15 เม.ย. 2020 เวลา 05:56 • ประวัติศาสตร์
กำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นเพราะอะไร?
นักประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า หากไม่มีกำแพง งานวรรณกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์สำคัญ ๆ อย่างดินปืนก็อาจจะไม่ได้เกิด ถ้าใครเคยเล่นเกมยุทธศาสตร์ Age of Empires ก็อาจจะพอนึกออกเพราะฟังก์ชั่นที่สำคัญของกำแพงก็คือ มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นบุกเข้ามาในดินแดนของเรา มาทำร้ายและยึดทรัพย์สินของเราไปได้ พอมีกำแพงแล้ว คนที่อยู่ภายในกำแพงจึงสามารถดำเนินชีวิต มีอาชีพอื่น ๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องมาคอยรอแต่จะจับอาวุธขึ้นต่อสู้ผู้รุกรานอยู่ตลอดเวลา อารยธรรมมนุษย์จึงเริ่มพัฒนาต่อไปได้
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
กำแพงเมืองจีน เป็นกำแพงที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และเก่าแก่เกือบสองพันปี บางคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวที่จิ๋นซีฮ่องเต้ที่เป็นผู้สั่งให้สร้างกำแพงเมืองจีน แต่จริงๆ แล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ไม่ใช่คนแรก และก็ไม่ใช่คนเดียวที่สร้างกำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองจีนได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องในห้วงเวลาสองพันปีที่ผ่านมา
หลักๆ กำแพงเมืองจีนมีสามเวอร์ชั่น
เวอร์ชั่น1.0 สร้างในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้
เวอร์ชั่น 2.0 สร้างในสมัยราชวงศ์ฮั่น
ส่วนกำแพงที่เราไปเยี่ยมชมกันได้ทุกวันนี้คือเวอร์ชั่น 3.0 ที่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง
5
มูลเหตุแห่งการสร้างกำแพงเมืองจีนนั้น จริง ๆ แล้วก็เกิดจากการใช้ชีวิตแบบอยู่ติดที่ของชาวฮั่น ซึ่งเป็นชาติพันธุ์หลักของสังคมจีน ซึ่งชาวฮั่นที่อยู่ติดที่นี้ สร้างกำแพงขึ้นเพื่อป้องกันการเข้ามาของชนเผ่าเร่ร่อนจากทางภาคเหนือในช่วงสองพันปีที่ผ่านมา
3
เมื่อประมาณหนึ่งหมึ่นปีที่แล้ว ในลุ่มแม่น้ำหวง หรือที่เรียกว่า จงหยวน เริ่มมีวิถีชีวิตแบบอยู่ติดที่ปรากฎขึ้นเนื่องจากมนุษย์ค้นพบวิธีการทำการเกษตร การมีไร่นาเป็นที่เป็นทางหมายถึงมนุษย์ก็จะอยู่กันอย่างเป็นที่เป็นทางด้วย ส่วนบริเวณจากเอเชียกลางถึงที่ราบสูงมองโกล เป็นภูมิภาคที่ไม่มีแม่น้ำใหญ่ๆ ไหลผ่าน ฝนก็ไม่ค่อยตก มีแต่ทุ่งหญ้า ปลูกอะไรก็ไม่ได้ คนที่อยู่ภูมิภาคนี้จึงไม่สามารถอาศัยอยู่ในที่เดียวไปตลอดได้ ต้องพาสัตว์เลี้ยงย้ายถิ่นเป็นประจำ นี่คือที่มาของการใช้ชีวิตแบบชนเผ่าเร่ร่อน
1
แม้ว่าคนในโลกใบนี้มีวิถีชีวิตหลายๆ แบบ มนุษย์เรามีจุดร่วมอย่างหนึ่งแน่นอนก็คือ ความต้องการของเราไม่มีจำกัด แม้ทรัพยากรในโลกนี้มีอยู่อย่างจำกัด การแข่งขันกันเพื่อจะได้ทรัพยากร ทำให้เกิดสงครามระหว่างชนเผ่าต่างๆ ชนเผ่าที่ชนะสงครามก็จะรวมชนเผ่าอื่น และผู้นำชนเผ่าที่ชนะก็จะมีอำนาจและอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 1600 ปีก่อนคริสตกาล ในจงหยวนเริ่มมีอาณาจักรของชาวฮั่น มีการตั้งราชวงศ์ซางและราชวงศ์โจวตั้งขึ้นมา ขณะเดียวกันที่บริเวณทุ่งหญ้าทางด้านเหนือ เนื่องจากแต่ละชนเผ่าต้องย้ายถิ่นเป็นประจำจึงไม่สามารถตั้งการปกครองอย่างเป็นระบบเหมือนอาณาจักรได้ แต่ก็ยังมีการเข้าร่วมกับชนเผ่าหรือผู้นำที่มีอำนาจมากกว่าอยู่บ้างเหมือนกันสามารถตั้งการปกครองอย่างเป็นระบบเหมือนอาณาจักรได้ แต่ก็ยังมีการเข้าร่วมกับชนเผ่าหรือผู้นำที่มีอำนาจมากกว่าอยู่บ้างเหมือนกัน
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
กลุ่มคนที่ดำเนินวิถีชีวิตต่างกัน ถ้าอยู่คนละที่ไม่ไปยุ่งกัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่สงครามและการขยายตัวของอาณาจักรก็ทำให้ชาวฮั่นต้องเริ่มมีความสัมพันธ์กับชนเผ่าอื่นๆ ที่อยู่รอบนอกจงหยวน จึงมีแนวคิดที่เรียกว่า กฏระเบียบหัวหยี(Hua-Yi Distinction,華夷秩序)พัฒนาขึ้น
1
หัว หมายความว่าชาวฮั่น ส่วนหยี หมายถึงชนเผ่าอื่นๆ ซึ่งแนวคิดนี้แปลตรงๆ ก็คือ การแบ่งแยกระหว่างชาวฮั่นและกลุ่มคนอื่นๆ ชาวฮั่นเชื่อว่าพื้นที่ตรงลุ่มแม่น้ำหรือจงหยวนนั้นเป็นศูนย์กลางของโลก และโลกนี้ควรปกครองโดยชาวฮั่น เพราะวัฒนธรรมของชาวฮั่นเป็นวัฒนธรรมที่ดีที่สุด ส่วนชนเผ่าที่พูดภาษาอื่นๆ หรือใช้ชีวิตแบบอื่น เป็นคนที่ไม่ศิวิไลซ์ เป็นพวกป่าเถื่อน ถ้าจะมาที่จงหยวนก็ต้องมีจิ้มก้องมาด้วย นั่นก็คือเครื่องบรรณาการทั้งหลายนั่นแหละ นอกจากนี้ คนนอกไม่ควรจะปฎิบัติการอะไรที่จะทำให้กระทบกระเทือนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวฮั่นอีกด้วย
ในยุคชุนชิว-จ้านกั๋ว ซึ่งเป็นยุคที่มีหลายๆ นครรัฐรบกันอย่างดุร้าย เจ้าเมืองแต่ละคนก็พยายามจะขยายอิทธิพล ทำสงครามชนะรัฐอื่นแล้วก็พยายามตั้งตนเป็นผู้นำสูงสุดในแผ่นดิน พวกเจ้าเมืองเริ่มสั่งสร้างกำแพงระหว่างรัฐ เพื่อป้องกันการบุกเข้ามาของทหารจากเมืองอื่น ขณะเดียวกันทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในภาคเหนือ ก็ทำให้พวกชนเผ่าเร่ร่อนขยายพื้นที่การใช้ชีวิตลงมาที่ลุ่มแม่น้ำหวงเช่นกัน
ชนเผ่าเหล่านี้เป็นนักรบที่เก่งมากนั่นก็เพราะการต่อสุ้แย่งชิงทรัพยากรในทุ่งหญ้านั้นเป็นเรื่องปกติ เหมือนต้องทำสงครามอยู่ตลอดเวลาเพื่อความอยู่รอด ชนเผ่าเร่ร่อนจึงแทบจะเป็นนักรบหมดทุกคน พวกชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวฮั่นที่ทำนาเลี้ยงสัตว์อยู่กับที่ภายใต้การปกครองในระบบเจ้าเมืองตลอดมา ไปสู้กับชนเผ่าเร่ร่อนก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว พวกเมืองที่ดินแดนติดกับพื้นที่ชนเผ่าเร่ร่อนในทางด้านเหนือ เช่น เมืองฉิน เมืองจ้าว และเมืองเยี่ยน จึงต้องหาตัวช่วย โดยแต่ละเมืองก็เริ่มสร้างกำแพงบนชายแดน เพื่อป้องกันความปลอดภัยแถวพรมแดน ไม่ให้ชนเผ่าเร่ร่อนมาเข้ามารุกราน นี่ก็คือที่มาของกำแพงเมืองจีนเวอร์ชั่น 0.5
221 ปีก่อนคริสตกาล เจ้าเมืองฉินชนะหกเมืองอื่น ตั้งจักรวรรดิฉินขึ้นมา และตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้คนแรกในประวัติศาสตร์จีน ซึ่งก็คือจิ๋นซีฮ่องเต้นี่ล่ะค่ะ ราชวงศ์ฉินเป็นยุคแรกในประวัติศาสตร์จีน ที่สามารถรวมอำนาจการปกครองแผ่นดินชิ้นใหญ่ในมือของฮ่องเต้คนเดียว
ขณะเดียวกัน พวกชนเผ่าเร่ร่อนในทางด้านเหนือ ก็รวมตัวกันตั้งจักรวรรดิชื่อ ซฺยงหนู การเติบโตของซุยงหนูทำให้จิ๋นซีฮ่องเต้เครียดมากกว่าเดิม เพราะประเมินดูคิดว่าซฺยงหนูน่าจะล้มจักรวรรดิฉินได้ จึงทำสงครามกับซฺยงหนู ไล่พวกชนเผ่าเร่ร่อนไปไกลๆ แล้วก็สั่งให้คนเอากำแพงที่เมืองจ้าวและเมืองเยี่ยนที่สร้างขึ้นมาในยุคจ้านกั๋ว มาเชื่อมกับกำแพงของรัฐฉิน เป็นการก่อสร้างทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เรียกว่า กำแพงยาวหมึ่นลี้หรือ ว่านหลี่ฉางเฉิง ซึ่งก็คือกำแพงเมืองจีนเวอร์ชั่น 1.0 นั่นเอง
1
ต่อมาหลังราชวงศ์ฉินล่มสลาย จักรพรรดิ์ฮั่นโกโจวฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นนำทหารเข้าสู้รบกับซฺยงหนู แล้วก็พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ แต่จักรวรรดิฮั่นก็ไม่สามารถเกณฑ์แรงงานราษฎรไปสร้างกำแพงได้อีกแล้ว จึงต้องคิดหาวิธีอื่นในการป้องกันการรุกรานของซฺยงหนู จักรพรรดิ์ฮั่นโกโจวจึงแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางการทูตซึ่งเป็นวิธีที่คลาสสิคมาก ๆ นั่นก็คือ เมื่อเอาชนะไม่ได้ก็แต่งงานด้วยซะเลย
2
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ราชวงศ์ฮั่นใช้วิธีส่งเจ้าหญิงและสาวงามไปแต่งงานกับคนในราชวงศ์ของซฺยงหนู พร้อมทั้งส่งของขวัญต่างๆ เช่น เหล้า ข้าว และผ้าไหมไปประกอบแพคเกจด้วย นี่คือนโยบายที่เรียกว่า เหอชิน ซึ่งถ้าแปลตรงๆ คือการสร้างความเป็นญาติ แต่จริงๆ ก็คือจิ้มก้องให้ซฺยงหนู เพียงแต่แค่ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะตามกฏระเบียบหัวหยี ที่เป็นมาแต่โบราณ ซฺยงหนูต้องมาจิ้มก้องให้จักรวรรดิฮั่นไม่ใช่กษัตริย์ฮั่นไปจิ้มก้องให้ซฺยงหนู ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ในช่วงต้นของสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้ใช้ผู้หญิงและของขวัญในการแลกกับสันติภาพกับซฺยงหนู
แต่สิ่งที่พวกผู้ปกครองชาวฮั่นยังควบคุมไม่ได้ก็คือ สังคมชนเผ่าเร่ร่อนไม่ได้เหมือนสังคมชาวฮั่น ที่มีกฎระเบียบควบคุมคนอย่างมีระบบได้ บนทุ่งหญ้าแต่ละชนเผ่าก็อยู่กันห่างไกล ผู้นำซฺยงหนูไม่สามารถบังคับบัญชาได้อย่างทั่วถึงขนาดนั้น จึงมีชนเผ่าอื่น ๆ ที่อยู่ตามชายขอบไม่ได้ขึ้นกับใครจริง ๆ ยังคงเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวฮั่นอยู่เป็นระยะ ๆ
จนถึงสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ ซึ่งไม่ยอมทนสภาพแบบนี้อีกต่อไป มีการส่งทหารไปทำสงครามกับซฺยงหนู และก็พยายามส่งทูตไปยังอาณาจักรทางตะวันตก เพื่อหาพันธมิตรช่วยสู้กับซฺยงหนู และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากก็คือมีการเริ่มบูรณะและสร้างกำแพงเมืองจีนส่วนต่อขยาย ทำให้เกิดกำแพงเมืองจีนเวอร์ชั่น 2.0 ที่สร้างในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีความยาวเกินหนึ่งหมื่นกิโลเมตร เป็นเซกชั่นของกำแพงที่ยาวที่สุดในทั้งสามเวอร์ชั่น
จักรวรรดิฮั่นสามารถเอาชนะซฺยงหนูได้ในสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ แต่ความล่มสลายของจักรวรรดิซฺยงหนู ไม่ได้หมายความว่าชนเผ่าเร่ร่อนก็จะหายไปไหน แล้วจริงๆ การต่อสู้กับซฺยงหนูอย่างยาวนาน ก็ไม่ได้ทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนถอยห่างออกจากจักรวรรดิฮั่นแต่งอย่างใด แต่กลับทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนและวัฒนธรรมของพวกเขาเข้ามาที่จงหยวนมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะว่าเพื่อการสู้กับซฺยงหนู ทหารของชาวฮั่นก็ต้องเรียนรู้วิธีการรบสู้ของชนเผ่าเร่ร่อน เพื่อเป็นการรู้เขารู้เรา และเพื่อให้มีกองกำลังปกป้องพรมแดนบางส่วน จักรวรรดิฮั่นก็ได้สร้างพันธมิตรกับชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีนไปพร้อมๆ กันด้วย
2
ในปี ค.ศ. 1368 ชาวฮั่นชื่อ จูหยวนจาง นำกำลังทหารเข้าสู้รบและชนะสงคราม ไล่ชาวมองโกลออกจากจีนแล้วตั้งราชวงศ์หมิงขึ้นมา แม้ว่าเป็นจักรวรรดิของชาวฮั่น ราชวงศ์หมิงก็พยายามปฏิบัติตามระบบการปกครองของชาวมองโกล และสร้างกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ตอนช่วงต้นของราชวงศ์หมิง ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องสร้างกำแพงเมืองจีน เพราะชนะสงครามกับชาวมองโกลได้แล้ว
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
สมัยราชวงศ์หมิงก็เป็นยุคที่ดำเนินระบบจิ้มก้องอย่างเต็มที่ เมืองไหนที่ยอมจิ้มก้องให้จักรวรรดิหมิง ก็จะได้ของขวัญหรูหรา ที่มีมูลค่าเกินกว่าของที่นำมาหลายเท่า จึงทำให้ใครๆ ก็อยากค้าขายกับจักรวรรดิหมิงผ่านระบบจิ้มก้อง รวมถึงพวกชนเผ่ามองโกล แต่ระบบการค้าขายแบบนี้ ก็ให้จักรวรรดิหมิงประสบปัญหาทางเศษรฐกิจอย่างหนัก
ในศตวรรษที่ 16 ผู้นำชาวมองโกลขอเปิดการค้าขายแบบจิ้มก้องอีก แล้วถูกราชวงศ์หมิงปฏิเสธ เขาก็เลยนำทหารเข้าบุกเมืองหลวงจักรวรรดิหมิง บังคับให้เปิดการค้าขายที่ชายแดน หลังจากนั้น จักรวรรดิหมิงจึงเริ่มสร้างกำแพงเมืองจีนอีก กำแพงเมืองจีนเวอร์ชั่น 3.0 จึงเริ่มขึ้น ใช้เวลาก่อสร้างเกือบแปดปี ใช้แรงงาน และเสียเงินอย่างมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถหยุดการบุกของชาวมองโกลได้
สุดท้ายจักรวรรดิหมิงต้องยอมให้เปิดการค้าขายกับมองโกลอีก การสร้างกำแพงและการค้าขายแบบจิ้มก้องที่แพงมาก ทำให้ความเจริญของจักรวรรดิลดลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถูกชาวแมนจูซึ่งเป็นอีกชนเผ่าหนึ่งจากทางตะวันออกเฉียงเหนือเข้าโจมตีและถูกล้มล้างไปในที่สุดและชาวแมนจูก็ก่อตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นมาปกครองจีนต่อไปในปี 1644
ตั้งแต่ช่วงปลายของสมัยราชวงศ์ชิง จีนเริ่มเข้าสู่ยุคสร้างความเป็นชาติในคำนิยามปัจจุบัน จึงเกิดวาทกรรมที่บอกว่า ไม่ว่าจะเป็นชาวฮั่น ชาวแมนจู ชาวมองโกลหรือชาวอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนล้วนเป็นคนจีน ประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองจีน ที่บันทึกและสะท้อนความแบ่งแยกระหว่างกลุ่มคนต่างๆ จึงหายไปจากความทรงจำของคนจีนในปัจจุบัน ตอนนี้ถ้าพูดถึงกำแพงเมืองจีน ก็จะถูกพูดถึงในฐานะเป็นมรดกสำคัญและเป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ของชาวจีนเท่านั้น
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
กำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นเพราะอะไร?
โฆษณา