25 เม.ย. 2020 เวลา 05:24 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 14
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
บางบอกดิก ตอนที่ 14
ภายในห้องขัง ข้าวกับอิ่มรอส่งตัวฟ้องศาล
อิ่มเอ่ยขึ้น
“ข้าขอโทษนะข้าว เอ็งต้องมาเดือดร้อนด้วยแบบนี้”
อิ่มบุญ
“ไม่หรอกว่ะอิ่ม แต่ข้าไม่เข้าใจ คนซื่อ ๆ อย่างเอ็งทำไมถึงเอาสินค้าที่แจ้งความว่าสูญหายกลับมาขายได้ เอ็งไม่ใช่คนที่ทำอะไรตุกติกแบบนั้นเลยนะ” ข้าวที่สีหน้าเศร้าและอิดโรยหันมาถาม
อิ่มนั่งก้มหน้านิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่รู้หรอก แต่...คนที่บอกให้ทำคือไอ้ก้อม”
“ไอ้ก้อม?” ข้าวอุทานอย่างตกใจ
“ใช่” อิ่มยืนยัน “มันเป็นคนบอกให้ข้าทำแบบนี้ มันบอกว่าสินค้าที่แจ้งหายให้รอเวลา แล้วเอาไปจำหน่ายที่บอกดิก จะได้ไม่มีใครรู้ แต่ระหว่างทางที่ขนของไปมาถูกด่านตรวจจับ แล้วตำรวจเขาพบพิรุธ ขออายัดสินค้าเพื่อตรวจสอบ เลยความแตก”
“ทำไมไอ้ก้อมทำแบบนี้” ข้าวสงสัยจนขมวดคิ้ว
“ก็มันนั่นล่ะเป็นคนออกเงินให้ข้าตั้งบริษัท ทุกอย่างเป็นชื่อของข้า แต่คนบริหารและอำนาจการตัดสินใจเป็นของไอ้ก้อม ส่วนข้ามีหน้าที่เซ็นชื่อในเอกสารเท่านั้น”
“งั้นก็หมายความว่าไอ้ก้อมใช้เอ็งเป็นหุ่นเชิดน่ะสิ”
อิ่มผงกศีรษะ ข้าวใช้ความคิดต่อ เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด เวลานี้คนที่มีอำนาจตัดสินใจของบริษัท นายแม่ป่วย คุณหนูฉัตรยังไม่พร้อมจะยืนด้วยตนเอง คุณหนูมายยิ่งไม่รู้เรื่องบริหารเลย ตอนนี้ตนเองก็มาติดคุก ก็จะเหลือแต่ก้อมเท่าน้นที่บริหารงานแทนทั้งหมด
“ตายละ...” ข้าวมีสีหน้าซีดเผือด
“คุณตำรวจ ให้ผมออกไปด้วยครับ ผมมีเหตุจำเป็นครับ” ข้าวตะโกนออกมาจากห้องขังหลายต่อหลายครั้ง
สักครู่มีตำรวจเวรเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องขังพร้อมกับตวาด
“หยุดตะโกนได้แล้ว หัดอยู่เงียบ ๆ สิ เอ็งเป็นนักโทษนะ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร จะมาออกไปหน้าตาเฉยเหมือนเช็คอินโรงแรมได้ไง”
“แต่ผมจำเป็นต้องออกไปนะครับ กรุณาผมเถอะ...” ข้าวยกมือไหว้ ก่อนจะจับที่ลูกกรง
ตำรวจเวรไม่สนใจ แต่ใช้ไม้กระบองฟาดไปที่ซี่ลูกกรง มันเฉียดนิ้วมือของข้าวที่จับอยู่ที่ลูกกรง แรงสะเทือนทำให้ข้าวต้องรีบชักมือกลับ พร้อม ๆ กับอิ่มมาดึงข้าวออกจากหลังลูกกรง
ตั้งแต่นั้น ข้าวได้แต่เดินไปมารอบห้องขังสลับกับเกาะซี่ลูกกรงชะเง้อมองเป็นระยะ กระทั่งเสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้น
“ไอ้ข้าวเป็นไงบ้างวะ?” เสียงของก้อมนั่นเอง
“ไอ้ก้อม เอ็งมาแล้วเหรอ ไอ้เพื่อนชั่ว” ข้าวตวาดใส่
“ทำไมเอ็งพูดแบบนั้นล่ะ” ก้อมงุนงง
อิ่มบุญเดินตามออกมาจากมุมมืดของห้อง พอก้อมเห็นอิ่มก็หน้าถอดสี
“ไอ้อิ่ม เอ็งก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
“ก็ข้าโดนคดีเดียวกับไอ้ข้าวนี่ เขาก็จับมาขังด้วยกันนี่ไง” อิ่มเอ่ยขึ้น “เอ็งคงไม่คาดคิดล่ะสิว่าจะเจอข้าที่นี่”
ก้อมไม่ตอบคล้ายกำลังใช้ความคิด แต่ข้าวชิงเป็นฝ่ายถาม
“เอ็งอยู่เบื้องหลังทั้งหมดใช่ไหม ทั้งเรื่องอิ่มบุญเทรดดิ้ง สินค้าสูญหาย เอากลับมาขายใหม่”
ข้าว
ข้าวใช้สายตาเขม็งจ้องก้อม ก้อมก็ใช้สายตาเขม็งจ้องตอบ ก่อนจะยิ้ม และหัวเราะลั่น
“ใช่ ข้าอยู่เบื้องหลังทุกอย่างเอง” ก้อมยอมรับ สีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ
“เอ็งทำแบบนี้ทำไม นายแม่ก็มีบุญคุณกับพวกเรา แล้วเอ็งก็ยังเป็นลูกเขยนายแม่อีกนะ”
“เอ็งรู้ไหม ตั้งแต่เป็นเด็กข้าเกลียดการโดนดูถูกมาก ไปไหนก็ถูกเยาะเย้ยไอ้ลูกไม่มีพ่อแม่ ไอ้เด็กวัด ข้าตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องมีทุกอย่าง ต้องร่ำรวย ต้องมีคนเคารพ นับหน้าถือตา”
“แต่ยังไงด้วยสถานะเอ็งตอนนี้ก็แทบจะมีทุกอย่างกว่าสมัยก่อนแล้วนะ” ข้าวย้อนถาม
“แล้วมันพอที่ไหน ในเมื่อทำงานมากแค่ไหนก็ต้องเป็นของคนอื่นอยู่ดี ไม่ใช่ของเรา”
“แต่ตอนนี้เอ็งก็เป็นลูกเขยนายแม่ ยังไงสมบัติครึ่งหนึ่งของนายแม่ก็น่าจะตกเป็นของคุณหนูมายไม่ใช่เหรอ เอ็งบริหารบริษัทยังไงก็เหมือนเป็นของเอ็ง”
“แต่อีกครึ่งก็ต้องเป็นของเอ็ง ถ้าเอ็งแต่งงานกับคุณหนูฉัตร” ก้อมย้อนถาม
“มันสำคัญมากเหรอ?”
“สำคัญสิ วิธีนี้จะทำให้นายแม่ไว้ใจข้าคนเดียว” ก้อมพูดขึ้น
“จะบอกอะไรให้นะ ที่คุณหนูมายยอมแต่งงานกับข้า ไม่ใช่แค่เพราะท้องอย่างเดียวหรอกนะ เพราะข้าวางยาสลบแล้วพอมีอะไรด้วย ข้าก็ถ่ายรูปไว้แบล็คเมล์ เธอถึงต้องยอมทำตามไง”
ข้าวโมโหจนยื่นมือออกไปจากซี่ลูกกรงเพื่อจะกระชากคอของก้อม แต่ก้อมชักเท้าถอยมาข้างหลังไกลเกินมือข้าวจะเอื้อมถึงเพียงนิดเดียว
“ตอนนี้เอ็งก็โดนเขี่ยพ้นทางไปแล้ว เหลือแค่ทำให้นายแม่เลิกไว้ใจคุณหนูฉัตรอีกคน เท่านี้สมบัติทั้งหมดจะตกเป็นของมาย ซึ่งก็ไม่ต่างจากเป็นของข้า”
ก้อมยิ้มอย่างผู้ชนะ
“เอ็งทำกับข้าและอิ่ม พวกเราเป็นเพื่อนเอ็งนะ เราโตมาด้วยกัน ลำบากมาด้วยกัน กินข้าวก้นบาตรด้วยกัน”
“เพื่อนที่ดีต้องส่งเสริมเพื่อนไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เอ็งสองคนก็ได้ทำหน้าที่นั้นแล้วไง” ก้อมยิ้มไปพูดไปเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“เอ็งทำแบบนี้สักวันจะไม่มีเพื่อนเหลือนะ”
ก้อม
“เพื่อน?....ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไรนี่...ในเมื่อข้ากำลังจะมีทุกอย่าง มีครอบครัว มีลูก เท่านี้ก็พอแล้ว ใครจะไปคิดว่าเด็กวัดไม่รู้พ่อแม่เป็นใครคนหนึ่ง วันนี้จะมีครอบครัวของตนเอง ข้าจะสร้างอาณาจักรของก้อมขึ้นมาในอนาคต ทุกคนจะต้องก้มหัวให้ข้า”
ก้อมประกาศเสร็จก็เดินจากไป
ทั้งข้าวและอิ่มต่างก็เสียใจและผิดหวังที่เพื่อนรักตั้งแต่เด็ก จะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ ความสัมพันธ์ร่วมยี่สิบปีไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับก้อม คนบางคนรู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ หรืออันที่จริง ทั้งข้าวและอิ่มต่างก็รู้นิสัยที่เห็นแก่ตัวของก้อม คิดถึงแต่ตัวเองเป็นอย่างดี แต่ด้วยความเป็นเพื่อนทำให้ข้าวและอิ่มเลือกจะมองข้ามสิ่งนี้ไป ผลสุดท้ายมันจึงย้อนมาเล่นงานเขาทั้งสองเพียงเพราะความไว้ใจเพื่อน
และก้อมก็ไปรายงานกับนายแม่ว่าข้าวคือคนที่อยู่เบื้องหลังอิ่มบุญเทรดดิ้งโดยใช้ให้อิ่มบุญเป็นหุ่นเชิด พอก้อมไปยุให้ฉัตรพยายามหาทางช่วยข้าว จนฉัตรต้องผิดใจกับนายแม่
“แม่ไม่คิดเลยว่าฉัตรจะเชื่อใจคนนอกแบบนี้”
“แม่คะ..พี่ข้าวไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ ๆ ค่ะ ฉัตรมั่นใจ”
“ไม่ได้ทำอะไร หลักฐานก็ชัดเจน ข้าวเป็นคนอนุมัติทั้งหมด และไอ้บริษัทนั้นที่ทุจริตก็เป็นเพื่อนของข้าว”
นายแม่
นายแม่โกรธมากจนตัวสั่น “เสียแรงที่แม่ไว้วางใจ ให้ดูแลเพราะคิดว่าข้าวจะเป็นคนดี แต่กลับมาเนรคุณทีหลัง น่าผิดหวังมาก”
“แม่เชื่อเหรอว่าคนซื่อ ๆ แบบพี่ข้าวจะแผนลึกซึ้งแบบนั้นได้”
“ฉัตร แม่ว่าลูกนั่นล่ะมองคนผิดไป อย่าให้ความรักมันบังตาสิลูก” นายแม่ดุฉัตร
“ฉัตรจะต้องหาทางช่วยพี่ข้าวออกมาค่ะ คนดี ๆ จะมาติดคุกได้อย่างไร”
ฉัตร
ฉัตรไม่พูดอะไรอีกเดินออกจากห้อง นายแม่ทั้งโกรธทั้งเสียใจจนอาการป่วยทรุดหนักกว่าเดิม และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ก้อมเข้าบริหารกิจการทุกอย่างของนายแม่ เขาจัดแจงโอนถ่ายเปลี่ยนทรัพย์สินทั้งหมดเป็นชื่อของตนเอง รวมไปถึงพินัยกรรมแบ่งสมบัติ ทุกอย่างตกเป็นของมาย ในขณะที่ฉัตรไม่ได้อะไรเลย เพราะฉัตรเลือกที่จะช่วยข้าวมากกว่าจะทำตามที่นายแม่สั่ง และแรงเป่าหูของก้อมที่ทำให้นายแม่หลงเชื่อ
ผู้ใหญ่ข้าวคิดถึงตอนนี้ ความรู้สึกผิดที่เคยฝังลึกอยู่ในใจก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง หลายต่อหลายครั้งที่เขาเฝ้าถามตัวเองว่า ฉัตรไม่เหลืออะไรเลย และต้องมาเป็นได้แค่ภรรยาของไอ้หนุ่มชาวนาคนหนึ่ง มันคุ้มกันไหม และก้อม เพื่อนรักของเขาที่เนรคุณต่อนายแม่ ยึดสมบัติทุกอยย่างไปเป็นของตัวเองทั้งหมดจนสร้างอาณาจักรพ่อเลี้ยงก้อมขึ้นมาอย่างทุกวันนี้ มันสวมควรแล้วหรือ
ผู้ใหญ่ข้าวมองไปในลำคลองเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดเขาคือสาเหตุใช่หรือไม่
มหาอิ่มบุญคล้ายเข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่ข้าว ตั้งแต่เขาต้องคดีจนต้องติดคุก น้องหมวยที่กำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ ก็ลำบากมาก ไปไหนก็ถูกตราหน้าว่ามีสามีขี้โกง เตี่ยตือมารับอาหมวยกลับไปบ้าน และให้เลิกติดต่อกับตนเอง แต่อาหมวยไม่ยอม และทนลำบากจนคลอดเหงี่ยมศรีออกมา เฮียหมูพี่ชายอาหมวยถึงกับลั่นวาจาถ้าไอ้อิ่มมาเหยียบที่ร้านท่ารถเขาจะเอาปังตอจามแสกหน้าของไอ้อิ่ม
มหาอิ่มบุญ
มหาอิ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุของเรื่องราว เพราะความเชื่อใจ ความซื่อจนโง่ จึงถูกเพื่อนชั่ว ๆ อย่างก้อมหลอกใช้ และทำให้เพื่อนดี ๆ อย่างข้าวเดือดร้อน ภรรยาแสนรักอย่างอาหมวยและลูกเหงี่ยมต้องมาลำบากเพราะตน
ดังนั้นสำหรับมหาอิ่มบุญ ผู้ใหญ่ข้าวจึงเป็นเสมือนความรู้สึกผิด และความรับผิดชอบของตนเอง ถ้าวันหนึ่งจะต้องสละชีวิต มหาอิ่มบุญก็ยินดีจะเสียสละเพื่อเพื่อนรักที่ชื่อ “ข้าว”
ผู้ใหญ่ข้าว
ชายทั้งสองคนที่มีบาดแผลจากเพื่อนรักนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่ศาลาริมน้ำแห่งนั้น โดยไม่ได้พูดอะไรอีก บางครั้งก็อยู่เงียบ ๆ ก็เป็นการปลอบใจกันและกันมากกว่าจะมีคำพูดที่ถ่างให้แผลเป็นนั้นต้องเป็นแผลขึ้นมาอีกครั้ง
....
รถเบนซ์ของเสี่ยอู๋ขับผ่านลงมาจากยอดดอยของไร่สอน ดอยกาแฟ
กระทั่งเมื่อถึงตีนดอยขณะที่คนขับรถกำลังชะลอรถนั้นเอง ก็มีรถสองคันแล่นมาจอดดักขวางด้านหน้า กับด้านหลัง
แบมแบมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสี่ยอู๋เหลียวมองด้านหน้าและหลังด้วยความตกใจ ส่วนเสี่ยอู๋ก็ไม่ต่าง แต่ด้วยความที่กลัวว่าลูกสาวจะตื่นตระหนกไปยิ่งกว่านี้ เสี่ยอู๋เลยพยายามปลุกปลอบใจตัวเองไว้
กานต์ บัญชี
กานต์ บัญชี ลงมาจากรถคันหน้าพร้อมกับอ๊อด พากิน ทั้งสองเดินตรงมาที่รถ ส่วนรถที่จอดดักด้านหลังมีชายฉกรรจ์อีกสองคนเดินลงมาจากรถ
กานต์เดินมาหยุดยืนด้านข้างก่อนจะโค้งให้เสี่ยอู๋และเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับ เสี่ยอู๋”
“คุณกานต์” เสี่ยอู๋ทวนชื่อ “คุณทำแบบนี้ทำให้ลูกสาวผมตกใจนะ” เสี่ยอู๋ตอบโดยไม่ลงจากรถ
เสี่ยอู๋
“ต้องขออภัยด้วยครับ ผมแค่อยากจะมาดักรอเสี่ยอู๋ เรามีเรื่องจะต้องคุยกันครับ”
“ถ้าเรื่องที่ให้ผมไปร่วมทำธุรกิจของคุณ ผมขอปฏิเสธนะ ผมทำสิ่งผิดกฎหมายแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“ข้อเสนอนี้ผมว่าเสี่ยอู๋ไม่ควรปฏิเสธนะครับ” กานต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะสวัสดิภาพของน้องแบมแบมก็เป็นเรื่องที่เสี่ยอู๋ต้องนำมาคิดให้หนักนะครับ”
พูดจบชายฉกรรจ์สองคนที่ล้อมอยู่อีกด้านตรงเข้าไปกระชากประตูรถเบนซ์ด้านหลังฝั่งที่แบมแบมนั่ง หนึ่งในนั้นมุดเข้าไปฉุดแบมแบมออกมา
แบมแบมร้องเสียงลั่นด้วยความกลัว และยื้อยุด ในขณะที่เสี่ยอู๋ก็พยายามฉุดแขนอีกข้างของแบมแบมไว้
“ช่วยด้วย....ช่วยด้วย...” เสียงร้องขอความช่วยเหลือทั้งจากเสี่ยอู๋และแบมแบมผสมปนกัน
แบมแบม
“เฮ้ย...หยุดนะ!” เสียงหนึ่งตวาดขึ้น
ชายฉกรรจ์หยุดมือก่อนจะเงยหน้าไปตามทิศทางของเสียง กานต์และพวกก็เช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์วิบาก เขาก้าวลงจากรถพร้อมกับถอดหมวกกันน็อกออก
ใจดี ชนแดน!
ใจดี ชนแดน
ใจดีเดินตรงมาที่ชายฉกรรจ์ทั้งสองคน พลางเอ่ยขึ้น
“สองคนนี้เป็นแขกของไร่สอย ดอยกาแฟ ใครบังอาจมาแตะ เท่ากับคิดจะรังควานพ่อเลี้ยงสอน”
กานต์หันไปมองหน้าใจดีพยายามทบทวนความจำของตนเอง เขาไม่รู้จักชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ส่วนพ่อเลี้ยงสอน ชนแดนใคร ๆ ในบ้านบางบอกดิกก็รู้จักกันดี นายไร่ที่ปลีกตัวจากผู้คนใช้ชีวิตอยู่บนดอย แต่ก็มีอิทธิพลและลูกน้องมือดีมิใช่น้อย ในบ้านบางบอกดิก คนที่อำนาจคานกันได้จนเป็นสามเส้าก็คือ พ่อเลี้ยงก้อม, นายหัวเฉื่อย และ พ่อเลี้ยงสอน
กานต์ครุ่นคิดว่าจะปะทะหรือล่าถอยดี แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
ใจดีตรงเข้าไปกระชากลูกน้องชายฉกรรจ์ที่ฉุดแบมแบมอยู่ให้ออกมาก่อนจะต่อด้วยการแลกหมัดกัน
ชายฉกรรจ์ปล่อยหมัดใส่ใจดี เขาเบี่ยงศีรษะออกด้านขวาพร้อมกับตวัดเท้าซ้ายเตะเข้าชายโครงของชายคนนั้น เสียงดัง ‘ป๊าป’ ตามด้วยร่างของชายคนนั้นทรุดลงไปกองกับพื้น
ชายอีกคนปรี่เข้าใส่ใจดีจากด้านหลัง ใจดีปรายตามองก่อนจะตวัดเตะจระเข้ฟาดหางเข้าใส่ก้านคอลงไปนอนกองกับพื้นอีกคน
อ๊อด พากินเห็นแบบนั้น ก็เตรียมจะเดินเข้าไปจัดการกับใจดี แต่กานต์ดึงแขนไว้ พลางปรายตา
อ๊อดชะงักและหันมายิ้ม จะด้วยดีใจที่ถูกห้ามหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ก่อนจะหันไปตามสายตาของกานต์
ประตูด้านหลังของรถคันที่จอดดักด้านหลังเปิดออก ชายคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ เขาบิดคอไปทางซ้ายทีขวาที เสียงกระดูกลั่น
ชายคนนั้นใช้นิ้วประสานกันเพื่อยืดเส้นสายระหว่างที่เดินตรงไปหาใจดี
ใจดีสังเกตเห็นชายคนนี้เดินตรงเข้ามาหาตนเองด้วยท่าทีปลอดโปร่ง ชายชาวจีน รูปร่างบอบบางกว่าใจดี
“ให้ตายเถอะ มันเดินยิ้มเข้ามาแบบนั้น บ้ารึเปล่าวะ” ใจดีคิดในใจ
ชายคนที่เดินตรงมาหาใจดีคือ ซันเจิ้น
ซันเจิ้น
ซันเจิ้นเดินหน้าเปื้อนยิ้มเข้ามาหาใจดี พอใกล้ถึงซันเจิ้นก็พลิกเท้าขวาตวัดเตะใส่ใจดีอย่างไม่ทันตั้งตัว
ใจดีที่ระวังตัวอยู่แล้ว ยกเข่าซ้ายขึ้นต้านรับลูกเตะของซันเจิ้น
แต่ซันเจิ้นก็ลงมือต่อเนื่องอย่างรวดเร็วด้วยการดีดตัวพร้อมกันแทงเข่าซ้ายเข้าใส่ท้องของใจดี
ใจดีที่ยกเข่าซ้ายค้างอยู่โดนแทงด้วยเข่าซ้ายของซันเจิ้นจนตัวงอ
ซันเจิ้นยิ้มเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้พัก ในขณะที่ใจดีตัวงออยู่ ซันเจิ้นใช้มือซ้ายตะปบคอใจดีกดลงและตีศอกขวาเข้าใส่ใจดีอย่างแรง
เลือดกระฉูดออกมา
ศอกขวาของซันเจิ้นกระแทกหางคิ้วซ้ายของใจดีจนแตก เลือดไหลอาบลงมาบังสายตาด้านซ้าย
ซันเจิ้นใช้กระบวนท่ากังฟูแบบมวดหย่งชุน รัวหมัดใส่ใจดีตำแหน่งที่หมัดรัวใส่คือหน้า หน้าอก ท้อง ใจดีได้แต่ยกแขนขึ้นปัดป้องไว้
ซันเจิ้นเปลี่ยนเป็นใช้เท้าซ้ายถีบเข้าใส่ที่หน้าแข้งของใจดีจนร่างของใจดีทรุด แขนที่ตั้งการ์ดตกลง ซันเจิ้นเห็นช่องว่างแล้ว เขาปล่อยหมัดเสยเข้าปลายคางใจดีจนใจดีรู้สึกหน้ามืด ก่อนจะล้มคว่ำลงกับพื้น
กานต์กับอ๊อดยืนดูอยู่เงียบ ๆ อ๊อดกระซิบกับกานต์ว่า
“ไอ้หมอนี่มันไม่เคยพูดเลย แต่ลงมือโคตรโหดเลย เป็นข้าคงจมกองตีนมันตั้งแต่หมัดแรกแล้ว”
อ๊อด พากิน
กานต์ยืนดูเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร
ใจดีนอนคว่ำกับพื้นแล้ว อยู่ตรงปลายเท้าของซันเจิ้นพอดี ซันเจิ้นยิ้มอย่างผู้มีชัย
ในขณะที่ใจดีพยายามลุกขึ้น ในใจเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกใครโค่นลงง่ายดายปานนี้ เพราะขนาดระดับแมน เมืองชลที่ว่าแน่ก็ยังต่อสู้กันอย่างสูสี แต่กับชายชาวจีนคนนี้เขาไม่ต่างจากเด็กน้อยต่อยกับนักมวยอาชีพเลย
ซันเจิ้นทำปากจุ๊ ๆ และโบกนิ้วชี้ไปมาเป็นเชิงปรามกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าว่าอย่าได้ลุกขึ้นมาอีกเลย
แต่ลูกผู้ชายชื่อใจดีมีหรือจะยอมกันง่าย ๆ ใจดีกัดฟันยืนขึ้นมาอีกครั้ง เลือดไหลจากหว่างคิ้วลงมาอาบที่หางตาข้างซ้ายของใจดี เขาตั้งการ์ดขึ้นแต่ร่างกายส่ายโงนเงน และกระโจนเข้าหาซันเจิ้นอีกครั้ง
ซันเจิ้นชักเท้าไปด้านข้างก็เบี่ยงตัวหลบใจดีได้ ช่วงที่ใจดีพลาดไปจั่วลม ซันเจิ้นกระแทกหมัดขวาเข้าใส่แก้มซ้ายของใจดีอีกครั้ง
ใจดีล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบ ก็เหมือนครั้งก่อน ใจดีพยายามกัดฟันลุกขึ้น แต่ในที่สุดใจดีก็ฟุบอยู่ตรงนั้น
เสี่ยอู๋กับแบมแบมที่เวลานี้ออกมาจากรถแล้วรีบวิ่งไปประคองร่างที่หมดสติของใจดี ในขณะที่ซันเจิ้นเดินตรงเข้ามาหาสองพ่อลูก
“หยุดนะ” มีเสียงห้ามดังขึ้นอีกครั้ง
ซันเจิ้นหันไปมองเห็นเป็นผู้ชายสองคนกำลังยืนอยู่ตรงท้ายรถสองแถว
คนหนึ่งคือบี บางรัก
บี บางรัก
และอีกคนคือ เสก ก้าวเล็ก
ก่อนหน้านี้บีเพิ่งโดดขึ้นรถสองแถวที่จะวิ่งผ่านไร่สอนดอยกาแฟ พอขึ้นมาบีก็ได้พบกับเสก ก้าวเล็กที่นั่งอยู่บนรถสองแถว เสกจำได้ว่าเคยพบกับผู้ชายหน้าหล่อคนนี้ที่วัดบอกดิกในวันแรก ๆ ที่เขาเพิ่งจะมาถึง ระหว่างที่นั่งรถสองแถวมาด้วยกันเลยมีโอกาสได้คุยกัน และรู้สึกถูกอัธยาศัยกัน
กระทั่งรถสองแถวมาชะลอตัวตรงตีนดอย บีมองออกไปก็เห็นเสี่ยอู๋กับแบมแบมเหมือนกำลังจะถูกคุกคามเลยรีบลงมาห้ามได้ทันท่วงที
บีตะโกนถามเสี่ยอู๋ข้ามหัวของซันเจิ้น
“เสี่ยอู๋เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
เสี่ยอู๋ตะโกนตอบ “คนพวกนี้จะมาฉุดผมกับลูกสาวครับ ช่วยผมด้วย”
กานต์เดินตรงเข้ามาหาใจดี พลางเอ่ยห้าม
“คุณบี คุณมาทำงานเล่นดนตรีที่บาร์ของนายหัวเฉื่อยนะ คิดให้ดีก่อนสอดมือเข้ามา”
บีหันมาทางกานต์ก่อนจะตอบว่า “เรื่องงานเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมครับคุณกานต์ บ้านเมืองมีขื่อมีแป คุณนึกอยากจะใช้อำนาจทำแบบนี้กับคนอื่น ผมคงอยู่เฉยไม่ได้ครับ”
“คุณอยากมีสภาพแบบเดียวกับไอ้หมอนั่นรึไง?” กานต์ทำทีบุ้ยใบ้ไปทางเสี่ยอู๋ที่กำลังประคองใจดีที่หมดสติอยู่
บีย้ำกับกานต์อีกครั้ง
“ผมไม่สะดวกทำงานกับคนที่รังแกคนอื่นครับ”
พูดจบบีก็เดินผ่านหน้ากานต์ตรงไปที่ซันเจิ้น ในขณะที่กานต์ทำทียักไหล่พร้อมกับยืนดูว่าซันเจิ้นจะใช้เวลาแค่ไหนโค่นบี
ซันเจิ้นหันมาเผชิญหน้ากับบี ทั้งสองมองตากัน
บีรู้สึกได้ว่าชายชาวจีนคนนี้ไม่ธรรมดา รูปร่างแม้จะบอบบางกว่าเขา แต่น่าจะมีความคล่องตัวสูง และทักษะการต่อสู้ก็คงไม่ใช่ย่อยเพราะดูจากสภาพของใจดีที่นอนหมดสติเลือดอาบหน้าแบบนั้น
บีตั้งการ์ดแบบมวยไทยเตรียมพร้อม
ซันเจิ้นเห็นบีตั้งการ์ดก็ชะงักครู่หนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่า คู่ต่อสู้ตรงหน้าเป็นวิชามวยไทย
ซันเจิ้นยิ้ม พลางตั้งการ์ดแบบมวยไทยเช่นกัน
บีถึงกับตะลึงที่ซันเจิ้นก็ตั้งการ์ดมวยไทย แต่ตนเองก็สืบเท้าเข้าหาซันเจิ้นทีละก้าว เช่นเดียวกับซันเจิ้นก็สืบเท้าเข้าหา
ทันทีที่ได้ระยะ เร็วเท่าความคิดบียกเท้าถีบแบบมวยไทยเป็นการเปิดทาง
แต่เท้าของบียังไม่ทันสัมผัสโดนตัวของซันเจิ้น ร่างก็ซันเจิ้นก็หายจากตรงหน้ามาปรากฏอีกทีที่ด้านข้างขวาของบีพร้อมกับตีศอกขวาเข้าใส่ บีรีบพับท่อนแขนเข้าหากันแนบที่กกหูด้านขวา ศอกของซันเจิ้นจึงปะทะกับท่อนแขนแทน
แต่ซันเจิ้นก็ยังมีท่วงท่าที่รวดเร็วกว่าทันทีที่คมศอกกระแทกกับท่อนแขนของบี ร่างซันเจิ้นก็พลิกกลับอีกครั้งตีศอกซ้ายเข้าใส่บี
บีถูกศอกซ้ายของซันเจิ้นกระแทกเข้าเต็มแรงจนหน้าหงาย ต้องซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว แต่ซันเจิ้นก็ตามประชิดด้วยการพุ่งขึ้นใช้เท้าซ้ายเหยียบที่ต้นขาขวาของบีถีบส่งงร่างของตนเองลอยเหนือบีก่อนจะกระแทกศอกลงมาใส่ด้านบนของศีรษะบีจนบีลงไปนอนกองกับพื้นอีกคน
ขณะที่เท้าของซันเจิ้นจะแตะพื้น หน้าแข้งหนึ่งก็ฟาดใส่ด้านข้างของซันเจิ้นจากทางด้านหลังของซันเจิ้น มันทำให้ซันเจิ้นต้องกระเด็นออกไปก่อนจะพลิกตัวกลับตั้งหลักและหันไปมอง
เป็นเสก ก้าวเล็กที่อาศัยจังหวะหลังจากที่ซันเจิ้นกระแทกศอกใส่บีแล้วเท้ายังไม่ทันแตะพื้น เสกก็ฉวยโอกาสนั้นเข้าเล่นงานซันเจิ้นด้วยการเตะกวาดเข้าใส่ลำตัวของซันเจิ้นเต็มแรง
เสก ก้าวเล็ก
เสกที่ยืนสังเกตระหว่างบีต่อสู้กับซันเจิ้น และเห็นว่าถ้าเท้าของซันเจิ้นแตะพื้นยังไงก็พลิกแพลงได้ตลอดเวลา แต่เมื่ออยู่กลางอากาศก็กลายเป็นจุดอ่อนให้เล่นงานได้
ซันเจิ้นหันมามองหน้าเสกอย่างงุนงง ตนเองคงไม่อยากเชื่อว่าชายท่าทางบ้าน ๆ ติดจะดูหื่น ๆ ด้วยซ้ำจะทำร้ายตนเองได้
เสกเข้ามาประคองบีลุกขึ้น พลางกระซิบบางอย่างกับบี บีที่ตอนนี้เริ่มได้สติแล้วพยักหน้ารับ
คราวนี้ทั้งบีและเสกกำลังยืนเผชิญหน้ากับซันเจิ้น และแล้วเสกก็พุ่งเข้าใส่ซันเจิ้นทื่อ ๆ เลย
ซันเจิ้นเห็นเสกวิ่งเข้าใส่ สายตาชำเลืองแว่บหนึ่งมองเห็นบียังยืนนิ่งอยู่ ส่วนเสกเงื้อหมัดขวาเข้าใส่ตนเอง
ซันเจิ้นยกฝ่ามือขึ้นพลิกข้อมือรับหมัดของเสกก่อนจะใช้ฝ่ามือนั้นตะปบหมัดของเสกและเหวี่ยงไปด้านหลัง แต่เสกก็ไวพอที่จะพลิกตัวกลับมาใช้แขนทั้งสองข้างล็อกเอวจากด้านหลังของซันเจิ้นไว้จนแน่น
ซันเจิ้นที่กำลังพยายามใช้ศอกทั้งสองข้างกระแทกแขนของเสก แต่แขนของเสกก็ยังรัดแน่นขึ้นอยู่
ส่วนเสกก็รู้สึกเจ็บปวดมากที่ถูกศอกของซันเจิ้นกระแทกใส่ แต่เขายังคงรวบรวมเรี่ยวแรงรัดซันเจิ้นไว้
บีที่ยืนนิ่งตอนแรก เวลานี้พุ่งปราดเข้าใส่ซันเจิ้นด้วยเข่าลอย เข่าของบีลอยเข้าหาซันเจิ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เสกถีบตัวเองไปข้างหน้า ทำให้ซันเจิ้นเสียหลัก ร่างถูกดันเข้าหาเข่าของบีเร็วขึ้น
แรงบวกจากเข่าของบีที่ลอยเข้าใส่ และแรงดันจากด้านหลังของเสกทำให้ซันเจิ้นอยู่ตรงกลางและถูกปะทะเต็มแรง
เสียงดังลั่น ทั้งสามกระเด็นกลิ้งไปคนละทาง
บีทรงกายลุกขึ้น เช่นเดียวกับเสก
ส่วนซันเจิ้นที่ลุกขึ้นมาได้ก็ขยับร่างกายเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนเพื่อจะต่อสู้ แต่พอขยับก็ต้องชะงัก อาการปวดแปลบอย่างรุนแรงที่หน้าอกทำให้ซันเจิ้นต้องกุมหน้าอกตัวเอง ที่แท้เข่าของบีแทงกระแทกตรงหน้าอกด้านซ้ายของซันเจิ้นอย่างแรงจนเกิดอากรบอบช้ำภายใน
ซันเจิ้นหยุดชะงักทันที บีกับเสกจึงฉวยโอกาสนี้บุกเข้าใส่ซันเจิ้น ทั้งสองประเคนหมัดเท้าเข่าศอกเข้าใส่ซันเจิ้นเป็นชุด ในขณะที่ซันเจิ้นตอนนี้ต้องเป็นฝ่ายยกแขนยกเข่าขึ้นต้านรับอย่างทุลักทุเล
ซันเจิ้นได้แต่เจ็บใจตัวเองที่ประมาทศัตรูเกินไปทำให้ตัวเองเข้าสู่จุดอับ แต่แล้วในชั่วพริบตา ซันเจิ้นก็กระตุกข้อมือ ดาบตันโตะที่ซ่อนในข้อมือของซันเจิ้นหลุดมาอยู่ในมือ พร้อมกับตวัดออกไป
เสียงดาบหวีดหวิวแทรกผ่านสายลม คมดาบกรีดเข้าที่แขนของเสก และเข่าของบีจนเป็นแผลบาง ๆ เลือดไหลออกมา และมันทำให้เสกกับบีหยุดการจู่โจม
ซันเจิ้นถือดาบกระชับมั่นสายตามองเขม็งมาที่เสกกับบี แต่แล้วกานต์ก็ตะโกนขึ้น
“วันนี้พอแค่นี้ พวกเรากลับ”
ซันเจิ้นค่อย ๆ เดินถอยหลังไปขึ้นรถ โดยที่เสกและบีไม่ได้ตามไป ในขณะที่กานต์กับอ๊อดก็กลับขึ้นรถอีกคัน
รถสองคันเคลือนตัวออกไปในทันที
รอจนรถทั้งสองคันลับหายไปไกล ทั้งบีและเสกก็ทรุดลงกับพื้น ต้องเรียกว่าระบมและบอบช้ำมาก
เสี่ยอู๋กับแบมแบมได้แต่ยืนว้าวุ่นใจเพราะมีคนเจ็บถึงสามคนนอนอยู่ตรงนั้น
....
วีกิจกับอติติดต่อช่างชัชชัยให้ไปซ่อมรถของพวกตน แต่เมื่อขับรถมาจนถึงจุดที่ทิ้งรถไว้กลับไม่พบร่องรอยของรถเสียแล้ว
อติถึงกับเข่าอ่อน
“ตายล่ะผม ทำรถยืมมาใช้ในราชการหาย คงโดนความผิดแน่”
อติ เพาะสุข
วีกิจบอกกับอติว่า “อติสำรวจรอบ ๆ บริเวณกับช่างชัชดูสิว่ามีร่องรอยอะไรไหม ผมจะลองเข้าไปดูข้างใน”
“ข้างใน” ของวีกิจหมายถึงหลุมกระดูก แต่เมื่อวีกิจไปถึงบริเวณนั้นมีแต่หลุมเปล่า ไม่มีร่องรอยของโครงกระดูกมนุษย์ใด ๆ เหลืออยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
วีกิจคิดในใจ
“พวกมันทำงานรวดเร็วมาก เพียงแค่คืนเดียวกำจัดหลักฐานทั้งหมดได้ องค์การนี้น่ากลัวกว่าที่คิดจริง ๆ”
อติที่สำรวจโดยรอบมองไปเห็นวีกิจเดินออกมา ขณะจะเอ่ยถาม วีกิจก็ส่ายศีรษะ ทำให้อติรู้ทันทีว่าหลักฐานคงสูญหายเหมือนรถหลวงยืมมาที่ตนขับก็หายไปด้วย
ช่างชัชชัยถามขึ้น “เอาไงดีล่ะครับ ไม่มีรถเสียแบบนี้”
“งั้นเราคงต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านบางบอกดิกก่อนครับช่าง ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย...”
ช่างชัชชัยโบกมือ “ไม่เป็นไรหรอกคุณ รถคุณยังหายเลยหนักกว่าผมอีก ผมแค่เสียเวลาเท่านั้นเอง”
วีกิจหยิบธนบัตรในกระเป๋าเสื้อส่งให้ช่างชัชชัย “งั้นผมถือว่านี่เป็นค่าน้ำมันรถกับค่าเสียเวลานะครับ รับไว้เถอะ”
วีกิจ หลิว
หลังจากนั้นทั้งสามก็นั่งรถกลับเข้าท่ารถบางบอกดิก วีกิจใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนักเขาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
....
ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง)
ชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งจำนวน 15 คน เพิ่งผ่านด่านผู้โดยสารขาออก และตรงออกมา โดยคนนำหน้าเป็นชาวอเมริกันท่าทางดุดันสวมแว่นดำ ที่ต้นแขนข้างขวาของเขาสักรูปปลาบาราคูดาไว้ ทุกคนในทีมเรียกเขาว่า
“เจที”
เจทีและลูกทีมเดินออกมาที่ด้านนอกของสนามบิน เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะมีชายไว้หนวดแต่งกายในชุดนักธุรกิจเดินเข้ามาทักทายเป็นภาษาอังกฤษ
“Hi Mr.JD I am Song”
เฮียส่ง
เจดีถอดแว่นดำออก ก่อนจะยื่นมือจับทักทาย
ชายไว้หนวดคือ เฮียส่ง เจ้าของธุรกิจนำเข้าส่งออกของกลุ่มทุนสุดขอบฟ้า นั่นเอง
“Where you go?” เสี่ยส่งเอ่ยถามขึ้น
“Bang Bok Dik” เจทีเอ่ยตอบ
เจที บาราคูดา
เฮียส่งเดินนำหน้าไปที่รถเบนซ์ของตัวเองก่อนจะเชื้อเชิญให้เจทีนั่งด้านหลังกับตน ในขณะที่ลูกทีมที่เหลือเดินไปขึ้นรถบัสติดแอร์ขนาดเล็กที่จอดอยู่ด้านหลังรถเบนซ์
ขบวนรถเคลื่อนออกจากสนามบินดอนเมือง มองไปไกล ๆ ท้องฟ้าเริ่มตั้งเค้าทะมึนด้วยเมฆสีดำ เห็นแสงฟ้าแล่บและได้ยินเสียงฟ้าผ่าแว่วมาแต่ไกล
พายุลูกใหญ่กำลังมา...มาที่บางบอกดิก
....
พ่อเลี้ยงก้อมนั่งจิบเบียร์ไปมองสายฝนไป โดยมีสาวสวยอิงแอบเคล้าคลออยู่ข้าง ๆ ในขณะที่พิมนั่งอยู่ในห้องนอนของตนเอง มองผ่านกระจกหน้าต่างที่เห็นสายฝนเกาะเป็นเม็ดก่อนที่เม็ดฝนจะไหลรินลงไปจากกระจกหน้าต่าง
พ่อเลี้ยงก้อม
พิมรู้สึกเสียดายที่วันนี้ฝนตั้งเค้า เธอตั้งใจจะไปท่าน้ำวัดบอกดิก เผื่อว่าจะได้พบกับบี บางรัก หลังจากวันนั้น พิมยังคงคิดรอยยิ้มละมุนนั้นของบี บางรัก เธอคิดในใจ
พิม
“ตอนนี้คุณบีจะทำอะไรอยู่นะ”
แต่ที่เรือนหลังเล็ก อันเป็นห้องนอนของเต้ เบียร์วุ้น ที่เวลานี้ตนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่กับสาวอีกคนบนเตียงนอน โดยมีเพียงผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมไว้
เต้กำลังคิดจิบเบียร์วุ้นและอะไรบางอย่าง บางอย่างที่จะมีโอกาสเขยิบฐานะตัวเองให้สูงขึ้นกว่าเดิม
เต้ เบียร์วุ้น
แต่ความคิดนั้นถูกขัดจังหวะเมื่อสาวที่นอนข้าง ๆ หันมากอดก่ายเต้
เต้วางเหยือกเบียร์นั้นลง ก่อนจะหันมาฟอนฟัดสาวข้างกายอย่างเมามัน
ฝนเริ่มตกลงมาและเม็ดใหญ่ขึ้น ในขณะที่แม่ฉัตรกับปามยังติดอยู่ที่ตลาด พอดีกับสามล้อถีบคันหนึ่งกำลังผ่านมา ปามรีบโบกมือเรียก
“จอดด้วยค่ะพี่”
ปาม
รถสามล้อคันนั้นจอด ปามสังเกตว่ารถสามล้อคันนี้ใช้ผ้าพลาสิกคลุมทั้งสี่ด้านไว้ กันฝนเข้าไปตรงที่นั่ง ก็รู้สึกอุ่นใจ หันมาพยักหน้ากับแม่ฉัตร
"โชคดีจัง สามล้อคันนี้มีคลุมผ้าพลาสิกไว้ เราจะได้ไม่เปียกฝนมากไปกว่านี้นะ"
แม่ฉัตรยิ้ม
แม่ฉํตร
ส่วนคนถีบสามล้อไม่ใช่ลุงเจ้าประจำแต่ปามไม่เห็นหน้า เขาใส่ชุดเสื้อคลุมฝนครึ่งท่อนบน ดึงฮู้ดลงมาบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง
สามล้อคนนั้นรีบแหวกผ้าพลาสติกด้านหน้าเพื่อให้สองแม่ลูกขึ้นไปนั่งจนเรียบร้อยก่อนจะถีบรถสามล้อออกไป
สองแม่ลูกนั่งเบียดกันอยู่ตรงที่นั่งโดยสาร ถ้าจะตั้งใจสักเกตสักนิด ก็คงพบว่าคนถีบสามล้อคนนั้น หันมาชำเลืองมองทั้งสองคนเป็นระยะ ๆ
และถ้ามองผ่านเข้าไปใต้ฮู้ดบังฝนนั้น ก็จะได้เห็นใบหน้าของ
ภาพ เทวารักษ์...เสือมุบ
ที่กำลังถีบรถสามล้อฝ่าสายฝนโดยมีสองแม่ลูก แม่ฉัตรและปามนั่งอยู่ด้านท้ายของสามล้อ
เสือมุบ
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นสลับกับฟ้าแล่บฟ้าผ่าที่มีสามล้อถีบวิ่งหายไปในม่านสายฝน
...
โปรดติดตามตอนต่อไปใน “บางบอกดิก “ ซีซั่น 2 เร็ว ๆ นี้
....
หลังกล้อง “บางบอกดิก” ตอนที่ 14
นิยายบางบอกดิกเดินทางมาถึงตอนที่ 14 แล้ว และก็จะเป็นตอนสุดท้ายของซีซั่น 1
อ้าว...เฮ้ย...ทำไมมีงี้ด้วย
เนื่องจากการเขียนนิยายบางบอกดิก เหมือนกับการที่ผมต้องเขียนนิยายพร้อมกัน 5 เรื่อง และหาจุดเชื่อมโยงของนิยายแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน
นิยายตอนแรก ที่เป็นตอนทดลองเริ่มลงเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 63และทยอยลงติดต่อกันทุกสัปดาห์จนถึงวันนี้ 25 เมษายน 63 ในช่วงที่ปูพื้นตัวละครแต่ละตัวให้เป็นที่รู้จักของคนอ่าน ผมไม่มีปัญหากับการเล่าเรื่อง แต่เมื่อเนื้อเรื่องเดินเข้าสู่โหมดที่ต้องดำเนินเรื่องไปแล้ว ผมพบว่ามันเป็นความยากมากในการที่จะดึงตัวละครที่กระจัดกระจายเข้ามาเจอกันในแต่ละฉาก แต่ละเหตุการณ์
การเขียนนิยายทุกสัปดาห์ภายใต้เวลาอันจำกัดมันเป็นอะไรที่ยากมาก และยิ่งถ้าต้องใช้ 5 เรื่องมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันยิ่งเป็นงานที่ใช้พลังงานและไอเดียมหาศาล ต่อให้ผมจะวางโครงเรื่องหลักไว้เรียบร้อยแล้ว และวางไว้จนถึงตอนจบแล้วที่ผมคิดไว้ถึง 5 แบบ แต่ระหว่างที่จะเชื่อมโยงตัวละครทั้งหมดเข้าด้วยกันนี่ล่ะคือปัญหา
ผมจึงขอสารภาพเลยว่า ผมหาไอเดียเขียนแต่ละสัปดาห์ยากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็พบวิธีเดียวกับที่หนังซีรีย์สฝรั่งชอบใช้ นั่นคือตัดจบ แล้วยกยอดไปซีซั่นถัดไป
ดังนั้น ที่คุณได้อ่าน บางบอกดิก ตอนที่ 14 คือตอนสุดท้ายของซีซั่นที่ 1
และผมขออนุญาตพักนิยายเรื่องนี้ชั่วคราว เพื่อสะสมไอเดียในการเขียนต่อไป และสัญญาว่าจะรีบกลับมาพร้อมด้วยอรรถรสแห่งความสนุกครบรสเหมือนเช่นเคย
ในตอนนี้เราเปิดตัว เฮียส่ง กลุ่มทุนสุดขอบฟ้า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่นำเข้า ของเรานั่นเอง ได้ปรากฏตัวปุ๊ป ก็จบปั๊บเลย พี่เขาคงนึกด่าผมในใจ “ไอ้มูฟเอ็งทำแบบนี้เหรอวะเนี่ย”
เช่นเดียวกับเจที เจ้าของเพจ JT@BarracudaStocks ที่ปรากฏตัวในฐานะหน่วยสังหารข้ามชาติที่จะต้องมาต่อกรกับโจรป่าพยนต์กันต่อไป
พี่ชัชชัย นักอ่านอีกคนของเราก็ถูกดึงมารับเชิญในบทช่างชัชชัย ช่างซ่อมรถมือหนึ่งของบ้านบางบอกดิก
เช่นเดียวกันบตอนนี้ เราได้เห็นความเก่งกาจของซันเจิ้นที่สามารถคว่ำพระเอกของเราทั้งสามคนได้ ผมอยากให้ซันเจิ้นเป็นตัวละครมือสังหารที่โคตรเก่ง เก่งจนแทบเอาชนะไม่ได้ คนอ่านจะได้เอาใจช่วยพระเอกของเรา
คุณคงเห็นแล้วว่า เสก ก้าวเล็ก, บี บางรัก และ ใจดี ชนแดน สามพระเอกหลักมาอยู่ร่วมซีนเดียวกันในฉากปิดของซีซั่น 1
เต้ เบียร์วุ้นที่คิดแผนอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
หลักฐานที่สูญหายของวีกิจ และเขาจะตามร่องรอยต่อไปอย่างไร
อดีตของสามเพื่อนรัก ข้าว ก้อม และอิ่ม ที่มาบรรจบกันเสียที และคลายปมเกือบทั้งหมด
สุดท้าย เสือมุบที่ปลอมตัวมาเป็นคนถีบสามล้อที่มีแม่ฉัตรกับปามนั่งโดยสาร และหายไปในสายฝน
เหล่านี้คือความจงใจที่ผมทิ้งประเด็นไว้ให้ทุกท่านต้องติดตามต่อไปใน
“บางบอกดิก” ซีซั่น 2 เร็ว ๆ นี้ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ
มูฟวี่
บางบอกดิก จะกลับมาพบกันทุกท่านในอีกครั้งใน ซีซั่นที่ 2 เร็ว ๆ นี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา