6 เม.ย. 2020 เวลา 03:01 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 9
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
1
ความเดิมตอนที่แล้ว
หลังเหตุการณ์ถูกปล้นอาวุธ กลุ่มของพ่อเลี้ยงก้อมคิดว่าน่าจะเป็นพวก ผกค.ที่มาดัดหลังตน แต่แมนไม่เชื่อ ทางด้านเสก ก้าวเล็กที่ขอย้ายมาอยู่ห้องเช่าของเฮียหมู ท่าบอกดิกที่ท้ายตลาดได้ไปที่ร้านห้องเสื้อจริยา แต่ในที่สุดเสกก็เป็นฝ่ายหนีออกมาเสียก่อน ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจสากลได้ส่งผู้กองวีกิจ หลิว มาทำงานร่วมกับหมวดอติ เพาะสุข เพื่อหาทางจับกุมเอเยนต์เฮโรอีนข้ามชาติ มร.ท็อป เหลียง ทั้งสองกำลังเดินทางสู่บ้านบางบอกดิก
ปามฉวยโอกาสในวันพระที่ตนเองอยู่กับแม่ฉัตรเพียงสองคน คาดคั้นให้แม่ฉัตรเล่าความลับของพี่ปิ้ก ให้เธอฟัง
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน “บางบอกดิก” ได้ ณ บัดนี้...
บางบอกดิก ตอนที่ 9
ปามจ้องหน้าแม่ฉัตรด้วยสีหน้าจริงจัง
แม่ฉัตรถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นที่....
ย้อนกลับไปตั้งแต่ปามปิ้กยังไม่เกิด ตั้งแต่สมัยพ่อข้าวยังไม่เจอกับแม่ มันน่าจะสักยี่สิบห้าปีที่แล้ว...”
แม่ฉัตรย้อนความทรงจำ ทุกอย่างเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนมันยังชัดเจนเหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวาน
...
สถานีขนส่งหมอชิต
รถบัสสายเหนือแล่นเข้าเทียบท่าในช่องจอดรถที่สถานีขนส่งสายเหนือหมอชิต ผู้โดยสารหลายต่อหลายคนถือสัมภาระกันพะรุงพะรัง
เด็กหนุ่มสองคนเดินลงจากรถเป็นสองคนสุดท้าย มีกระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบ ยืนเด๋อด๋า มองซ้ายทีขวาที
เด็กหนุ่มท่าทางดูเฮี้ยวกว่าเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“จะเอาไงต่อดีวะไอ้ข้าว”
“เอ่อ..เดี๋ยวข้าเอาแผนที่ขึ้นมาดูแล้วถามทางเขาแล้วกันไอ้ก้อม”
เด็กหนุ่มท่าทางเด๋อด๋าที่ชื่อข้าวเป็นฝ่ายตอบ
ข้าวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบกระดาษจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาพลิกออกอ่าน สักครู่ก็พับเก็บ
ก้อมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“เอ็งต้องระวังนะ เขาเตือนกันว่าคนบางกอกชอบหลอกคนต่างจังหวัด แล้วเอ็งจะไปถามเขา จะเชื่อได้ไงว่าไม่ถูกหลอก”
“ก็ดูคนที่หน้าตาซื่อ ๆ สิวะ” ข้าวตอบ
ข้าว และ ก้อม
ระหว่างนั้นชายร่างอ้วน ท่าทางดูตลกเดินเข้ามาทักทาย
“หวัดดีน้องชาย นี่มาจากต่างจังหวัดใช่ไหม จะไปไหนล่ะ”
“พวกฉันจะไปที่แถวท่าพระจันทร์น่ะจ้ะ” ข้าวตอบ
“งั้นไปรถแท็กซี่ไหม เดี๋ยวพี่ไปส่งให้ คิดราคากันเอง” ชายร่างอ้วนชักชวน
“ไม่เป็นไรจ้ะ พวกฉันไม่มีเงินพอจะขึ้นรถแท็กซี่หรอก ว่าแต่พี่ชายพอจะบอกทางได้ไหมจ้ะ” ข้าวถามขึ้น
“งั้นก็เดินไปรอรถเมล์หน้าหมอชิต พอสาย 39 วิ่งมาก็ขึ้นได้เลย”
“ขอบใจจ้ะ”
ข้าวกับก้อมยกมือไหว้ขอบคุณ
ทั้งสองเดินออกมารอรถเมล์ที่หน้าสถานีขนส่งหมอชิต ข้าง ๆ ป้ายรถเมล์มีรถขาย
น้ำชงหลากสี ก้อมเห็นแล้วก็เกิดกระหายจึงเดินปลีกตัวไปซื้อ ข้าวเห็นก็เลยเดินตามไปอีกคน
“ขอน้ำกระเจี๊ยบถุงนึงจ้ะ” ก้อมสั่ง
“เอามาสองเลยจ้ะ” ข้าวสั่งตาม “เท่าไหร่จ้ะ”
“ถุงละบาท สองถุงสองบาทจ้ะ” แม่ค้าบอก
ก้อมวางกระเป๋าลง พลางล้วงเศษเหรียญสลึงออกมานับ แต่ไม่พอจึงหันมาถามข้าว
“ไอ้ข้าว เอ็งมีสักสามสลึงไหม?”
ข้าววางกระเป๋าลงพลางล้วงไปในกระเป๋ากางเกงมีเหรียญสลึงในกำมือ ข้าวค่อย ๆ นับ
ระหว่างนั้นเอง วัยรุ่นร่างผอมตัวดำเขรอะวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับฉวยกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบของข้าวและก้อม ก่อนจะวิ่งเตลิดออกไป ข้าวและก้อมตกใจเห็นคนฉวยกระเป๋าของตัวเองรีบวิ่งตามไปทันที
แต่ฝีเท้าทั้งสองไล่เท่าไรก็ไม่ทัน เห็นเงาอยู่ข้างหน้าวิ่งเลี้ยวเข้าซอยไปทางซ้ายมือ ข้าวกับก้อมวิ่งไล่ตามไปพอเลี้ยวซ้ายก็ต้องชะงักเท้าทันที
ในซอยมีทางแยกแบ่งเป็นซ้ายกับขวา ข้าวกับก้อมมองหน้ากันดูสีหน้าเจื่อน ๆ ก้มตัวลงหอบหายใจด้วยความเหนื่อย
ก้อมทรุดนั่งยอง ๆ กับพื้น
“มันเอากระเป๋าเราไปหมดเลยว่ะ แต่ในนั้นมีแต่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด โชคดีนะที่ข้าบอกให้เอ็งเอาเงินติดตัวย้ายมาไว้กับตัวเองแทนที่จะใส่ในกระเป๋าใบนั้น”
ข้าว
ข้าวหน้าเจื่อนหนักกว่าเดิม “เอ่อ...คือ...”
ก้อมหันมามองหน้า ตวาดถาม “ไอ้ข้าว อย่าบอกนะว่าเอ็งย้ายเงินกลับไปใส่ในกระเป๋า”
ข้าวพยักหน้าหงึก ๆ “ก็แม่ข้าเตือนบอกถ้าถึงบางกอกให้ระวังพวกล้วงกระเป๋า ข้าก็เลยย้ายจากกระเป๋ากางเกงมาไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าแทนไงจะได้ไม่โดนล้วง”
“สบายละเอ็ง หมดตูดแล้วทีนี้” ก้อมทั้งโมโหทั้งท้อใจ
ทั้งก้อมและข้าวจึงต้องเดินจากสถานีหมอชิตมาเรื่อย ๆ ตามเส้นทางที่เห็นรถเมล์สาย 39 วิ่ง ทั้งร้อนทั้งเหนื่อยทั้งหิวข้าวหิวน้ำ จนก้อมเริ่มหมดความอดทน
“เพราะเอ็งคนเดียวเลยไอ้ข้าว เราถึงต้องมาลำบากกันแบบนี้” ก้อมเริ่มพาลด้วยโมโหหิว
ข้าวก้มหน้าสลด “ข้าขอโทษว่ะ”
ระหว่างนั้นเองผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทก็ล้มลง
ข้าวเห็นเข้าก็รีบวิ่งไปดู พลางประคองร่างหญิงวัยกลางคนนั้น
“คุณนาย...เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“ฉันไม่สบายน่ะ โรคหัวใจกำเริบ ช่วยหยิบกระปุกยาในกระเป๋าถือให้หน่อย”
ข้าวพยักหน้า “ขอโทษนะครับ” ข้าวกล่าวขอด้วยความสุภาพ พลางเปิดกระเป๋า ในกระเป๋ามีธนบัตรสีแดงสีม่วงอยู่ปึกหนึ่ง แต่ข้าวไม่สนใจ คุ้ยหาอยู่สักครู่เห็นขวดยาเล็ก ๆ มีชื่อเทพเทวาคลินิก และมีเขียนด้วยปากกาว่า “ทานเมื่อโรคหัวใจกำเริบ” ครั้งละ 1 เม็ด
ข้าวหยิบขวดยาโชว์ให้คุณนายดูเป็นเชิงถาม เมื่อเธอพยักหน้าจึงได้เทยาใส่มือของคุณนายหนึ่งเม็ด
คุณนายรับยามากลืนลงไป นอนหอบหายใจชั่วครู่ก็เริ่มเป็นปกติ สีหน้าที่ไม่สู้ดีเริ่มกลับมาดูเป็นปกติดังเดิม
พอเธอเริ่มดีขึ้น ข้าวส่งกระเป๋าถือและขวดยาคืนให้คุณนาย คุณนายรับมาพลางเปิดกระเป๋าออก เอาขวดยายัดใส่กระเป๋า เธอสังเกตด้วยตาก็รู้ว่าธนบัตรทั้งหมดในกระเป๋ายังอยู่ครบ คุณนายเงยหน้าส่งยิ้มให้ทั้งสอง
นายแม่...แม่น้อย
“ขอบใจพ่อหนุ่มทั้งสองมากเลยนะ ที่ช่วยชีวิตชั้นไว้”
“ไม่เป็นไรครับ เมื่อกี้ผมตกใจเห็นคุณนายล้มลงหน้าซีดเผือดเลย” ข้าวตอบ
“ฉันเป็นโรคหัวใจน่ะ พอมันกำเริบต้องรีบทานยาให้ทันน่ะ พ่อหนุ่มสองคนเป็นคนดีนะ...”
คุณนายเปิดกระเป๋าหยิบธนบัตรสีแดงขึ้นมาสามใบยื่นส่งให้
ก้อมเตรียมจะยื่นมือไปรับ แต่ข้าวเบี่ยงตัวมากันไว้ พลางยกมือห้าม
“ไม่ล่ะครับ พวกผมช่วยไม่ได้หวังอะไรตอบแทนนะครับ”
ข้าวตอบตามความสัตย์จริงพลางเข้าไปประคองคุณนายให้ลุกขึ้น โดยที่ก้อมยืนทำหน้าเสียดายอยู่ด้านหลัง
“แล้วคุณนายจะไปไหนต่อครับ มีใครมารับไหม?” ข้าวถามขึ้น
“เดี๋ยวคนรถจะมารับฉันจ้ะ ฉันใช้เขาไปทำธุระให้ระหว่างที่จะมาซื้อของแถวนี้”
ข้าวมองซ้ายขวา เห็นตรงป้ายรถเมล์มีที่นั่งพักผู้โดยสาร จึงบอกว่า
“คุณนายครับ ผมประคองไปนั่งตรงนั้นก่อนไหมครับ จะได้ร่ม ๆ หน่อย ตรงนี้ร้อนเดี๋ยวคุณนายจะแย่อีก”
คุณนายยิ้มให้ข้าว “ดีจ้ะ ขอบใจนะพ่อหนุ่ม มีน้ำใจกับฉันมากเลย”
ข้าวกับก้อมจึงช่วยกันประคองคุณนายไปนั่งตรงที่พักรอรถเมล์ สักครู่รถเบนซ์คันหนึ่งก็วิ่งมาจอด คนขับรถลงมาประคองคุณนายไปที่รถ ก่อนคุณนายจะขึ้นรถเธอหันมาส่งยิ้มให้ทั้งสองคน
ข้าวยกมือไหว้ ทำให้ก้อมต้องยกมือไหว้ตาม รถเบนซ์เคลื่อนตัวออกไป พร้อม ๆ กับข้าวและก้อมออกเดินต่ออย่างโซซัดโซเซ
ก้อมบ่นขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อกี้ทำไมไม่รับเงินไว้วะไอ้ข้าว ตั้งสามร้อยนะ”
“ช่วยคนเอ็งจะเอารางวี่รางวัลได้ไง น่าเกลียด”
“เขาให้เป็นสินน้ำใจ ทำไมไม่รับวะ ตอนนี้เราก็เดือดร้อนต้องการให้คนช่วยนะ”
“เอ็งลำบากแค่นี้บ่นแล้ว คนเราช่วยเหลือใครอย่าหวังการตอบแทนสิวะ”
ทั้งสองเดินไปเถียงไป
ระหว่างที่รถเบนซ์แล่นไป คุณนายที่นั่งอยู่เบาะหลังเหลียวมาดูเด็กหนุ่มสองคน เธอรู้สึกบางอย่างเหมือนว่าเด็กหนุ่มสองคนน่าจะกำลังมีปัญหา จึงให้คนขับหยุดรถ
ข้าวกับก้อมเดินโซซัดโซเซมาจนถึงรถเบนซ์ คุณนายลงจากรถแล้วเรียกทั้งสอง
“พ่อหนุ่ม...พ่อหนุ่ม”
ข้าวกับก้อมหยุดฝีเท้าลง มองมาตามเสียงเรียกเห็นเป็นคุณนายที่ตนได้ช่วยไว้ ก็อดประหลาดใจไม่ได้
คุณนายยิ้ม ก่อนจะถามว่า
“พวกเธอสองคนจะไปไหนเหรอ?”
ข้าวตอบ “ผมสองคนจะไปท่าพระจันทร์ครับ เราสองคนถูกวิ่งราวกระเป๋า เงินเก็บอยู่ในนั้นด้วยเลยไปหมดเลย พวกผมเหลือเงินนิดหน่อยต้องเก็บไว้กินครับ เลยต้องอาศัยเดินเอา”
“เดินไป!” คุณนายตกใจ “นี่มันเพิ่งสะพานควายเองนะ เธอต้องเดินอีกเป็นวันกว่าจะถึง”
“หา...มันไกลขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ก้อมย้อนถามคุณนาย
ก้อม
“แล้วเธอจะไปทำไมล่ะที่ท่าพระจันทร์”
“จริง ๆ ผมจะไปวัดระฆังครับ ไปหาเพื่อนที่เป็นลูกศิษย์วัดที่นั่น จะไปขออาศัยอยู่ด้วยครับ เราสองคนเพิ่งมาจากต่างจังหวัดตั้งใจจะเข้ามาหาเรียนและงานทำที่บางกอกครับ”
คุณนายยืนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เอาอย่างนี้ไหม...พ่อหนุ่มสองคนไม่มีที่พัก เอาแบบนี้ดีไหม ฉันมีเรือนแพเก่า ๆ อยู่ที่ท้ายคลอง พอปัดกวาดแล้วก็น่าจะใช้พักนอนได้นะ ฉันยินดีให้เธอสองคนไปพักที่นั่นก่อน ไม่คิดค่าเช่าหรอกจ้ะ”
ข้าวกับก้อมมองหน้ากันด้วยความดีใจ แต่ข้าวหันกลับมาถาม
“จะดีเหรอครับคุณนาย คุณนายก็ไม่รู้จักพวกผม จะเมตตาผมแบบนี้ พวกผมเกรงใจมากครับ”
“ไม่หรอกจ้ะ พ่อหนุ่มสองคนเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ เมื่อสักครู่เธอช่วยฉัน ถึงตอนนี้ให้ฉันได้ตอบแทนช่วยเหลือเธอบ้างตามสมควรเถอะนะ อย่าได้เกรงใจเลย”
คุณนายยิ้มให้ทั้งสองพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงเห็นดีเห็นงาม ข้ามกับก้อมหันมามองกันอีกครั้ง ก่อนจะผงกศรีษะและยกมือไหว้คุณนาย
“ขอบพระคุณในความเมตตาของคุณนายนะครับ ผมชื่อข้าว ส่วนเพื่อนผมชื่อก้อมครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ ฉันชื่อน้อย...แม่น้อย แต่คนที่บ้านเรียกฉันว่านายแม่ เธอเรียกเหมือนพวกเขาก็ได้นะ”
แม่น้อยแนะนำตัวเอง “เดี๋ยวข้าวกับก้อมไปกับฉันเลยก็ได้ มาสิ”
ก้อมกับข้าวแย่งกันนั่งข้างหน้า ก้อมชิงขึ้นไปได้ก่อน ข้าวเลยจะเบียดขึ้นไปนั่งด้วย
แม่น้อยเห็นแล้วก็ขำในท่าทีทั้งคู่ จึงเอ่ยปราม “ไม่ต้องนั่งเบียดข้างหน้าหรอก ฉันไม่ถือ ข้าวมานั่งข้างหลังกับฉันก็ได้นะ”
ข้าวจนใจพยักหน้า และเดินไปนั่งข้างหลังกับแม่น้อย
บางกอก
รถเบนซ์เคลื่อนตัวออก และวิ่งไปตามถนน ทั้งข้าวและก้อมดูจะตื่นตาตื่นใจกับภาพที่แปลกตาของกรุงเทพหรือที่บ้านบางบอกดิกเรียกกันว่าบางกอก
รถเบนซ์แล่นหยุดที่หน้าคฤหาสถน์หลังใหญ่ คุณนายเอ่ยขึ้น
“นี่คือบ้านของฉันจ้ะ แต่เดี๋ยวเราจะเลยไปท้ายสวนก่อนนะ ข้าวกับก้อมจะได้เห็นที่พัก”
รถเบนซ์ขับเลยไปจนถึงหน้าสวน แม่น้อยลงเดินโดยมีข้าวกับก้อมเดินตาม ทั้งสามเดินไปจนสุด เห็นมีเรือนแพหลังหนึ่งปลูกลอยอยู่เหนือคลอง บรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่มาก จะมีติดอยู่บ้างก็ตรงที่เรือนแพค่อนข้างจะเก่า และโทรมบางส่วน
“พออยู่ไหวไหมจ้ะ” แม่น้อยถาม
“ได้ครับ แค่มีที่นอนคุ้มหัวก็พอแล้วครับ”
“หลังคามันน่าจะมีรูรั่ว แต่ช่วงนี้ไม่ใช่หน้าฝนคงไม่มีปัญหาอะไร พออยู่ ๆ ไปก็ค่อยซ่อมแซมนะ”
“ครับ” ข้าวกับก้อมยกมือไหว้ขอบคุณ
“ถ้าเธอสองคนจะทำงาน มาทำงานกับฉันไหมล่ะ จะได้มีเงินไว้ใช้จ่าย”
ข้าวกับก้อมหันมามองหน้าแล้วโดดกอดกันด้วยความดีใจ แม่น้อยมองด้วยความเอ็นดู พลางส่งเงินสามร้อยให้ทั้งคู่
“เอาเก็บไว้นะ ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ใส่ กับไว้หาข้าวกิน”
“แต่ว่าที่คุณนายกรุณาพวกผมก็เป็นพระคุณมหาศาลแล้วนะครับ” ข้าวตอบ
“ไม่เป็นไรจ้ะ งั้นเอาอย่างนี้ พวกเธอรับไปก่อน แล้วพอทำงานมีเงินค่อยมาทยอยคืนฉันก็ได้นะ” แม่น้อยหาทางออกให้
ข้าวพยักหน้า ยกมือไหว้ และรับเงินนั้นมาใส่กระเป๋าเสื้อ
เรือนแพ
แม่น้อยกล่าวลาและเดินไปขึ้นรถ ทิ้งสองหนุ่มให้ดื่มด่ำกับเรือนแพโทรม ๆ ริมน้ำ
แต่สำหรับสองหนุ่มมันคือวิมานสวรรค์อย่างดีที่สุด
เช้ามืด
ข้าวตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินไปปลุกก้อม แต่ก้อมยังนอนต่อ ข้าวเลยเดินออกมาจากเรือนแพท้ายสวน เดินผ่านหน้าคฤหาสถน์ของแม่น้อย เดินต่อไปถึงปากซอย มีร้านค้ามากมาย ข้าวแวะซื้อกับข้าวที่ร้านข้าวแกง แบ่งเป็นสองถุง ถุงหนึ่งจะหิ้วกลับไปกิน กับอีกถุงจะใส่บาตร
ข้าวมายืนรอพระอยู่หน้าปากซอยสักครู่พระสงฆ์เดินมาสองรูป ข้าวยกมือไหว้แล้วใส่อาหารทีละอย่างลงไปให้ทั้งสององค์ พระสงฆ์สวดให้พรเสร็จเตรียมจะเดินออกไป
พอดีมีเสียงใสน่าฟังเรียกขึ้น
“นิมนต์ก่อนค่ะ”
ข้าวหันไปดูตามเสียง เป็นหญิงสาวคนหนึ่งกระวีกระวาดเข้ามา เธอผมยาวสีดำสนิททรงผมด้านหน้าตัดเป็นผมม้า ทาปากสีชมพูบาง ๆ องค์ประกอบทั้งหมดทำให้เธอสวยงามและชวนมองเป็นอย่างยิ่ง
ฉัตร
ข้าวอดตะลึงในความงามของหญิงสาวคนนั้นไม่ได้ ถึงกับยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่ตรงนั้นดั่งต้องมนต์
หญิงสาวใส่บาตรจนเสร็จ ขณะเธอหันกลับมาโดยไม่รู้ว่มีข้าวยืนตรงนั้น จึงเผลอเหยียบเท้าข้าวเต็มใบ
มันทำให้หญิงสาวเสียหลักและหงายหลัง เธอตกใจมาก
แต่แล้วก็มีมือและท่อนข้างข้างหนึ่งมาประคองเธอไว้จากด้านหลัง
หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มที่มาประคองเธอไว้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ดูซื่อและจริงใจจนสัมผัสได้
ข้าวมองหญิงสาวคนนั้น เธออยู่ใกล้ไม่กี่คืบ กลิ่นหอมจาง ๆ จากเรือนผมที่เพิ่งสระมาหอมจนข้าวแทบใจละลาย
ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะรู้สึกตัวและรีบตั้งหลักยืน
หญิงสาวส่งยิ้มให้ “ขอบคุณนะคะที่ช่วยไว้ ไม่งั้นฉัตรคง...”
ข้าว กับ ฉัตร
ข้าวทำท่าทางเขิน ๆ อาย ๆ แต่ก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแสนซื่อ “ไม่เป็นไรครับ ผมผิดเองครับที่ไปยืนขวางอยู่ตรงนั้น”
ฉัตรผงกศรีษะให้ข้าวก่อนจะเดินกลับเข้าซอยไป เธอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดและเหลียวกลับมา
ข้าวที่เดินตามเข้าซอยมาพลอยหยุดแล้วยิ้มเขิน ๆ ให้หญิงสาวที่เดินอยู่ข้างหน้า
ฉัตรยิ้มรับอย่างเขินอายก่อนจะเดินต่อ เธออดประหลาดใจไม่ได้ที่หนุ่มหน้าซื่อคนนี้เดินตามเธอเข้าซอยมาด้วย แม้ใจหนึ่งก็นึกหวั่น แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนร้ายแน่
ฉัตรเดินจนมาหยุดที่หน้าคฤหาสถน์ของแม่น้อย ซึ่งแม่น้อยกำลังยืนคอย จนเมื่อฉัตรเดินมาหยุดตรงหน้าแม่น้อยถามขึ้น
“ใส่บาตรทันไหมลูก?”
“ทันค่ะแม่” ฉัตรตอบ
ข้าวที่เดินตามหลังมาถึงพอดี แม่น้อยจึงเรียกให้หยุด
“ตื่นเช้าเหมือนกันนะข้าว”
“ผมตื่นไปใส่บาตรครับคุณนาย” ข้าวตอบ
“ยังเรียกคุณนายอีก เรียกนายแม่เหมือนคนอื่นดีกว่านะ เออ...นี่คือฉัตรลูกสาวของฉันเองนะ ฉัตรจ้ะนี่คือข้าวที่แม่เล่าให้ฟังว่าเมื่อวานเขากับเพื่อนช่วยแม่ไว้”
ฉัตรมีสีหน้าเกินความคาดหมาย เธอยิ้มหวานส่งให้แก่ข้าว
“ขอบคุณนะคะพี่ข้าว ที่ช่วยชีวิตแม่ของฉัตรไว้ ไม่งั้นฉัตรคง...” ฉัตรไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ไม่เป็นไรครับ นายแม่ก็มีพระคุณให้ที่ผมซุกหัวนอน ให้งานผมทำครับ”
แม่น้อยพยักหน้าให้ลูกสาวเป็นเชิงให้เข้าบ้าน ฉัตรจึงเดินตามเข้าไป ก่อนจะปิดประตู เธอส่งยิ้มให้ข้าวอีกครั้ง
ข้าวยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นก่อนจะรู้สึกตัวและเดินกลับไปที่เรือนแพท้ายสวน
....
ตอนสายของวัน มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่คฤหาสถน์ของแม่น้อย ชายหนุ่มสองคนลงมาจากรถ คนหนึ่งท่าทางดูสะอาดสะอ้านในเสื้อเชิร์ตสีขาวกางเกงสีดำในมือหิ้วกระเป๋าใส่อุปกรณ์การตรวจ อีกคนหนึ่งหนุ่มกว่าดูจะยังวัยรุ่น รุ่นราวคราวเดียวกับฉัตร
ทั้งสองนั่งรถในห้องรับแขก สักพักแม่น้อยกับฉัตรก็เดินออกมา ชายหนุ่มทั้งสองยกมือไหว้ ชายหนุ่มในเชิร์ตขาวเปิดกระเป๋าหยิบหูฟังของแพทย์ออกมาสวม พลางตรวจวัดหัวใจ และจับชีพจรของแม่น้อย หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวผมจัดยาโรคหัวใจเผื่อไว้ให้นายแม่นะครับ ระยะนี้จะไปไหนมาไหนอยากให้มีคนไปเป็นเพื่อนนะครับ”
“ขอบคุณนะหมอเทพ”
ภาพ เทวารักษ์
“ฉัตร...จะไปมหาลัยพร้อมกับเราไหม?” เด็กหนุ่มอีกคนถามขึ้น
“ไปสิ...งั้นติดรถหมอเทพไปเลยนะภาพ”
ฉัตรตอบที่เวลานี้อยู่ในชุดนักศึกษาเอ่ยขึ้น หมอเทพจัดยาให้แก่แม่น้อยเสร็จก็เดินมาที่รถโดยมีชายหนุ่มที่ชื่อภาพและฉัตรเดินตามมาขึ้นรถด้วย ทั้งหมดขึ้นรถและออกไปพร้อมกัน
....
“หมอเทพ กับภาพคือใครคะ?” ปามเอ่ยถามแม่ฉัตร
ปาม
“หมอเทพ เทวารักษ์ เป็นหมอรักษาประจำตัวของแม่น้อย คุณยายของปามจ้ะ ส่วนภาพ...ภาพเป็น...”
แม่ฉัตรเงียบไปพักหนึ่ง เธอหันไปมองหน้าปามซึ่งเหมือนรอคำตอบของเธออยู่
“ภาพ เทวารักษ์ เป็นคนรักเก่าของแม่เองจ้ะ”
“คนรักเก่าของแม่!” ปามตกใจ
แม่ฉัตร
สองแม่ลูกที่นั่งอยู่บนเรือแจวที่ถูกไว้ริมตลิ่งชัน ไม่ทันได้สังเกตว่ามีเรืออีกลำเพิ่งแจวผ่านไป ในเรือนั้นมีผู้ชายสวมหมวกหลุบต่ำอยู่ สายตาแข็งกร้าวเหมือนคนเต็มไปด้วยความแค้น มันเป็นสายตาเดียวกับที่เคยจับจ้องมองครอบครัวของผู้ใหญ่ข้าวอยู่ใต้ชายคาต้นไม้ข้างโบสถ์ในวัดบอกดิกเมื่อหลายวันก่อน และเป็นชายคนเดียวกับที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนลึกลับที่นำทีมปล้นอาวุธจากเต้เมื่อวันก่อน
ชายคนนั้นหันมาชำเลืองมองที่ฉัตรกับปามแว่บหนึ่ง สายตานั้นมองเขม็งไปที่แม่ฉัตร แต่ดวงตาที่แข็งกร้าวแปรเปลี่ยนเป็นปวดร้าวและยังเต็มไปด้วยความรัก
ชายคนนี้คือ “ภาพ เทวารักษ์”
ภาพไม่หยุดฝีพาย แต่พายเรือห่างจากเรือแจวของแม่ฉัตรออกไปเรื่อย ๆ จนถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง เขาเดินขึ้นมาโดยมีชายอีกคนหนึ่งยืนรออยู่ข้างรถปิคอัพ
“พี่ภาพจะลงมือเลยไหม?”
“ยังก่อน...ยังไม่ถึงเวลานั้น”
ภาพตอบกลับ พลางมองไปตามทิศทางที่เรือแจวของแม่ฉัตรจอดอยู่ สายตาของภาพเหม่อลอยไปไกลแสนไกล เหมือนภาพในอดีตกำลังปรากฎตรงหน้า
ภาพก้าวขึ้นรถโดยไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มที่ยืนรอจึงขับรถออกไป ระหว่างขับรถชายหนุ่มหันมาชำเลืองมองภาพอีกครั้ง
“กี่ครั้งแล้วนะที่เห็นสายตาแบบนี้ก็พี่ภาพเวลาที่เอ่ยถึงหรือเห็นแม่ฉัตร” เขาคิดในใจระหว่างขับรถ
ไร้ ท่าแร้ง
นับแต่รู้จักกัน เขาจำได้ดีในวันที่พบกับภาพเป็นครั้งแรก วันนั้นยามเย็นตะวันใกล้ลาลับฝนเพิ่งซาเม็ด เขาเดินออกมาเตรียมตัวจะต้อนฝูงควายเข้าคอก
พวกโจรสี่คนก็บุกเข้ามาที่บ้าน มันใช้ปืนจี้หัวของเขาไว้ พลางฉุดเมียของเขาจะเอาขึ้นรถปิคอัพไปด้วย เสียงลูกสาวตัวเล็กร้องไห้ดังลั่นบ้าน
เขาพยายามต่อสู้แต่ถูกพานท้ายปืนกระแทกใส่จนคิ้วแตกเลือดอาบ ก่อนจะถูกรุมยำสหบาทาจนตัวเองลงไปกองกับพื้น
เขาจำได้ว่าพยายามกระเสือกกระสนขอชีวิต
“อย่าทำอะไรเมียผมเลย....พวกพี่จะเอาทรัพย์สินอะไรก็เอาไปเถอะครับ”
อ้อนวอนขอร้องอย่างหมดหวัง แต่โจรเหล่านั้นไม่สนใจ หนึ่งในนั้นเตรียมจะเหนี่ยวไกยิงใส่ขมับของเขา
เสียงปืนดังขึ้น
แต่ไม่ใช่จากปากกระบอกในมือโจร แต่กลายเป็นโจรที่ใช้ปืนจ่อขมับล้มลง กระสุนจากที่ไหนไม่รู้วิ่งผ่านทะลุขมับด้านซ้ายออกไปทางด้านขวา
เสียงกระสุนดังขึ้นอีกสามนัด กระสุนทุกนัดทะลุร่างของโจรทั้งสามคน โดยเฉพาะนัดสุดท้ายเจาะเข้ากลางหน้าผากของโจรที่ฉุดเมียของชายหนุ่มขึ้นรถปิคอัพ แต่ตอนนี้กลายเป็นศพนอนจมอยู่ตรงหน้ากระโปรงรถปิคอัพ
สี่ศพในพริบตา
สักครู่หนึ่งมีเงาร่างหนึ่งเดินตัดผ่านทุ่งนาเข้ามา เป็นหนุ่มใหญ่ไว้หนวด ในมือขวาของเขาถือปืนไรเฟิลติดกล้องส่องเล็ง
ชายคนนั้นเดินมาประคองเขาขึ้นมาก่อนจะพามานั่งที่แคร่ ชายไว้หนวดนั้นปลดผ้าขาวม้าที่ห่มคลุมร่างตัวเองไว้ แล้วยื่นส่งให้เขาเช็ดเลือดบนใบหน้า
ระหว่างนั้นชายไว้หนวดเดินไปที่รถปิคอัพเปิดประตู และประคองเมียของชายหนุ่มมานั่งที่แคร่ข้าง ๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้านและกลับออกมาพร้อมกับในวงแขนอุ้มเด็กหญิงคนหนึ่งไว้ แล้วเอามาส่งให้ทั้งสอง เด็กหญิงหยุดร้องไห้แล้ว
ชายไว้หนวดยิ้มให้ ก่อนจะเดินจากไป
“พี่ครับ” เขาเรียกรั้งไว้ “ขอบพระคุณครับพี่ที่ช่วยผมกับลูกเมียจากโจรไว้”
เขาพยายามลุกขึ้นเดินมาหา แต่วิงเวียนศรีษะโซซัดโซเซ แต่ชายไว้หนวดหมุนตัวกลับมาพลางประคองให้เขานั่งลงที่แคร่ต่อ
เขาเอ่ยแนะนำตัวเอง “ผม...ไร้ ท่าแร้งครับ พี่มีบุญคุณกับครอบครัวผม ถ้าจะให้ผมช่วยอะไรผมยินดีทำเต็มที่ครับ”
ชายไว้หนวดยิ้มให้พลางตบบ่าของไร้เบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่ชื่อภาพ แต่นับจากนี้ทุกคนจะรู้จักในชื่อ “เสือมุบ”
เสือมุบ ป่าพยนต์
ไร้ ท่าแร้งจำวันที่เจอกับภาพ เทวารักษ์ครั้งแรกได้ และนั่นทำให้ไร้กับครอบครัวพร้อมจะเป็นแรงสนับสนุนภาพมาโดยตลอด สำหรับไร้แล้ว ผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เขาในเวลานี้ ไร้นับถือไม่ต่างจากพี่ชายแท้ ๆ ของเขาเลย
เสือมุบแห่งป่าพยนต์
….
โปรดติดตามตอนต่อไป
....
ด้วยความแรงบันดาลใจจาก
"เรือนแพ" พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล
"บุญชูผู้น่ารัก" บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
หลังกล้อง “บางบอกดิก” ตอนที่ 9
มาถึงตอนนี้ที่จะมีการย้อนกลับไปในอดีตของที่มาแห่งบุญคุณ ความรัก ความแค้นของหลายชีวิตที่พัวพันมาจนถึงปัจจุบันในบางบอกดิก
หลายคนคงรู้แล้วว่าผมตั้งใจจะให้มีแฟลชแบ็กกลับไปในอดีต ซึ่งจะเล่ายาวไปจนทุกอย่างกระจ่าง แต่ระหว่างที่ผมเขียนผมกลับพบว่าถ้าผมเล่าเป็นเส้นตรงตลอดคนอ่านน่าจะเบื่อ และไม่ชวนติดตาม ผมจึงได้เปลี่ยนวิธีเล่าด้วยการตัดสลับกับเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีตัวละครอื่นมาเล่าเรื่องราวย้อนแทนด้วย จะทำให้ปมที่วางไว้ยังไม่ถูกไขกระจ่างจนหมด อย่างที่น้องปาล์มเธอแปะไว้ในคอมเมนท์เกี่ยวกับปริศนา สุกับเสก รู้จักกันจริงไหม? ปิ้กเป็นลูกใคร, พิมเองก็สงสัยว่าตัวละครของตัวเองเป็นลูกพ่อก้อมและแม่ของเธอคือใคร, ปิ้กก็สงสัยว่าทำไมพ่อข้าวถึงห้ามไม่ให้ร้องเพลง ยังไม่นับตัวละครใหม่ที่ปรากฎตัวแล้ว และคนอ่านน่าจะสงสัยที่ตัวละครนี้ในแฟลชแบ็กกับในปัจจุบันทำไมช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวแบบนี้
ผมมีหนังหลายต่อหลายเรื่องเป็น Reference ดังนั้นการที่บางอย่างจะปรากฎอยู่ในนิยายก็คือการที่ผมอยากคาราวะต่อหนังเหล่านั้น ในตอนนี้จะเห็น “เรือนแพ” ซึ่งมาจากภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลทรงได้ประพันธ์ไว้ ผมนำมาใช้เพื่อในฐานะงานบูชาครูที่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขของผู้ใหญ่ข้าวและพ่อเลี้ยงก้อม ที่ในเวลานั้นเป็นแค่ไอ้ข้าวกับไอ้ก้อมเพื่อนรักที่เข้ามาเผชิญโชคในบางกอก แต่ความเป็นเพื่อนของทั้งคู่ก็จะต้องสิ้นสุดลงด้วย ณ ที่เรือนแพ และการเข้าบางกอกของหนุ่มซื่อ ๆ สองคนมันคือมาจากความเป็นหนังแบบ “บุญชูผู้น่ารัก” ไอ้ข้าวก็คือบุญชูจากบ้านบางบอกดิกนั่นเอง เป็นการคาราวะงานของพี่บัณฑิต ฤทธิ์ถกล นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ผมเปลี่ยนร่างอวตารของผู้ใหญ่ข้าว-แม่ฉัตรเป็น สันติสุข-จินตหรา ผมเชื่อว่าคนอ่านส่วนใหญ่ต้องเลือกข้างและเอาใจช่วยคู่นี้ไม่ว่าพวกเขาจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม
มาถึงตัวละครใหม่ที่ปรากฏในเส้นเรื่องอดีตในตอนที่ 9
ผมกำลังคิดว่าใครจะเป็นแม่ของฉัตรถึงจะเหมาะสม และก็คิดว่ามัมน้อยหรือแม่น้อย เพจ MomNoi Positive Thoughts นี่ล่ะที่เหมาะสมอย่างที่สุด มีความเป็น “นายแม่” ผู้มีเมตตา และมีบารมีพอที่จะคุมกิจการได้ด้วยตนเอง ร่างอวตารของมัมน้อยจึงต้องเป็นนักแสดงอาวุโส กู๊ดเสนอว่าควรเป็นป้าพิศมัย วิไลศักดิ์ ก๋ว่าตามกันครับ
ตัวละครถัดมาคือ หมอเทพ เขาจะเป็นตัวละครที่ไม่มีร่างอวตาร เอาเป็นว่าคนอ่านรู้ไว้ก่อนว่าหมอเทพ เทวารักษ์เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่จะอยู่ในนิยายเรื่องนี้และเขาจะเป็นใครบางคนในบางบอกดิกตามเวลาในเส้นเรื่องหลัก
ตัวละครถัดมาคือ ไร้ ท่าแร้ง ซึ่งก็คือ ไลฟ์ หรือ ท็อป เจ้าของเพจ Happy Life น้องชายของพี่มูฟวี่ ผมตั้งไจไว้เลยว่าจะต้องให้มีตัวละครที่เหมือนคนสนิทของภาพ เทวารักษ์ หรือ เสือมุบป่าพยนต์ ซึ่งก็ต้องเป็นไลฟ์คนนี้ล่ะ ดังนั้นร่างอวตารของเขาต้องเป็นนักแสดงชายที่เป็นแฟมิลี่แมนเหมือนตัวตนจริงของไลฟ์ ผมมีสองตัวเลือกคือ กาย รัชชานนท์ กับ กัปตัน ภูธเนศ ที่รายหลังน้องกู๊ดเป็นคนเสนอมา และผมก็เลือกตามที่กู๊ดเสนอคือ กัปตันเป็นร่างอวตารของไลฟ์
มาถึงตัวละครที่เต็มไปด้วยความแค้น เป็นตัวละครที่มีสีเทา ถ้าผู้ใหญ่ข้าวเป็นตัวละครสีขาว พ่อเลี้ยงก้อมสีเทา แม่ฉัตรเป็นสีชมพู ผมอยากได้ตัวละครสีเทา และต้องมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับคนทั้งสี่ หลังจากคิดอยู่นาน ผมก็หานักเขียนที่จะมารับบทนี้ไม่ได้ ในที่สุดก็เลยคิดว่าบทนี้จะเป็นของตัวผมเอง เพราะทั้งพี่ข้าว พี่เรื่องสั้น น้องกู๊ด และผม จะสนิทกันอยู่แล้วน่าจะทำให้ความสัมพันธ์ในนิยายดูน่าเชื่อขึ้น
ส่วนตัวเองอยากทำอะไรตรงกันข้าม ผมเป็นคนคิดบวก เป็นคนไม่ค่อยคิดแค้นใคร มันน่าสนใจถ้าได้เปลี่ยนแคแรกเตอร์ตัวเองไปทำตรงกันข้ามทั้งหมด อีกอย่างคือผมอยากสะท้อนผ่านตัวละครนี้ให้เห็นว่าความแค้นมันเปลี่ยนคน ๆ หนึ่งได้ และไม่มีใครมีความสุขกับสิ่งนั้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณจะล้างแค้นใคร จงขุดหลุมไว้สองหลุม หลุมแรกเป็นของคนที่คุณคิดจะล้างแค้น แต่อีกหลุมเป็นของตนเอง
พอมาถึงร่างอวตารเป็นอะไรที่ยากมาก กระทั่งผมไปเห็นภาพของเค็น ธีรเดชในเรื่อง กระทิง ที่เขาไว้หนวด แล้วดูโหด ๆ กว่าทุกเรื่อง น่าจะเข้ากันได้ดีก็เลยเลือกมาเป็นร่างอวตารของตัวละครที่ชื่อ ภาพ เทวารักษ์ ในอดีต และเป็นเสือมุบป่าพยนต์ในปัจจุบัน จริง ๆ แล้วมันเป็นการเล่นคำโดยตัดคำว่า “ภาพยนตร์” ออกมา และก็เปลี่ยนชื่อจากมูฟ เป็น มุบ โดยมันยังออกเสียงเหมือนเดิม
ทีนี้ก็ตอบคำถามหลายคนได้แล้วว่า จะได้เห็นผู้กำกับอยู่ในนิยายนี้ไหมอันที่จริงเป็นอะไรที่ลำบากใจมากในการดึงตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องนี้ เพราะผมไม่แน่ใจว่าคนอ่านส่วนใหญ่จะมีฟีดแบ็กอย่างไร ชอบหรือไม่ก็บอกกันมาได้นะครับ
ผมหวังว่าคนอ่านทุกท่านจะยังสนุกและติดตามนิยายเรื่องนี้กันต่อไปในทุกสัปดาห์นะครับ
มูฟวี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา