกว่า การที่เสกย้ายออกมาก็เพื่อจะค้นหาความจริงเรื่องนี้
เสกถือโอกาสมาเตร็ดเตร่แถว ๆ ห้องเสื้อจริยา ระหว่างเสกเดินเกือบถึงร้านเสริมสวย เพ็ญ-ภา เขาก็เห็นรถมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งแล่นมาจอด ชายคนนั้นก้าวลงจากรถ เขาหันมาสบตากับเสกแว่บหนึ่ง ผงกศรีษะให้
เสกผงกศรีษะตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ดูท่าทางจะเป็นนักเลงคนจริงคนหนึ่ง” เสกคิดในใจ
ชายคนนั้นคือ แมน เมืองชล เขามองสำรวจเสก ก็รู้ในทันทีว่านี่คือ คนแปลกหน้าต่างถิ่นที่ต้องมีฝีไม้ลายมือพอตัวทีเดียว
แมนเป็นนักเลงเก่า แม้จะเป็นลูกน้องของพ่อเลี้ยงก้อม แต่ตัวเองมักนับถือน้ำใจคนจริงด้วยกัน
แมน เมืองชล
เสกเดินผ่านแมนไป ส่วนแมนก็เดินเข้าไปในร้าน เหมือนเช่นเคย เพ็ญคนพี่ง่วนอยู่กับการเตรียมทำอาหาร ส่วนภาคนน้องกำลังกวาดเศษผมที่อยู่บนพื้นใส่ในที่ตักผง
แมนย่องเข้าไปทางด้านหลัง ก่อนจะโอบเอวของภา และดึงมากอดจากด้านหลัง พลางบรรจงหอมแก้มหนึ่งฟอด
“ว๊ายยยยยย”
ภาตกใจอุทานออกมา เผลอเอาด้ามไม้กวาดเขกศรีษะแมนเสียงดังโป๊ก แมนร้องลั่น
“น้องภา เดี๋ยวพี่แมนหัวแตกนะจ้ะ” แมนโอดโอยพลางเอามือลูบหัวบริเวณที่ถูกโขก มันเริ่มบวมขึ้นมานิด ๆ
ภา
“สมน้ำหน้า...คนผีทะเล” ภายิ้มเยาะ “ใครใช้ให้เข้ามาด้านหลัง ภาก็นึกว่าถูกลวนลาม”
“โถ....คนแถวนี้เขาต่างก็รู้ดีว่า น้องภาเป็นเมียของแมน เมืองชล ใครจะกล้าแหยมจ้ะ” แมนส่งยิ้มหวาน
“เกิดอะไรขึ้น” เพ็ญถือมีดทำครัววิ่งออกมาดู
“นี่น้องเพ็ญถือมีดมาจะแทงพี่แมนเหรอ....น่าหวาดเสียว” แมนจ้องมองเพ็ญแบบยิ้ม ๆ
“ก็นึกว่าใครเข้ามาทำมิดีมิร้ายน้องสาวเพ็ญนี่” เพ็ญทำเป็นสะบัดหน้างอนใส่แมน
แมนรีบตรงเข้าไปหา “เอ๊า...มา...กอด...กอด”
แมนกอดเพ็ญแล้วหอมแก้มซ้ายทีขวาที เพ็ญหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้
“ตัวเหม็นเหงื่อจัง” เพ็ญทำเป็นผลักแมนออกเบา ๆ
“เดี๋ยวพี่แมนรีบไปอาบน้ำ แล้วจะมาให้เพ็ญดมใหม่อีกทีว่าหอมรึยัง”
เพ็ญ
“เซี้ยวจริง ๆ พี่แมน....เดี๋ยวเพ็ญรีบไปทำกับข้าวต่อดีกว่า”
“วันนี้ทำอะไรให้พี่กินเหรอ?” แมนถามขึ้น
“ก็มีสามอย่างนะ ไก่ทอดเกลือ กากหมูผัดพริกขิง แล้วก็ แกงส้มดอกแค” เพ็ญตอบ
“ดีเลยแกงส้มดอกแค เหมาะกับพี่แมนมาก” แมนตอบ
“เหมาะยังไงเหรอพี่แมน” ภาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แมนถามขึ้น
แมนใช้มือขวาโอบไหล่ของภาไว้จนแนบชิดกับตัวเอง ก่อนจะตอบว่า
“ก็ถึงพี่แมนจะไม่ใช่คนบางแค แต่ก็แคร์อยู่บางคน คือน้องเพ็ญน้องภาไงจ้ะ”
ภาหน้าแดงด้วยความเขิน ตีแขนแมนเบา ๆ
แมนหัวเราะชอบใจ ก้มลงหอมแก้มภาอีกรอบด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะเดินผิวปากขึ้นบันไดไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านบน
ระหว่างอาบน้ำถูตัว แมนนึกถึงท่าทีหยอกเย้าสองพี่น้องเพ็ญ-ภาแล้วเจ้าตัวก็ยิ้มอย่างมีความสุข ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมาก เวลานี้ตนเองได้อยู่กับคนที่รักจนพรรคพวกอิจฉาและเรียกขานในหมู่เพื่อนฝูงว่า “แมน เมืองชล คนสองเมีย” ดูเหมือนแมนจะภูมิใจกับฉายานี้มากเป็นพิเศษ
ยิ่งคิดถึงเมียรักทั้งสอง แมนยิ่งสยิวกิ้วขึ้นมา
แมนกลับลงมาอีกครั้งพร้อมกับเห็นว่าเพ็ญภานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว แมนยิ้มให้กับสองสาว คืนนี้เขาไล่ลำดับดูว่ามันเป็นวันอะไร และเป็นคิวของใคร แต่แล้วแมนก็เอ่ยขึ้นกับสองสาว
“คืนนี้จะเป็นวันอะไรไม่สำคัญ แต่พี่แมนคิดว่าเรากินแซนวิชกันดีไหม น้องเพ็ญน้องภา” แมนยิ้มอย่างมีเลศนัย
ส่วนเพ็ญกับภาสบตากัน นั่งอมยิ้มหัวเราะคิกคัก แต่ทั้งหมดเหมือนจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่ รีบ ๆ กินข้าวให้หมดโดยเร็ว
“ภาจ้ะ จานชามเดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยล้างเถอะ เดี๋ยวพี่เพ็ญช่วย พวกเราสองคนรีบอาบน้ำกันดีกว่า จะได้กินแซนวิชกัน”
“พี่แมนเตรียมปั้นไข่คน ปนไข่แข็งไว้ให้น้องเพ็ญน้องภาด้วยนะ”
แมนบอกพลางจูงมือสองสาวขึ้นบันไดอย่างไว
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล
....
หลังจากเดินผ่านตัวของแมน เมืองชลมาแล้ว เสก ก้าวเล็กก็เลี้ยวมาเจอร้าน “ห้องเสื้อจริยา” เขาหยุดยืนข้างหน้า ทำท่าจะเอื้อมมือไปผลักออก แต่ก็ชักมือกลับมา ทำอย่างนั้นอยู่สองครั้ง ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าประตูร้านด้วยความลังเล
“สวัสดีค่ะ”
เสียงใส ๆ ดังขึ้นด้านหลังเสก จนเสกต้องหันกลับไปดู เจ้าของเสียงนั้นคือสุนั่นเอง
สุ
“สวัสดีครับ” เสกกล่าวตอบ
“จะมาตัดเสื้อเหรอคะ? เชิญในร้านก่อนเลยค่ะ”
สุกล่าวเชื้อเชิญพร้อมกับเดินผ่านหน้าเสกผลักประตูร้านเข้าไป
เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้ที่ประตูดังขึ้น
หลังเคาน์เตอร์ตัดเสื้อเจี๊ยบที่กำลังก้มหน้ากับงานออกแบบเสื้อ เงยหน้าขึ้นมาดูเห็นว่าลูกสาวเดินเข้ามาจึงก้มหน้าบรรจงวาดแบบต่อไป
เสกที่เดินตามหลังสุเข้ามาด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน ที่เขามองเห็นคือหญิงสาวคนหนึ่งกำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับงานออกแบบเสื้อบนเคาน์เตอร์
สุเอ่ยถามเป็นชุด
“ตั้งใจจะตัดเสื้อแบบไหนคะ สำหรับผู้ชายหรือผู้หญิงดีคะ มีแบบรึยัง?”
เสกเงียบเพราะเขาไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี
ส่วนเจี๊ยบที่กำลังวาดแบบอยู่ เธอได้ยินเสียงลูกสาวถามลูกค้า แต่เห็นลูกค้าเงียบไม่ตอบ จึงวางดินสอลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
เจี๊ยบ จริยา
แต่ที่เจี๊ยบเห็นคือ สุ ลูกสาวของเธอยืนอยู่ในร้านเพียงลำพัง ส่วนประตูร้านเพิ่งงับปิดพอดี
“อ้าว...ลูกค้าไปไหนแล้วล่ะ?” เจี๊ยบถาม
“เห็นอยู่ดี ๆ ก็รีบจ้ำออกไปน่ะค่ะแม่” สุตอบด้วยท่าทางงุนงงและขบขัน
“พิลึกคน” เจี๊ยบยักไหล่ก่อนจะก้มหน้าลงวาดแบบเสื้อต่อไป
สุยิ้มแล้วเดินเข้าไปทางด้านหลังร้าน
เสกรีบสาวเท้าออกจากร้าน เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามสุอย่างไร สิ่งที่นึกออกและทำได้คือ รีบสาวเท้าออกจากร้านอย่างไว และแทบจะทันทีที่เสดพ้นประตูออกไป ก็พอดีกับที่เจี๊ยบเงยหน้าขึ้นมาพอดี
เสกได้แต่ตำหนิตัวเอง เขากลัวว่าแม่ของสุจะมองเขาเป็นพวกหื่นกามมาตามก้อร่อก้อติกลูกสาวเธอ
เสก ก้าวเล็ก
เสกได้แต่ถามตัวเอง เขาเป็นอะไรไป ทั้ง ๆ ที่เขาผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ผู้หญิงอีกนับไม่ถ้วนก็ไม่ได้ยั่น แต่ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนแคร์ความรู้สึกคนอื่นขึ้นมา เสกรู้สึกสับสนกับความรู้สึกนี้
เสกยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลังเลว่าจะเดินกลับเข้าในร้าน หรือจะเดินจากไป สองความคิดต่อสู้อยู่ในหัวของเขา หันหลังกลับเข้าไปในร้าน หรือ เดินต่อไปข้างหน้ากลับไปที่พัก และในที่สุดเสกก็ได้ตัดสินใจ
เสก ก้าวเล็ก สาวเท้าซ้ายเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้กลับที่พัก แต่เป็นโชโกะเลาจ์!
....
คลองบางบอกดิก
แสงตะวันสีส้มยามสนธยาส่องกระทบผืนน้ำ น้ำในคลองใสจนสะท้อนสีเขียวจากเงาของต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่ง เรือแจวลำหนึ่งกำลังล่องลอยอย่างเอื่อยเฉื่อย บนเรือนั่งไว้ด้วยเด็กสาวสองคน คนหนึ่งคือปิ้กที่กำลังทำหน้าที่จ้วงไม้พายลงในน้ำซ้ายทีขวาที ส่วนอีกคนคือปามกำลังนั่งร้องเพลงเสียงใสชวนฟังอยู่บนเรือไปด้วย
เพลงประกอบจากน้องปาล์ม
ปิ้กยิ้มชอบอกชอบใจ เธอเห็นน้องสาวมีความสุขกับสองสิ่ง หนึ่งคือทำอาหาร กับอีกหนึ่งคือร้องเพลง
ปามร้องเพลงจนจบก่อน เธอสังเกตเห็นพี่สาวนั่งอมยิ้ม จึงขมวดคิ้วถามขึ้น
“พี่ปิ้กอมยิ้มอะไรคะ?”
“ขำเธอนั่นล่ะ” ปิ้กตอบ “ร้องเพลงไม่สนใจใครเลยนะ”
“อ้าว...ก็เค้าชอบร้องเพลงนี่นา ปามรู้นะว่าพี่ปิ้กชอบฟังปามร้องเพลง” ปามเอ่ยขึ้น
“ปิ้กยิ้มอย่างชื่นชมน้องสาวตนเอง “ก็น้องสาวพี่ร้องเพราะนี่ แบบนี้ไปประกวดได้เลยนะ”
“ไม่ล่ะ” ปามส่ายหน้า “พ่อข้าวไม่ชอบให้ไปประกวดร้องเพลง ให้ร้องเล่น ๆ ร้องสดได้ แต่ไม่ให้ไปประกวดร้องเพลง”
“เออ...พี่ก็แปลกใจนะ” ปิ้กเอ่ยขึ้น “พ่อมักไม่พอใจเวลาพูดเรื่องประกวดร้องเพลง”
“พ่อคงเห็นว่ามันเป็นอาชีพเต้นกินรำกินมั้งพี่ปิ้ก เลยห้าม” ปามตอบ
“แต่พ่อของเราเป็นคนอารมณ์ดีชอบร้องเพลง ชอบแต่งกลอนนะ บางทีก็เล่าเรื่องตลกให้เราฟัง แต่พอพูดเรื่องประกวดร้องเพลงทีไร พ่อจะหงุดหงิดตัดบททุกที ทั้ง ๆ ที่มันเป็นความฝันของปามนะ หรือบางทีพ่อข้าวอาจมองว่า สิ่งใดไร้ประโยชน์กับตัวเรา สิ่งนั้นก็ย่อมไร้คุณค่ามั้ง” ปิ้กปลอบใจน้อง
ปาม
ปามนั่งเงียบ เธอไม่ได้เศร้ากับการที่พ่อข้าวห้ามไปประกวดร้องเพลง แต่เธอเศร้าเพราะเรื่องความลับของพี่ปิ้ก ปามยังคาใจกับเรื่องนี้นับแต่วันที่ได้ยินจนถึงบัดนี้ เธอเก็บสิ่งนั้นไว้ในใจจนกลัวว่าสักวันจะเผลอพูดเรื่องนี้ให้พี่ปิ้กรู้
เรือจอดเทียบตรงท่าน้ำ ปามก้าวขึ้นไปก่อนจะยื่นมือมาให้พี่สาวจับ ปิ้กขึ้นจากเรือแล้วผูกเรือไว้กับเสา ก่อนจะเดินไปที่หน้าบ้านของตัวเอง โดยมีปามเดินตามหลัง
ปามมองเงาหลังของพี่สาว พร้อมกับคิดหาวิธีที่เธอจะต้องล่วงรู้ความลับนี้ให้ได้
....
เช้านี้เป็นวันพระ
จะไม่มีพระมาเดินบิณฑบาต ชาวบ้านต้องไปที่วัดบอกดิกเอง เช่นเดียวกับทุกวันพระ แม่ฉัตรกับลูกสาวทั้งสองไปวัดด้วยกันเสมอ แต่จะต่างกันก็ตรงที่ วันพระนี้มีแค่แม่ฉัตรกับปาม ส่วนปิ้กต้องไปสอบข้อเขียนที่ศูนย์การศึกษาจังหวัด เพื่อสอบตำแหน่งครู โดยมีพ่อข้าวที่ขับรถพาไปส่งแต่เช้ามืด
แม่ฉัตรรู้สึกอิ่มใจที่ได้ทำบุญใส่บาตร ระหว่างที่สองคนแม่ลูกพายเรือกลับบ้านนั้น แม่ฉัตรสังเกตเห็นว่าวันนี้ลูกสาวคนเล็กเงียบผิดกว่าปกติ ไม่พายเรือไปร้องเพลงไปเหมือนทุกครั้ง จึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ปามไม่สบายรึเปล่า? แม่เห็นหนูเงียบ ๆ ไปนะ”
“เปล่าค่ะ...หนูสบายดี” ปามตอบแค่นั้นเหมือนใช้ความคิด
แม่ฉัตรดูออกเหมือนลูกสาวคนเล็กมีอะไรในใจจึงถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“หนูมีอะไรในใจรึเปล่า อยากเล่าให้แม่ฟังไหม?”
ปามมองหน้าแม่ของตนเอง มองลึกเข้าไปในแววตาที่ดูอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย สักพักปามสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“แม่คะ เมื่อวันก่อนที่เราไปวัด ปามได้ยินที่พวกแม่คุยกันในโบสถ์เรื่องพี่ปิ้กค่ะ”
ปามรวบรวมความกล้าเต็มที่เพื่อจะบอกความในใจที่เก็บไว้ถูกพรั่งพรูออกมาจนหมด
แม่ฉัตรยกมือทาบอกด้วยความตกใจ สีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เธอใช้วิธีเงียบ แต่สายตาแน่วแน่ในดวงตาของปามทำให้แม่ฉัตรต้องถามเฉไฉ
“เอ่อ...ปามได้ยินอะไรเหรอ? หูฝาดรึเปล่า”
“แม่คะ วันนี้วันพระนะคะ แม่ก็รู้ว่าถ้าแม่พูดโกหกมันจะบาปนะคะ” ปามเริ่มคาดคั้น
“เอ่อ...” แม่ฉัตรอ้ำอึ้งไม่รู้ควรตอบอย่างไร
“หนูได้ยินว่า พี่ปิ้กไม่ใช่ลูกสาวของพ่อข้าวกับแม่ฉัตร ได้ยินลุงมหาอิ่มกำลังเอ่ยถึงพ่อแม่พี่ปิ้ก แต่ถูกพ่อข้าวห้ามไว้ ตกลงเรื่องจริงมันคืออะไรคะ? แม่บอกปามเถอะ ไม่เช่นนั้นปามจะไปบอกพี่ปิ้กนะ” ปามยังกดดันแม่ฉัตรต่อ
“ห้ามบอกปิ้กนะ” แม่ฉัตรโพล่งขึ้น
“นั่นไง...แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ? แม่เล่ามาเถอะ หนูสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ปิ้ก” ปามขอร้อง เวลานี้เธอหยุดพายเรือแล้ว
แม่ฉัตรนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ เธอใช้สายตามองมาที่ลูกสาวคนเล็ก มองลึกเข้าไปในแววตา แม่ฉัตรแทบจะหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มกับความรู้สึกในแววตาของปามในเวลานี้ เธอก้มหน้านิ่งพักใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับลูกสาว
“สัญญากับแม่ก่อนว่า เรื่องนี้จะต้องไม่ล่วงรู้ไปถึงพี่ปิ้ก และเราจะรู้กันแค่สองคนแม่ลูก พ่อข้าวต้องไม่รู้เรื่องนี้”
“สัญญาค่ะแม่” ปามรับคำเสียงเด็ดเดี่ยว พลางยื่นนิ้วก้อยออกมาให้แม่ฉัตรเกี่ยวก้อยเป็นการสัญญา
แม่ฉัตรเกี่ยวก้อยลูกสาวตัวเองเป็นการทำสัญญา
“ปามพายเรือไปผูกตรงตลิ่งนั้นก่อน ร่มรื่นดี แม่อยากได้ที่เงียบ ๆ คุยกัน”
ปามรีบจ้วงพายในมือบังคับเรือแจวไปเทียบกับริมตลิ่ง แม่ฉัตรเอาเชือกผูกกับขอนไม้ที่ยื่นออกมาไม่ให้เรือลอยออกไป
ปามนั่งรออย่างใจจดจ่อ
แม่ฉัตรมองหน้าลูกสาวตนเองอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
แม่ฉัตร
“เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นที่....”
….
โปรดติดตามตอนต่อไป
….
หลังกล้อง “บางบอกดก” ตอนที่ 8
เดินทางมาถึงตอนที่ 8 แล้ว จะเห็นได้ว่า บ้านบางบอกดิก เป็นสถานที่มีความลับมากมาย และบรรดาผู้คนจากทุกสารทิศที่ต่างก็มีความลับมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ จนดูเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไกลปืนเที่ยงแห่งนี้มันดูจะไม่มีอะไรธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
ไอเดียของบ้านบางบอกดิก ผมนึกไปถึงเรื่อง “ชุมแพ” กับซีรีย์ส “Twin Peak” (เรื่องราวเมืองเล็ก ๆ ที่มีคดีฆาตกรรมที่โหดร้าย เหยื่อคือดาวของโรงเรียนไอสคูล เอฟบีไอคนหนึ่งเดินทางมาสืบสวน แต่ยิ่งสืบลึกเขายิ่งค้นพบความไม่ปกติที่อยู่ภายในเมืองนี้ จนไม่มีใครน่าไว้วางใจ เช่นเดียวกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติในเมืองนี้) และเมื่อยิ่งเขียน ผมยิ่งรู้สึกว่าบ้านบางบอกดิก มันควรจะมีเป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน
ในตอนนี้มีตัวละครใหม่ปรากฏแค่สองตัวคือ
ผู้กองวีกิจ หลิว นายตำรวจจากอินเตอร์โพลที่ถูกส่งมา ตัวละครนี้ผมนึกถึงหนังตำรวจฮ่องกงในช่วงยุค 90 เอามาผสมกับตัวละครเอฟบีไอในซีรีย์ส Twin Peak นักเขียนเจ้าของแคแร็กเตอร์ก็คือ วี เพจเขียนไปเรื่อย ก็เหมือนที่พิมบอก วีชอบเขียนเรื่องฟุตบอล พูดภาษาจีนได้ ร้องเพลงจีนเพราะ ผมเลยจับเขามาเป็นตัวละครนี้ เขาจะดูเท่ในแบบอินเตอร์ และจะมีบทบู๊ที่ต้องมาตามล่าตามจับมิสเตอร์ท็อป เหลียง และซันเจิ้น ผมเลยเลือกนักแสดงฮ่องกงที่ไปโด่งดังในฮอลลีวู้ด แดเนียล วู มาเป็นร่างอวตารของวี
หมวดอติ ตัวละครนี้จะเหมือนผู้ช่วยพระเอก เจ้าของแคแร็กเตอร์คือ น้องติ เพจ “เพ(ร)ความสุข...อยู่รอบตัว” จะเป็นนักสืบอารมณ์ดี คิดบวก ดูสุภาพ และรักสุนัข ซึ่งเป็นแคแรกเตอร์ของติ ร่างอวตารของติก็เลยต้องเป็นนักแสดงที่มีแคแรกเตอร์แบบนี้ ผมนึกออกอยู่คนเดียวคือ บี้ เดอะสตาร์ ก็เลยเลือกเขามาเป็นร่างอวตารของหมวดอติ
และช่วงท้ายในตอนนี้แม่ฉัตรกำลังจะเล่าเรื่องราวในอดีต ซึ่งในตอนต่อไปจะเป็นเหตุการณ์ที่แฟลชแบ็กกลับไป และจะเป็นที่มาของความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ใหญ่ข้าว พ่อเลี้ยงก้อม แม่ฉัตร และคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ส่งผลมาถึงเหตุการณ์ในบางบอกดิกในตอนที่ 1-8 ที่ได้อ่านไปก่อนหน้านี้ ผมตั้งใจไว้แล้วว่าในตอนที่ 9 มันจะต้องถูกเล่าย้อนกลับไปเพื่อนำตัวละครอื่น ๆ ที่ยังไม่ปรากฏตัวมาใส่ในนิยายเรื่องนี้ด้วย
แม่ฉัตร - พ่อข้าว (สมัยหนุ่ม)
ทุก ๆ เม้นท์ และไม่ได้เม้นท์แต่สมัครใจอ่านเงียบ ๆ คนเดียว, บรรดาเพื่อน ๆ นักเขียนที่สนุกและแสดงตนว่าอยากมีส่วนร่วมในนิยาย ก็คือกำลังใจให้ผมผลิตงานชิ้นนี้ต่อไปครับ ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
มูฟวี่
###เนื่องจากผู้กำกับตัดจบแบบนี้มันค้างคาใจ
คนติดตามเป็นยิ่งนัก
เพื่อเป็นการคืนกำไรแก่ผู้มีอุปการะคุณ
พรุ่งนี้วันหยุดพิเศษ
เพิ่มให้อ่านตอนที่ 9 ย้อนอดีต
อีก 1 ตอนครับ
ขอได้โปรดติดตาม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา