7 เม.ย. 2020 เวลา 09:08 • ธุรกิจ
Digital Disruption + Covid-19 = อะไรเอ่ย?!
ในสถานการณ์ Covid-19 เป็นสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก จนทำให้อุตสาหกรรมการบิน การขนส่ง การโรงแรม การท่องเที่ยว ยายยนต์ ๆลๆ ตลอดจนธุรกิจSME และ Start up ต้องได้รับผลกระทบ
ธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งจำต้องปิดตัว และบริษัทยักษ์ใหญ่หล่ยแห่งต้องได้รับผลกระทบ เช่น Delta Air Lines, Amarican Airline, Ford Motor, Macy's(ห้างสรรพสินค้าอเมริกา), Kraft Heinz(แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มอันดับต้นๆของโลก) ได้กลายเป็น Fallen Angle(เทวดาตกสวรรค์) เพราะถูกจำกัดความน่าเชื่อถือ จนตลาดหลักทรัพย์ได้จัดให้กลุ่มนี้อยู่ในระดับ Junk Bond(ตราสารหนี้ขยะ) จากเดิมมีที่อยู่ในกลุ่ม Investment Grade ระดับAAA จนถึง BBB เนื่อจากขาดรายได้อย่างจับพลันจาก Covid-19
และอีกหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจก็คือ Soft Bank บริษัท Captial Venture(VC) สัญชาติญี่ปุ่น ที่ลงทุนใน Start up ต่างๆทั่วโลก
ขอบคุณเพจ Market Think ด้วยครับ
เนื่องจากว่า Soft Bank ได้ลงทุนในธุรกิจ Start up ต่างๆเป็นจำนวนมากและธุรกิจส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ "ยอมขาดทุนระยะสั้น เพื่อกำไรระยะยาว" ด้วยการอัดฉีด Promotion และ Advertising อย่างหนักหน่วงเพื่อแย่งชิง User ให้ได้ Marketshare มากที่สุด เพื่อกำไรสูงสุด
ทำให้ธุรกิจStart up ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเงินลงทุนจาก VC อย่างมหาสาร ทำให้Soft Bank ต้องมีการอัดฉีดเงินเข้าไปเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดมีการตั้งกองทุน Vision Fund ที่มีมูลค่าถึง
3 ล้านล้านบาท เพื่อการลงทุนในธุรกิจจำพวก Shareing Economy โดยเฉพาะ
หากยังอยู่ในสถ่นการณ์ปกติ ธุรกิจเหล่านี้ก็จะสามารถอยู่รอดได้และมีการเติบโตที่ต่อเนื่องหากมีการสนับสนุนเงินทุนเป็นระยะๆ แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนั่นก็คือ Covid-19 นั่นเอง😑
ล่าสุด Soft Bank ได้ทำการขายทรัพย์สินเป็นมูลค่า 1.3ล้านล้านบาท เพื่อค้ำจุนธุรกิจ Start up เอาไว้ เพื่อให้มีเงินทุนให้กับบริษัทที่"ขาดทุนระยะสั้น เพื่อกำไรระยะยาว" แล้วว่าแต่ ทำไมSoft Bank และบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาในข้อความข้างต้น ถึงเป็นแบบนั้นล่ะ? ทำไมเขาถึงไม่มีเงินสดสำรองมากพอจนต้องขอความช่วยเหลือเหมือน "เด็กอนุบาล3ขอเงินแม่"
หนึ่งในนั่นก็เพราะ Digital Disruption บีบบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีต้องทำแบบนั้นครับ
Digital Disruption ทำให้บริษัท Start up จำต้องลงทุนในส่วนของ
1. การวิจจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างหนัก
2. การสเกลบริษัทอย่างหนัก เช่น การขยายพื้นที่บริการ การขยายสาขาและการขยาย Franchise
3. การทุ่มงบไปกับการทำ Marketing อย่างหนักเพื่อสร้าง New User และแย่ง Marketshare จากบริษัทเจ้าเก่าให้มากและเร็วที่สุด
ซึ่ง Digital Disruption จะทำให้ทุกบริษัทต้องอัดฉีดเงินที่ได้จากยอดขายแต่ละไตรมาสเป็นจำนวนมหาสารเพื่อใช้ในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงของบริษัท แล้วบริษัทที่ไหนจะมีเงินสดสำรองในภาวะวิกฤติ Covid-19?
แล้วทำไมCovid-19ถึงมีความเกี่ยวข้องนี้ด้วย เนื่องจากว่ามันได้ทำให้ Vicious circle of destruction หยุดชะงักลงนั่นเอง
ให้ดูเริ่มต้นจาก หมายเลข1(เขียวอ่อน)นะครับ🙂
(กรุณาอ่านรูปข้างต้นก่อนนะครับ ไม่งั้นจะไม่เข้าใจข้อความหลังๆ🙂)
สิ่งที่ตามมาก็คือ Covid-19 จะเร่งให้บริษัทที่อยู่ในจังหวะที่1,2และ3 เข้ามาอยู่ในจังหวะที่4 อย่างฉับพลัน โดยที่บางบริษัทต้องจำใจเลือกทางเลือกที่1อย่างไม่มีทางเลือก แต่บางบริษัทที่มีSoft Bankเป็นผู้ให้ทุน ก็สามารถอยู่รอดได้ เพราะสามารถนำเงินทุนไปทำในส่วนของทางเลือกที่ 2 ได้ แต่ถ้าบริษัทไปไม่ไหวก็สามารถเลือกทางเลือกที่3ได้ โดยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ช้อนซื้อบริษัทคุณในราคาถูก
และเพราะในวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้ใง บริษัทขนาดเล็กถึงเลือกทางเลือกที่3โดยขายบริษัทให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ และจะเป็นจุดเริ่มต้นของ"ความเหลื่อมล้ำแบบทวีคูณในยามวิกฤติ"
สรุปก็คือ Digital Disruption จะทำให้ทุกบริษัทมีความเปราะบางในเงินสำรองฉุกเฉินที่แตกต่างกันออกไปตามการบริหารงบการเงินของบริษัทนั้นๆ
สุดท้ายนี้ผมมีคำถามเล่นๆที่อยากให้ผู้อ่านทุกคนได้ลองคิดกันครับ
"คุณคิดว่าระหว่าง ประชาชนมีความร่ำรวยแล้วซื้อของยักษ์ใหญ่ Vs ประชาชนยากจนแล้วยักษ์ใหญ่ช้อนซื้อ แบบไหนยักษ์ใหญ่ได้ผลประโยชน์กว่ากัน?"
ฝากกดLike กดShare และกดFollow ด้วยนะครับ🥰🥰🥰🥰

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา