6 เม.ย. 2020 เวลา 11:22 • ธุรกิจ
Insight : ผลกระทบของ Social Distancing ต่อสหรัฐฯ
1. GDP ของสหรัฐฯ อาจทรุดตัวกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์
ขนาดเศรษฐกิจทั้งหมดของสหรัฐฯ ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 22 ล้านล้านดอลลาร์ และมันอาจตกไปถึง 12 ล้านล้านดอลลาร์
ธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคารต่าง ๆ กำลังเผชิญความปั่นป่วนอย่างหนัก จากมาตรการ Social Distancing เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีโต๊ะนั่งติด ๆ กัน ทำให้ในปัจจุบันยอดการจองร้านอาหารเหล่านี้ลดลง 100% เมื่อเทียบเป็นรายปี และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
อุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องยกเลิกการจ้างงานกว่า 3 ล้านตำแหน่ง และสูญเสียยอดขายกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 และนี่เป็นข้อมูลที่รวบรวมเพียง 3 สัปดาห์ (ถ้าเก็บข้อมูลนานกว่านี้ตัวเลขก็ยิ่งสูงขึ้น)
ซึ่งโดยรวมแล้ว การจ้างงานจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วน 10% ของการจ้างงานทั้งหมดในสหรัฐฯ
ตอนนี้อีกกว่า 50% ของธุรกิจร้านอาหารกำลังพิจารณาเลิกจ้างและลดเวลาการทำงานเพิ่มเติมในอีก 30 วันข้างหน้า และอีก 3% ของผู้ประกอบการเหล่านี้ได้ปิดทำการอย่างถาวรแล้ว
แน่นอนว่าตัวเลขเหล่านี้จะสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง หากการปิดประเทศยังคงดำเนินต่อไป และ 11% ของผู้กระกอบการกำลังพิจารณาที่จะปิดตัวลงอย่างถาวรภายในเดือนถัดไป ซึ่งหากเกิดขึ้นจะหมายความว่า "ต้องมีชาวอเมริกันอีกกว่า 1.7 ล้านคนตกงาน"
มีเพียง 54% ของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปใช้วิธีค้าปลีก/จัดส่ง แทนการขายในสถานที่ ซึ่งอีก 46% ที่เหลือไม่สามารถทำแบบนั้นได้
มาดูข้อมูลของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ กัน
จากข้อมูลสำรวจของ Upfina ระบุว่า 3% ของธุรกิจเหล่านั้นมีลูกจ้าง 1-5 คน และ 29% มีลูกจ้าง 26-50 คน ส่วนที่เหลือมีมากกว่า 50 คนขึ้นไป
หากดูในกราฟด้านล่าง เราจะเห็นได้ว่าในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ มีเพียง 3% เท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก Coronavirus
ใน 100% มีถึง 44% ที่ถูกสั่งปิดโดยรัฐบาล (ล้มละลายนั่นแหละ) ส่วนอีก 56% ที่เหลือล้วนมียอดขายและมูลค่าลดลง
ข่าวดีคือมีเพียง 1% ในธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องปิดตัวลงอย่างถาวร และข่าวร้ายคือทุกอย่างอาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แม้จะมีเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นมูลค่าประมาณ 3.5 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 คน สำหรับค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์
เงื่อนไขเงินกู้ยืมครั้งนี้เปิดกว้างมาก โดยอนุญาติให้ธุรกิจเหล่านี้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย รวมถึงไม่ต้องจำนองทรัพย์สินใด และไม่คำนึงถึงการจ้างงาน หรือศักยภาพใด ๆ ทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ คือ ให้ยืมไปก่อน มีเมื่อไหร่ค่อยคืน
แต่ปัญหาคือธุรกิจเหล่านี้อาจไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้จะให้ลูกจ้างทำงานจากที่บ้านก็ตาม แต่คนแรงงานรายชั่วโมงส่วนใหญ่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และความจริงแล้ว 94% ของแบบสำรวจนี้กล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้
อัตราการว่างงานอย่างเป็นทางการก็ต้องพุ่งสูงขึ้นแน่นอน
มีคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงานจะเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าในเดือนเมษายนนี้ อย่างที่เราเห็นในรายงานครั้งก่อน ๆ คือเมื่อเดือนก.พ. 2563 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.5% หรือประมาณ 3.3 ล้านคน และพอมาถึงในเดือนปลายเดือนมีนาคมมันเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 6.6 ล้านคน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายใน 1 สัปดาห์หลังด้วยซ้ำ
ด้วยแนวโน้มเหล่านี้จึงมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขการว่างงานจะพุ่งทะลุ 10 ล้านคนในเร็ว ๆ นี้ (ไม่เกิน 2 สัปดาห์) โดยอัตราการว่างงาน 6.6 ล้านคนในปัจจุบันนั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของแรงงานทั้งหมดในสหรัฐฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CSI) กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CSI) ลดลงจากระดับ 101 ในเดือนก.พ. 2563 มาสู่ 89.1 ในเดือนมี.ค. 2563 ซึ่งเป็นการลดลงรายเดือนที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับ 4 ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมานี้
ที่แย่กว่านั้นคือ ค่าเฉลี่ยการลดลงใน 7 วัน แสดงให้เราเห็นว่า หากมันยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ในเดือนเมษายน ก็จะหมายถึงการที่ค่า CSI จะลดลงอีก 18.2 หน่วย ซึ่งรวมแล้วจะลดลง 30.1 หน่วยใน 2 เดือน และมันจะกลายเป็นการลดลงที่มากที่สุดเท่าที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เห็นได้ชัดว่าตัวเลขต่าง ๆ จะเลวร้ายได้มากกว่านี้อีก ซึ่งในปัจจุบัน CSI ได้ลดลงแล้วประมาณ 9.7% และคาดว่ามันจะลดลงถึง 13.5% ภายในเร็ว ๆ นี้
ข้อสรุปของรายงานฉบับนี้กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่เลวร้ายกว่า Great Depression อัตราการจ้างงานอาจลดลงได้ถึง 30% ซึ่งเมื่อรวมผลกระทบจากธุรกิจขนาดเล็กเข้ากับธุรกิจขนาดใหญ่แล้ว มันก็ไม่เกินความเป็นจริงไปแม้แต่น้อยที่จะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจหดตัวกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์
กราฟด้านล่างจำลองการหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเปรียบเทียบว่าจะมีความรุนแรงในสัดส่วนเดียวกันกับการหดตัวของเศรษฐกิจภายในมณฑล Hubei ประเทศจีน
Panic Sell ในตลาดหุ้น เกิดจากทั้งทางผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนอิสระ
สถานการณ์ในปัจจุบัน นักลงทุนยังมีความกังวลต่อตลาดอยู่ แม้ว่าจะมีบางส่วนย้ายเงินเข้ามาสู่ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น (70% เป็นนักลงทุนอิสระ) แต่พบว่ากลุ่มลูกค้าที่มีขนาดบัญชีใหญ่กว่านั้นมักจะย้ายไปถือพันธบัตรกันเสียยมากกว่า (พูดง่าย ๆ คือตอนนี้คนธรรมดาซื้อหุ้น คนรวยถือเงินสด)
และจะเห็นได้ว่าใน 65% ของนักลงทุนอิสระมีการเทรดเพียง 1 ครั้งเท่านั้นในรอบเดือน (เก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ. - 20 มี.ค. 2563) ซึ่งคาดว่าเป็นการช้อนซื้อหุ้นในราคาถูก และมีเพียง 8.3% ของนักลงทุนอิสระที่มีการซื้อขายตลอดช่วงที่เก็บข้อมูล
ภาพรวมของตลาดในตอนนี้คือกว่า 90% ของนักลงทุนกำลังรอดูสถานการณ์อยู่เฉย ๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงการช้อนซื้อเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างเสี่ยง เนื่องจากความปั่นป่วนของตลาดยังคงดำเนินต่อไป และเราคาดเดาได้ยากว่าสถานการณ์จะทวีความรุนแรงไปจนถึงจุดไหน
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา