19 เม.ย. 2020 เวลา 03:56 • ข่าว
FOCUS : ประเด็นน่าสนใจภาคเช้า
1. FED เตรียมเปิดเผยข้อมูลการกู้ยืมของบริษัทต่าง ๆ
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า FED เตรียมเปิดเผยข้อมูลของวงเงินสินเชื่อที่ออกให้กับบริษัทต่าง ๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. รายชื่อของบริษัทที่ขอกู้
2. ปริมาณของสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ปล่อยกู้
3. มูลค่าสุทธิ
4. อัตราค่าธรรมเนียม และรายอื่นปลีกย่อยอื่น ๆ
นอกจากนี้ สภาคองเกรสยังได้จัดสรรงบประมาณ 454,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ของ FED ที่อาจขยายตัวได้อีกถึง 10 เท่า จากวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
Comment : ถ้าเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าจริง มันจะกลายเป็น 22 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า GDP ของสหรัฐฯ ที่ 21.73 ล้านล้านดอลลาร์เสียอีก
"FED กำลังหาวิธีการที่จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างโปร่งใส เรารู้ว่าความโปร่งใสคือกุญแจสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นในความพยายามของเราให้กับภาคเอกชน" กลุ่มผู้บริหารธนาคารกลางประจำ New York กล่าว
ข้อสังเกต : ทำไม FED ถึงต้องพูดเรื่องความโปร่งใสตอนนี้ หรือเป็นเพราะว่าตอนนี้บริษัทเอกชนได้สูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐบาลไปแล้ว ? ความเห็นนี้สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ทั้ง Consumer confidence index (CCI) และ Consumer Sentiment Index (CSI)
2. กลุ่มธนาคารของสหรัฐฯ หลายแห่งเรียกร้องให้ FED ลดวงเงินปล่อยกู้สำหรับภาคธุรกิจหลัก
ตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ กลุ่มธนาคารที่อยู่ในรัฐวอชิงตันได้ส่งจดหมาย Feedback ไปหา FED เกี่ยวกับรายละเอียดของมาตรการที่จะช่วยเหลือภาคธุรกิจหลัก โดยขอให้ "ลดขนาดของวงเงินสินเชื่อลง"
มาตรการดังกล่าวได้ประกาศออกมาในวันที่ 9 เมษายน 2020 โดยในตอนแรก FED ระบุว่าจะปล่อยเงินกู้ยืมในระดับที่เหมาะสมให้กับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง นอกจากนั้น FED จะทำการซื้อสินเชื่อกว่า 95% ผ่านทางนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV)
กลุ่มธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงธนาคารชุมชนแห่งอเมริกา (ICBA), สมาคมนักธนาคารเพื่อผู้บริโภค (CBA) และสมาคมนักธนาคารอเมริกา (ABA) ได้กล่าวกับ FED ว่า "เงินกู้ขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์นั้นสูงเกินไปสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง ซึ่งต้องการกู้ในวงเงินที่ต่ำกว่านั้น"
ICBA กล่าวว่า "เงินกู้ขั้นต่ำควรจะไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์ ไม่อย่างนั้นภาคธุรกิจหลักและธนาคารเอกชนจะไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องนี้" ส่วนทางฝั่งของ ABA นั้นกล่าวว่าเงินกู้ขั้นต่ำควรจะเป็น 50,000 ดอลลาร์เสียด้วยซ้ำ
Comment : World Maker เห็นด้วยกับตรงนี้มากครับ นี่ FED พยายามจะยัดหนี้ให้อย่างเดียวเลยหรือไง
FED กล่าวว่าธนาคารต้องกำหนดราคาของสินเชื่อโดยใช้อัตราดอกเบี้ยแบบ SOFR* ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่จะนำมาใช้แทนอัตราดอกเบี้ยแบบ LIBOR** ในปีหน้า ขณะที่ฝั่งผู้กู้บางส่วนต้องการใช้มาตรฐาน LIBOR เช่นเดิม
*SOFR หรือ Secured Overnight Financing Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินแบบข้ามคืน ที่ใช้กำหนดราคาซื้อขาย รวมถึงการปล่อยกู้เงินดอลลาร์ โดยอัตราดังกล่าวจะคำนวณจากมูลค่าการซื้อขายในตลาดซื้อคืนพันธบัตรสหรัฐฯ (Treasury Repurchase Market หรือ Repo Market)
**LIBOR หรือ London InterBank Offered Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เป็นมาตรฐานกลางของธนาคารทั่วโลก ซึ่งจะคำนวณจากค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ย ที่ธนาคารส่วนใหญ่ใช้ในการกู้ยืมกันเอง โดยปกติจะขึ้นอยู่กับเงินสกุลหลัก 5 สกุลได้แก่ USD, GBP, EUR, JPY และ CHF
แล้วมันมีความหมายยังไง ?
แน่นอนว่าการใช้ SOFR จะทำให้อำนาจของเงินดอลลาร์เพิ่มมากขึ้นในระบบการเงินทั่วโลก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้จะขึ้นกับตลาดซื้อคืนพันธบัตรสหรัฐฯ อีกทีหนึ่ง (พูดง่าย ๆ คือได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง)
กลไกการทำงานของตลาดซื้อคืนพันธบัตรก็คือ "รัฐบาลจะเป็นผู้ขายหลักทรัพย์ให้แก่นักลงทุนเป็นระยะเวลา 1 วัน(โดยปกติ) และจะซื้อคืนในวันถัดไปด้วยราคาที่สูงขึ้นนิดหน่อย"
World Maker ขออธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นดังนี้ครับ
1. FED กู้เงินมาจาก A (กลุ่มผู้ซื้อในตลาด Repo) ด้วยอัตราดอกเบี้ย X
2. ขณะเดียวกัน FED ปล่อยกู้ให้ B (กลุ่มธุรกิจหลัก) ด้วยอัตราดอกเบี้ย Y (โดยที่ Y มีค่ามากกว่า X)
3. หากตลาด Repo มีธุรกรรม Buy มากกว่า Sell ก็จะทำให้ค่า Y สูงขึ้น และส่งผลให้ค่า X สูงขึ้นตามไปด้วย
4. หากตลาด Repo มีธุรกรรม Buy น้อยกว่า Sell ก็จะทำให้ค่า Y ต่ำลง และส่งผลให้ค่า X ต่ำลงตามไปด้วย
ดังนั้นแล้ว การใช้อัตราดอกเบี้ยแบบ SOFR จะทำให้อัตราดอกเบี้ยของเงินดอลลาร์ ไม่ขึ้นอยู่กับสกุลเงินอื่น (แต่เงินสกุลอื่นยังต้องขึ้นอยู่กับดอลลาร์)
และแน่นอนเมื่อทำเช่นนี้ FED จะสามารถควบคุมกระแสเงินไหลเข้า-ออกได้ง่ายมาก เนื่องจาก FED มีทั้งอำนาจในการพิมพ์เงิน และอำนาจในการเข้าแทรกแซงตลาด
3. Moody's อาจลด Rating ของ U.S. CLO Bonds มูลค่ารวม 22,000 ล้านดอลลาร์
Moody's Investors Service บริษัทจัดอันดับการลงทุนระดับโลกกล่าวว่าพวกเขาอาจจะลด Rating ของ U.S. CLO Bonds* มูลค่ารวม 22,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นถึง 20% ของพันธบัตรในเกรดเดียวกันทั้งหมด
* CLO Bonds หรือ Collateralized Loan Obligations Bonds คือสินเชื่อทางการเงินชนิดหนึ่ง ที่มี "หนี้" เป็นหลักค้ำประกัน
คาดการณ์ต่อ CLO Bonds ของ Moody's นั้นลดลงอย่างมาก เนื่องจากการระบาดของ Coronavirus ทำให้บริษัทเหล่านี้ขาดรายได้มากขึ้นไปอีก ซึ่งเดิมทีก็มีโอกาสเบี้ยวหนี้สูงอยู่แล้ว นั่นทำให้คุณภาพของสินเชื่อดังกล่าวลดลงกว่า 40%
เกร็ดความรู้ : CLO Bonds ส่วนใหญ่จะเป็นของบริษัทที่มี Rating ต่ำ และไม่ได้อยู่ใน Investment Grade
CLO Bonds คือแหล่งรวมหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดสินเชื่อ ซึ่งมีมูลค่าอ้างอิงประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นการที่ CLO Bonds ถูกลดมูลค่าลง ก็จะทำให้มูลค่าของตลาดสินเชื่อลดลงเช่นกัน สังเกตได้จากรูปด้านล่างนี้ครับ
ดังนั้นหาก Moody's ปรับลด Rating ลงจริง ๆ แล้วล่ะก็ ผู้ที่ถือครองพันธบัตรเหล่านี้อยู่จะขาดทุนอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา