8 เม.ย. 2020 เวลา 10:22 • ข่าว
Focus : ประเด็นน่าสนใจวันนี้
1. หลักฐานยืนยันภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกอยู่ที่นี่แล้ว
รายงานจากสำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า "ในขณะนี้มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนแล้วว่าเดือนมีนาคม 2563 เป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรง"
ผลกระทบที่จะเกิดเป็นวงกว้างนั้นเริ่มปรากฎครั้งแรกใน "ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจทั่วโลก" ตามมาด้วย "ความปั่นป่วนทางการค้า" ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากนั้นส่งผลกระทบต่อไปที่ "การลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ" และสุดท้ายแล้วก็มาถึง "ผู้บริโภค" พร้อม ๆ กับอัตราการว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
สังเกตได้ชัดเจนจาก Demand ทั่วโลกที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งกราฟด้านล่างจะแสดงผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกของสหรัฐฯ จาก Demand ที่ลดลง
Bloomberg ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลของ IHS Markit และพบว่าตัวเลขของเรือขนส่งยานพาหนะที่จอดเทียบท่า (ไม่ได้ใช้งาน) เพิ่มขึ้นเป็น 19% จาก 11% ในปีก่อน
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้รายงานตัวเลขผู้ว่างงานที่สูงกว่าคาดการณ์เอาไว้ และแนวโน้มเหล่านี้ในเดือนมีนาคม 2563 ทำให้เราพอมองเห็นได้ว่า
"การระบาดของ Coronavirus ในตอนแรกได้ส่งผลให้ภาคการผลิตกลายเป็นอัมพาต และตอนนี้มันส่งผลเดียวกันกับภาคครัวเรือน" หรือกล่าวอีกนัยนึงก็คือ "จากประเทศมหาอำนาจทางการค้า ไปสู่ประเทศตลาดเกิดใหม่ และประเทศยากจน"
ในเยอรมัน ยอดการสั่งซื้อรถยนต์ในเดือนมีนาคม 2563 (ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วง Peak Season) ลดลง 38% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนในอังกฤษลดลง 44%
3 ประเทศยักษ์ใหญ่จากอาหรับก็ได้รับผลกระทบนี้
1. บราซิล : ดัชนีภาคบริการ ลดลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2559
2. แอฟริกาใต้ : ยอดขายยานพาหนะ ลดลง 30%
3. ออสเตรเลีย : การประกาศจ้างงานใหม่ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552
* เกล็ดความรู้ : ก่อนหน้านี้ออสเตรเลียเป็นประเทศที่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาได้กว่า 3 ทศวรรษ
"ระบบห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดกำลังเผชิญวิกฤตอย่างชัดเจน และในบางมุมมอง ภาพของเหตุการณ์เล่านี้ดูมืดมนกว่าช่วงวิกฤตการเงินในปี 2551-2552" Roberto Azevedo ผู้อำนวยการทั่วไปขององค์กรการค้าโลก (WTO) กล่าว
WTO ได้ปรับคาดการณ์ตัวเลขทางการค้าทั่วโลกใหม่ในวันนี้ Azevedo กล่าวว่า "กรณีคาดการณ์ล่าสุดของเราแสดงให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญว่าจะเกิดการทรุดตัวที่รุนแรงกว่า -12.6% สำหรับการค้าทั่วโลก และ -2% สำหรับเศรษฐกิจโลก เมื่อปี 2552"
กล่าวให้ชัดเจนคือ ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขการทรุดตัวของเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตทางการเงินปี 2551-2552 และ WTO ได้คาดการณ์ว่าตัวเลขครั้งนี้จะรุนแรงกว่านั้น !
มุมมองของ Azevedo นั้นมีแนวโน้มมาจากคาดการณ์ของ IMF และ World Bank ซึ่งทั้ง 2 สถาบันทางการเงินยักษ์ใหญ่นี้ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า "เศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในปีนี้"
เสริมกับข้อมูลจากการสังเกตการณ์ครั้งล่าสุด ซึ่งรวบรวมโดยเครื่องมือติดตาม GDP ทั่วโลกของ Bloomberg แสดงให้เห็นว่า "การทรุดตัวลงครั้งนี้ รวดเร็วกว่าในวิกฤตทางการเงินทุกครั้งที่ผ่านมา"
ผลการติดตามในเดือนมีนาคม 2563 ระบุว่าเศรษฐกิจทั่วโลกหดตัวลง 0.5% เมื่อเทียบกับ 0.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ผลจากการ Lockdowns ทั้งประเทศของอินเดียและอิตาลี ทำให้ธุรกิจมากมายต้องปิดตัวลง และผู้คนกว่า 1 พันล้านคนต้องถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลาหลายสัปดาห์ สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อทั้ง Demand และ Supply ในเวลาเดียวกัน
เกล็ดความรู้ : ใครเคยไปอินเดียจะรู้ว่าประเทศเค้านี่มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากแออัดมาก ๆ (มากจริง ๆ ใครเคยไปจะรู้ ยิ่งในเมืองที่ยากจน) ขับรถกันนี่เสียงแตรดังลั่นตลอดถนนไม่มีเว้นว่างแม้แต่วินาทีเดียว ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ คือภาคการผลิตของระบบ IT เพราะอินเดียขึ้นชื่อสุด ๆ อยู่แล้วเรื่อง IT ทุกอย่าง ส่วนอุตสาหกรรมแร่ต่าง ๆ ก็น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน
และเนื่องจาก "การลงทุน" จากภาคส่วนต่าง ๆ ลดลงไปอย่างมาก รวมถึงคนตกงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้ทำให้สรุปได้ว่า "GDP ทั่วโลกจะลดลงต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่รัฐบาลยังมีมาตรการ Lockdowns อยู่"
โดยความหวังของเหล่านักลงทุนตอนนี้คือ "มันควรจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม หรือไม่ก็เดือนมิถุนายน (2563)"
กราฟด้านล่างนี้ แสดงถึงสัดส่วนคาดการณ์ของผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในแต่ละภาคส่วน
การคาดการณ์ดังกล่าวยังแสดงให้เห็นอีกว่า แม้การแพร่ระบาดของไวรัสจะจบลงในเวลาไม่นานหลังจากนี้ แต่ผลกระทบจาก Demand และ Supply ที่หยุดชะงักจะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากนั้นอีกสักพัก
สัญญาณต่าง ๆ ในปัจจุบันยังไม่แสดงให้เห็นถึงจุดสิ้นสุดอันรวดเร็ว และการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ
1. Honda Motor Co. กล่าวว่าจะตัดเงินเดือนพนักงานทั้งหมดใน 10 สาขาของสหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์
2. ในเดือนมีนาคม 2563 ชาวอเมริกันกว่า 10 ล้านคนกำลังยื่นเรื่องแจ้งสถานะว่างงาน และมีกว่า 6.6 ล้านคนที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าว่างงานจริง
ข้อสังเกต : นี่คือเหตุผลที่ World Maker บอกว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มสูงที่จะทรุดตัวลงอีกประมาณ 1-2 รอบใหญ่ ๆ และหลังจากนั้นมันจะดีขึ้นยาว ๆ รวมถึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าปัจจุบันยังไม่ถึงจุดต่ำสุดของตลาดหุ้น
Source : Worldometers
2. Ray Dalio ยังคงมีความคิดที่ว่า "เงินสดคือขยะ" ในขณะที่เครื่องพิมพ์เงินกำลังทำงานอย่างหนัก
เจ้าของ Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Ray Dalio เชื่อว่ามีสินทรัพย์อื่นที่ดีกว่า "เงินสด" ในการถือครองไว้ ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังพิมพ์เงินอย่างต่อเนื่อง และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ
ประโยคสำคัญที่สุดของเขาในภาษาอังกฤษคือ
"Please remember that while it doesn’t move around in value as much as other assets, there is a costly negative return to it.
During a Reddit Ask Me Anything event on Tuesday. "So I still think that cash is trash relative to other alternatives, particularly those that will retain their value or increase their value during reflationary periods (e.g., some gold and some stocks)."
แปลเป็นไทยได้ดังนี้
"โปรดจำไว้ว่าในขณะนี้เงินสดไม่ได้มีมูลค่าเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งในท้ายที่แล้วมันจะส่งผลลบย้อนกลับไปที่ตัวเอง"
"ผู้คนใน Reddit ถามทุกอย่างที่ผมคิด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ดังนั้นผมจึงตอบไปว่าผมยังคิดเหมือนเดิมคือ Cash is trash (เงินสดคือขยะ) เมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น ๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่จะรักษามูลค่าของตัวเองไว้ หรือที่ดีกว่านั้นคือสามารถเพิ่มมูลค่าขึ้น ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังเพิ่มเงินสดหมุนเวียนในระบบอย่างบ้าคลั่ง (เช่น ทองคำ และหุ้นบางตัว)"
Ray Dalio ได้ตอบคำถามในเรื่องของตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเขากล่าวว่าในขณะนี้กำลังเป็นช่วงเวลาของ Short Squeeze* ต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคนทั่วโลกยังจำเป็นต้องใช้เพื่อเก็บออม ฉุกเฉินและการแลกเปลี่ยน "อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้" Ray Dalio กล่าวย้ำ
* Short Squeeze หมายถึง การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยทางด้านเทคนิคในตลาด (Technical factors)** มากกว่าการที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยทางพื้นฐาน (Fundamentals factors)***
Short Squeeze นั้นสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อตลาดอยู่ในภาวะขาดแคลน Supply และมี Demand ส่วนเกินอยู่ในตลาดหุ้น (พูดง่าย ๆ คือฟองสบู่นั่นแหละ) เนื่องจากฝั่งนักลงทุนที่ "เปิด Sell Order" ไว้ก่อนหน้านี้ได้ทำการ "Close Order" ของพวกเขาลง รวมถึงการกว้านซื้อจากสถานบันการเงินต่าง ๆ
** Technical factors หรือปัจจัยทางเทคนิค โดยปกติจะหมายถึง การซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยดูจากกราฟและตัวชี้วัดทางการเงิน (Indicator) เป็นส่วนใหญ่
แต่ในความหมายของ Technical factors ในมุมมองของ Ray Dalio ครั้งนี้ จะเน้นถึงการเปิด/ปิด Order ของนักลงทุน และการอัดเงินเงินเข้าสู่ระบบเพื่ออุ้มตลาดหุ้น โดยสถาบันการเงินต่าง ๆ (ซึ่งทำให้ราคาพุ่งขึ้น) มากกว่าจะสื่อถึงความหมายโดยปกติของ Technical factors
*** Fundamental factors หรือปัจจัยพื้นฐาน หมายถึง สภาพการของตลาดตามความเป็นจริงของโลก ณ ขณะนั้น เช่น เทคโนโลยี ความพร้อมในการผลิต สถานการณ์ความมั่นคง สงคราม ภัยพิบัติ มุมมองของผู้คนต่อตลาด วิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป นโยบายทางการเงินของธฯาคารกลาง ฯลฯ
ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้น และเปรียบเสมือนหัวใจหลักในการขับเคลื่อนตลาดไปในทิศทางต่าง ๆ
"การพิมพ์เงินทั่วโลกเพื่อผลิตกระแสเงินสดและเพิ่มสภาพคล่อง จะต้องสมดุลกับการที่เราต้องมีสินทรัพย์ประกันที่สำคัญที่สุดในโลกเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ผู้คนทั่วโลกกำลังต้องการเงิน"
"ผมคิดมาเสมอว่าสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์คือ ความสมบูรณ์แบบในเรื่องสุขภาพ การศึกษา และความสามารถในการดูแลครอบครัว"
เมื่อถูกถามถึงเรื่องการตอบโต้วิกฤตในครั้งนี้ Ray Dalio กล่าวว่า "ผมรู้สึกประหลาดใจและได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากโดยกลุ่มผู้ทำงานด้านสุขภาพทั้งหลาย รวมถึงคุณครู และร้านค้าเล็ก ๆ"
"สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจที่สุดคือ ผู้คนบางกลุ่มเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอยู่ในลำดับต้น ๆ สำหรับวิกฤตครั้งนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลง"
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา