23 เม.ย. 2020 เวลา 05:24 • ไลฟ์สไตล์
9 บทเรียนที่ได้จากชีวิตการทำงาน😍 ในฐานะ #FirstJobber ขอแบ่งปันให้กับ #น้องๆที่กำลังเข้าสู่โลกของการทำงาน เเละเพื่อนๆทุกคนค่ะ😇
…..
1
“จงอ่อนน้อมถ่อมตน”
จริงๆทุกคนรู้เเหละว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องที่ดี ที่สมควรทำ เเต่ในทางปฏิบัติมีน้อยคนมากที่จะทำได้จริง เเละที่ยกมาเป็นข้อเเรกเพราะเห็นว่า เป็นรากฐานที่สำคัญที่เราควรฝึกตนให้เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งกริยา วาจา เเละจิตใจให้ได้อย่างแท้จริง
เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนจะเป็นใบเบิกทางของ “โอกาส” ในการทำงาน และจะช่วยเป็น “เกราะป้องกันภัย” ให้เราในโลกการทำงานได้จริงๆนะ (เหมือนจะไปออกรบ555)
2
“อย่าดูถูกงานเล็ก”
เป็นธรรมดาของเด็กจบใหม่ทุกคนที่ไฟแรง อยากทำงานใหญ่ อยากลองงานยาก งานที่เเหมมม ขอให้เหมาะกับที่จบปริญญาตรีมาหน่อยเถอะ!! (พี่ผ่านจุดนี้มาแล้วจ่ะน้องจ๋า)
จะบอกว่าเราไม่ควรดูถูกงานเล็กนะ ทุกงานคือฟันเฟือง เเละเป็นส่วนประกอบของงานชิ้นใหญ่ ชิ้นสำคัญทั้งหมด และที่สำคัญเเม้งานนั้นจะเล็กน้อยเเค่ไหน เเต่ถ้าเป็นงานของเรา งานที่เราได้รับมอบหมาย เราก็ควรตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ด้วยความรับผิดชอบ เพราะถ้าเเค่งานเล็กเรายังทำได้ไม่ดี หัวหน้าเองก็คงไม่กล้าไว้ใจมอบหมายงานใหญ่ให้เราหรอก จริงไหม
3
“ทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว”
ง่ายๆคืออย่าหลงตัวเอง อย่าคิดว่าเราจบปริญญาตรีเเล้ว เรารู้ทุกอย่าง เเม้จะเป็นงานที่เราเคยทำมาสมัยฝึกงานก็เถอะ (เชื่อพี่สิ พี่เกียรตินิยมเชียวนะ55)
เพราะโลกการทำงานกับโลกการศึกษามันเเตกต่างกันคนละโลกเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราเก่งเเล้ว เรารู้หมดแล้ว เราก็จะไม่คิดที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เมื่อเพื่อนหรือพี่ที่ทำงานสอนอะไร เเม้บางอย่างที่เรารู้เเล้วเราก็ลองเปิดใจเรียนรู้เพิ่มเติมใหม่ลงไปบ้าง จริงๆมันไม่ได้เสียหายอะไรที่จะเปิดใจรับฟัง เพราะถ้าเป็นเรื่องใหม่ที่เราไม่รู้ ก็โชคดีได้รู้เพิ่ม เเต่ถ้าเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่เเล้วก็ถือว่าได้ทบทวน และได้ฟังสิ่งนั้นในมุมมองของคนอื่นๆดู
“ไม่เสียหายอะไร เเถมยังทำให้พี่ๆเเละเพื่อนร่วมงานเอ็นดูเราด้วยนะ”
4
“ฟัง > พูด”
สังเกตไหม คนเรามีหู 2 ข้าง แต่มีปากเพียง 1 ปาก นั่นก็เพราะว่าการฟังสำคัญมากกว่าการพูดไง เพราะเมื่อเราพูดเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่เลย เเต่ถ้าเราฟังให้มาก นั่นเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เรียนรู้จากคนรอบตัวเรามากขึ้น ฟังความคิดเห็นคนรอบข้าง ฟังความต้องการของลูกค้า/กลุ่มเป้าหมายว่าเค้าต้องการอะไรกันเเน่ ฟังแง่คิด และประสบการณ์ดีดีจากพี่ๆที่ทำงาน
เพราะคำพูดของพี่ๆบางคน อาจเป็นคำตอบของคำถามบางคำถามที่ค้างคาในใจเราก็ได้นะ มันอาจจะช่วยปลดล็อคบางอย่างในใจเรา ทำให้เราได้ใช้ศักยภาพเราเองได้มากขึ้นก็ได้ (ไม่เชื่อลองดู)
5
“ปากเป็นเอก เลขเป็นโท โบราณว่า”
ตามคำโบราณที่ว่าไว้เลย คำพูด วาจา นั้นสำคัญกว่า การใช้สมองคิดวิเคราะห์อีกนะ เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ไง มนุษย์มีหัวใจ มีอารมณ์ เเม้จะบอกว่ามีเหตุผล เเต่มนุษย์เองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบหาเหตุผลให้กับความไม่มีเหตุผลของตัวเองเสมอ
คำพูดบางคำเเม้จะถูกต้อง เเต่หากไม่รู้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสม เเม้จะถูกต้อง เเต่ถ้าคนฟังปิดใจ มีอคติ จะถูกต้องหรือเป็นประโยชน์อย่างไรก็เท่านั้น
มี 2 คำที่อยากให้น้องๆพูดง่าย เเละพูดอยู่เสมอ กับทุกคนที่เราได้พบเจอคือ “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ”
6
“ศาสตร์เเห่งการ ช่างแ-่ง!!”
เป็นชื่อหนังสือแปล ในสาย Self Development อีกเล่มที่ชื่อตรงดี 555 เเต่ก็อยากบอกว่าเราต้องเรียนรู้ศาสตร์นี้จริงๆนะ เพราะไม่มีใครที่จะสามารถกระทำได้ถูกต้องตามที่ใจเราชอบหมดหรอก บางอย่างเรารู้ว่า เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้หรอ! เราไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย เเต่อยากให้ลองมานั่งคิดกันก่อนพูดอะไรออกไปว่า พูดแล้วจะเกิดประโยชน์มากกว่าจริงๆหรือเปล่า พูดแล้วจะทำให้เกิดความขุ่นมัว ความขัดเเย้งหรือเปล่า บางอย่างปล่อยไปบ้างก็ได้ ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมที่ส่งผลต่อตัวเรา เป้าหมายของเรา องค์กรของเรา ก็ช่างเขาเถอะ คิดเยอะ เปลืองพลังงาน เก็บพลังไว้แก้ไขปัญหาในงานเราดีกว่า
ข้อควรระวัง!! อย่าเอาไม้บรรทัดตัวเองไปวัดคนอื่นนะ!!
7
“EGO = E โง่”
ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพค่ะ เเต่ก็ตามนั้นเลยนะ บางครั้งก็สมควรวาง EGO เราลงบ้าง เพราะหลายครั้งที่ EGO เข้ามาบดบัง ความเป็นจริงบางอย่าง ที่ทำให้เราก้าวพลาดได้ หลายครั้งเราเลยได้ทำอะไรที่ไม่ฉลาดซักเท่าไหร่ เพราะว่า EGO ของเราเอง เพราะฉันเป็นฉัน/ผม เกิดมาไม่เคยมีใครกล้า บลาๆๆ ใส่ฉัน/ผมเลยนะ และก็บลาๆๆๆ
ไม่ยกตัวอย่างละ เเต่เชื่อเถอะขนาด หนังสือขายดีระดับโลก อย่าง Principles ของ Ray Dalio เอง ยังบอกเลยว่า EGO เป็นสิ่งที่คนอยากสำเร็จไม่ควรพึงมี (หนึ่งในหนังสือแห่งปีที่นักคิด นักธุรกิจไทยแนะนำให้อ่าน เช่น ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ และคุณรวิศ หาญอุตสาหะ เจ้าของเครื่องสำอางค์ไทยเเบรนด์ศรีจันทร์)
8
“กล้าที่จะออกจาก Comfort Zone”
เมื่อเราทบทวนตัวเองอย่างถี่ถ้วนเเล้ว เราพบว่างาน ณ จุดที่เราอยู่ ไม่ได้ท้าทาย เเละไม่สามารถดึงศักยภาพของเราออกมาใช้ได้มากกว่านี้เเล้ว เราเองก็ต้องกล้าที่จะก้าวออกมาจาก Comfort Zone ออกไปหาอะไรใหม่ๆทำ อะไรที่ท้าทาย อะไรที่เป็น Passion ของเรา
เเต่เดี๋ยวก่อนๆๆๆ ออกจาก Comfort Zone ไม่ได้หมายความว่าให้ลาออกนะ ใจเย็นก่อนวัยรุ่นทั้งหลาย ยังมีอีกหลายวิธีในการออกจาก Comfort Zone เช่น ขอให้หัวหน้ามอบหมายงานใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น เสนอโครงการที่เราคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เป็นต้น
ที่สำคัญ ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองนะ ว่าตอนนี้เราอยู่ในภาวะ Comfort Zone จริงๆ ไม่ใช่เเค่ว่าตอนนี้เจออุปสรรค เจอปัญหาในงาน ในคนที่ทำงาน เเล้วตีโพยตีพายว่า อยากลาออก อยากออกจาก Comfort Zone เปลี่ยนงานไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจอปัญหานะที่เคยหนีมานะ เเก้ไขให้ได้ก่อนดีกว่า ลุยเต็มที่ เราอาจพบก็ได้ว่าไม่ใช่ว่าอยากออกจาก Comfort Zone หรอก จริงๆแค่เจอตอ(ปัญหา) ใหญ่ไปหน่อยเท่านั้นเอง
9
“เเค่หยุด = ถอยหลัง”
ทุกวันนี้โลกเราหมุนเร็วมาก ทั้งสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ เปลี่ยนไปเร็วมาก ตัวเราเองจึงต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ต้องเติมความรู้ให้กับตัวเองตลอด จะอ่านหนังสือ ดูยูทูบ หรือฟัง Podcast ทำได้หมด ต้องตั้งเป้าเลยว่าเราจะต้องเรียนรู้อะไรในเเต่ละเดือน เเต่ละปี เพราะเเค่เราหยุดเรียนรู้ ก็เท่ากับเราถอยหลังไปแล้ว
เดี๋ยวปักหมุด Podcast แนะนำให้ : Mission to the moon, Secret Souce, The Standard, Noppadol story, แปดบรรทัดครึ่ง เป็นต้น ฟังหมดนี่ก็ไม่ out แล้วจร้า
จบเเล้วเย้😂😂
…..

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา