19 เม.ย. 2020 เวลา 03:25 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 13
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
ความเดิมตอนที่แล้ว
ก้อมวางแผนให้อิ่มบุญเปิดบริษัทที่ตัวเองชักใยเบื้องหลังเพื่อรับจัดจำหน่ายสินค้าให้บริษัทนายแม่ และดึงข้าวเข้ามาเอี่ยวแบบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันภาพไปเห็นฉัตรกับข้าวทานข้าวอย่างมีความสุข เขาจึงเตลิดหายไปจากชีวิตทุกคนที่เกี่ยวข้อง และกลายไปเป็นจนท.ป่าไม้ ที่ขัดขวางผู้มีอิทธิพจนถูกใส่ร้ายให้ติดคุก และพ่อเลี้ยงก้อมคือผู้มีอิทธิพลคนนั้น
เวลาปัจจุบัน ท็อปเหลียงเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์การลับ FB (FUBUKU) ที่หมายจะใช้เฮโรอีนมอมเมาคนไทย และใช้เงินซื้อนักการเมืองเข้าไปบริหารประเทศ องค์การเอฟบีจะฆ่าทุกคนที่ไม่ร่วมมือ แต่ระหว่างขนย้ายศพ ผู้กองวีกิจ หลิวกับหมวดอติไปพบ และเกิดการปะทะ แต่คนร้ายหลบหนีไปได้
วีกิจได้พบกับปิ้กลูกสาวผู้ใหญ่ข้าว ทั้งสองเกิดความรู้สึกแบบ “ดั่งต้องมนต์” ต่อกัน
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน “บางบอกดิก” ได้ ณ บัดนี้...
บางบอกดิก ตอนที่ 13
ร้าน "อวดของ"
ข้างสถานีรถไฟบางบอกดิก มีบ้านไม้สองชั้นที่ปลูกโดดเด่น พื้นที่ว่างด้านข้างของบ้านเป็นที่วางสินค้ามากมาย ส่วนหน้าบ้านถูกจัดเป็นหน้าร้าน แขวนโชว์สินค้า ห้อยเต็มพื้นที่เท่าที่มันจะสามารถแขวนได้ จนแทบจะมองไม่เห็นป้ายหน้าร้านที่เขียนไว้
“อวดของ”
ร้าน "อวดของ"
เมื่อเดินเข้าไปในร้านถูกประดับจัดตั้งไว้ด้วยสิ่งของเก่าหลากหลายแบบ จนยากจะจำแนกว่าร้านนี้จะขายอะไร เรียกว่ามีอะไรก็ขายน่าจะเหมาะสมกว่า
ปิ้กเดินนำหน้าเข้ามาในร้าน โดยมีวีกิจ กับอติเดินตามเข้ามา ชายหนุ่มทั้งสองทั้งทึ่งทั้งอึ้งกับร้านค้าแห่งนี้มาก อติเดินชมสินค้าในร้าน และมาเกาะขอบตู้โชว์ชะโงกดูของเล่นหลากหลายที่เมื่อวัยเด็กเขาเคยจับเล่นมาแล้วอย่างตื่นตาตื่นใจ
ชายตัวโตหุ่นแบบเดียวกับเด็กสมบูรณ์ข้างขวดซีอิ๊ว แต่เพิ่มเติมคือใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครา และสวมหมวกปานามา ใส่เสื้อฮาวาย กำลังนั่งทอดเต๋าเกมกระดานบันไดงูคนเดียวอยู่หลังเคาน์เตอร์
ปิ้กยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่เอก”
เอก อวดของ
เอกเงยหน้าจากเกมกระดานบันไดงู พอเห็นเป็นปิ้กก็ทักทาย “อ้าว ปิ้ก หวัดดีจ้า ลมอะไรหอบมาร้านพี่เอกล่ะ”
“ปิ้กมีเรื่องของความช่วยเหลือค่ะพี่เอก”
เอกเดินยิ้มออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ “ว่ามาเลยน้องสาว”
ปิ้กแนะนำให้เอกรู้จักกับ วีกิจและอติ สองหนุ่มจากกรุงเทพที่รถเสียระหว่างทาง และกำลังต้องการที่พัก เอกพยักหน้าและยิ้มให้ชายต่างถิ่นทั้งสองคน
“ไม่มีปัญหา เอกจัดให้ ชั้นสองของบ้านมีสามห้อง ของผมหนึ่งห้อง, ห้องหนึ่งเป็นของสมาชิกในบ้านนี้ และก็อีกห้องว่างอยู่ ถ้าคุณไม่คิดว่ามันคับแคบไป ก็พักได้ครับ เดี๋ยวผมพาไปดู”
เอกพาวีกิจกับอติขึ้นไปดูห้องนอนข้างบน เป็นห้องเล็ก ๆ มีเตียงหนึ่งเตียง แต่มีพื้นที่ว่าง พอที่จะปูฟูกที่นอนได้อีกหนึ่ง อติหันมามองวีกิจเป็นเชิงถาม วีกิจพยักหน้า
“ไม่เป็นไรครับเราอยู่ได้ แค่คืนเดียว ดีกว่าตะลอนไปนอนข้างทาง”
“งั้นเดี๋ยวผมเอาที่นอนมาปูเพิ่มให้นะ เราลงไปข้างล่างกันก่อนดีกว่า”
ทั้งสี่คนลงมาที่ด้านล่างของร้าน เอกเอ่ยถามปิ้ก
“นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว ปิ้กไม่รีบกลับบ้านเหรอ? เดี๋ยวผู้ใหญ่ข้าวจะเป็นห่วงนะ”
“กำลังจะกลับแล้วจ้ะ กลัวพ่อดุอยู่เหมือนกัน
พอดีสามล้อบอกดิกผ่านมา เอกตะโกนเรียก เป็นพี่สามล้อเจ้าประจำที่ปิ้กนั่งจากวัดมาท่ารถวันก่อน ขณะที่ปิ้กจะขึ้นรถสามล้อ วีกิจก็เอ่ยขึ้น
“ขอบคุณมากนะครับคุณปิ้ก เราจะมีโอกาสได้พบกันอีกไหมครับ”
วีกิจ หลิว
ปิ้กยิ้มเล็ก ๆ หน้าแดงนิด ๆ แต่ไม่ตอบคำ เพราะปิ้กก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี จะอย่างไรก็ควรสงวนท่าทีกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่เพียงครู่เดียว
“โชคดีนะคะ” ปิ้กตอบก่อนจะขึ้นรถสามล้อ
ปิ้ก
วีกิจยืนใช้สายตาส่งปิ้ก เขาคิดในใจระหว่างที่รถสามล้อเคลื่อนออกไปทีละเล็กทีละน้อย
“ถ้าเธอหันมาอีกคร้ง แสดงว่าเธอมีใจ”
สามล้อเคลื่อนออกไป แต่ปิ้กก็ยังไม่หันมา วีกิจเริ่มรู้สึกผิดหวังนิด ๆ กระทั่งรถสามล้อเคลื่อนออกไปไกลจากสายตา วีกิจจึงหันหน้ากลับเข้าไปในร้านอย่างรู้สึกเศร้านิด ๆ ผิดหวังหน่อย ๆ
ขณะที่สามล้อถีบเคลื่อนออกไป ปิ้กคิดหลายครั้งที่จะเหลียวกลับไปมอง แต่เธอก็ห้ามตัวเอง ก่อนที่สายตาเธอจะพบว่า ด้านซ้ายมือของที่นั่ง กระจกเงาบานเล็ก ๆ ผูกติดไว้อยู่ ปิ้กขยับที่นั่งและมองผ่านกระจกนั้น เธอเห็นภาพที่วีกิจยืนนิ่งใช้สายตาส่งเธออยู่
ปิ้กอมยิ้มนิด ๆ อย่างมีความสุข
....
แม่ฉัตรกับปามกลับมาถึงบ้าน โดยแม่ฉัตรสัญญากับปามว่าจะเล่าเรื่องที่เหลือให้ฟังในวันหลัง ส่วนปามอดแปลกใจที่วันนี้พี่สาวของเธอกลับมาพร้อมกับอารมณ์ดี และฮัมเพลงตลอดเวลา
ปาม
“พี่ปิ้ก วันนี้ดูพี่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีอะไรดี ๆ เหรอ?”
ปิ้กคล้ายรู้สึกตัว “เอ่อ...ใช้จ้ะ พี่ทำสอบเสร็จแล้วเลยหมดห่วงโล่งใจน่ะ” ปิ้กรีบกลบเกลื่อน
ปามมองหน้าพี่สาวด้วยสายตาเคลือบแคลง “แน่ใจนะว่ามีเท่านั้นจริง ๆ?”
“จ้ะ...ว่าแต่ตัวเองทำกับข้าวเสร็จรึยัง พี่หิวแล้วนะ” ปิ้กถือโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ปามพยักหน้า ปิ้กเลยรีบเดินเข้าไปในครัวช่วยแม่ฉัตรขนสำรับกับข้าวออกมา ในขณะที่ปามยืนมองพี่สาวอย่างงง ๆ
....
หลังจากวีกิจ กับอติอาบน้ำอาบท่าเสร็จ และเอกทำไข่เจียวราดข้าวให้ทั้งสองทานอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ทั้งสองก็ขอตัวเข้าห้องพักทันที
เอกไม่ได้ห้ามอะไร เหมือนพอใจที่ทั้งสองจะปลีกตัวออกไป แม้จะค่ำแล้ว แต่เอกก็ยังไม่ปิดร้าน สิ่งที่เขาทำคือปิดประตูร้านด้านหนึ่ง อีกด้านปล่อยไว้ พอให้คนเดินเข้ามาได้ ส่วนตนเองนั่งบิดรูบิกที่มันสลับสีกันอยู่ เขาใช้สมาธิหมุนไปมาเพื่อให้สีทั้งหกด้นเรียงเป็นสีเดียวกัน
สักพักเสียงดึงประตูปิดก็ดังขึ้น เอกเงยหน้าขึ้นมาดูเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังรูดประตูร้านอีกฝั่งมาปิดและล็อกร้านเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้เอก
“หวัดดีค่ะพี่เอก”
“หวัดดีกร ทานอะไรมารึยัง?”
รกร
รกรนั่นเองที่ตอนนี้ยืนอยู่ในร้าน
“กรทานมาแล้วนะพี่ พอดีพี่...” ขณะรกรจะเอ่ยต่อ เอกก็รีบทำท่าจุ๊ ๆ ปาก พลางชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน
รกรเดินเข้ามายืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ พลางถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
“ใช่ คนแปลกหน้ามาจากกรุงเทพสองคน คนหนึ่งเป็นลูกครึ่ง อีกคน...มีกลิ่นแบบตำรวจ”
“ตายจริง...” รกรเกือบจะอุทานดังลั่นแต่ฉุกใจคิดได้ทัน
“พอดีน้องปิ้กลูกสาวผู้ใหญ่ข้าวพามาที่ร้าน พี่ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ก็ต้องเล่นตามน้ำไปก่อน”
“งั้นเราต้องระวังตัวมากขึ้นสิพี่”
“ก็อย่าเผลอพูดถึง...พี่มุบ...ก็แล้วกัน” คำว่า “พี่มุบ” เอกไม่ได้เอ่ยชื่ออกมาแต่ขยับปากให้รกรอ่านแทน
รกรพยักหน้า
เอกเป็นพี่ชายของรกรที่ไปทำงานต่างเมือง ก่อนจะรู้ว่าน้องสาวตัวเองเกือบถูกพ่อเลี้ยงข่มขืน หลังจากรกรติดต่อเอก เขาเลยตั้งใจมาช่วยงานเสือมุบเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยน้องสาวของเขา เสือมุบมอบหมายให้เอกเป็นหูตาหาข่าว และเป็นสถานที่ส่งกำลังบำรุงให้แก่โจรป่าพยนต์ ด้วยการสร้างอาชีพค้าขายของเก่าตามความประสงค์ของเอก ทำให้เอกสามารถเข้าถึงแหล่งข่าวได้ทุกที่อย่างที่ไม่มีคนสงสัย
เอก อวดของ
เอกฝังตัวในฐานะเจ้าของร้าน “อวดของ” ร้านค้าตามประสงค์ของทุกคน เอกจึงสนิทสนมกับทั้งปิ้ก, ปาม ลูกสาวของผู้ใหญ่ข้าว และพิม ลูกสาวของพ่อเลี้ยงก้อมก็แวะเวียนมาสั่งสินค้าเกี่ยวกับการวาดรูปที่ร้านอวดของเป็นประจำ
นี่คือหนึ่งในแผนการที่เสือมุบวางเอาไว้เพื่อแผนล้างแค้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
....
วีกิจกับอติปรึกษากันอยู่ในห้องพัก อติยืนยันที่จะให้วีกิจนอนบนเตียง ส่วนเขานอนบนฟูกที่พื้นแม้ว่าวีกิจจะบ่ายเบี่ยงก็ตาม หลังจากที่ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจได้ วีกิจจึงต้องนอนบนเตียง และเอ่ยขึ้น
วีกิจ หลิว
“พรุ่งนี้เราจะหาช่างไปซ่อมรถ เปลี่ยนอะไหล่ยางทั้งสี่เส้น แล้วค่อยย้อนกลับไปสำรวจบริเวณที่เกิดเหตุกันอีกครั้ง”
“พี่วีมีสมมติฐานอย่างไรกับคดีนี้ครับ”
“ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ท็อป เหลียง และองค์การลับของเขา”
“หา...มีองค์การลับอะไรอีกเหรอครับ?” อติโพล่งขึ้น
วีกิจรีบทำชู่วปาก จนอติต้องยักไหล่ ผงกศีรษะเป็นเชิงขอโทษ
“เบื้องหลังเครือข่ายค้าเฮโรอีนของท็อป เหลียงมีองค์การลับที่ตำรวจสากลจับตาดูอยู่ ว่ากันว่าเป็นองค์การลับที่พยายามแทรกซึมเข้าไปในประเทศหลายประเทศ โดยใช้เฮโรอีนมอมเมา ใช้เงินจากการค้ายาเสพติดมาหว่านซื้อนักการเมือง และผลักดันให้เข้าไปเป็นรัฐบาล เพื่อที่องค์การนี้จะได้ชักใยอยู่เบื้องหลัง”
อติ เพาะสุข
อติหน้าซีดเผือด “เรื่องราวมันบานปลายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ใช่ รัฐบาลของคุณก็รู้เรื่องนี้ ถึงได้มอบหมายให้กรมตำรวจสนธิกำลังกับทางตำรวจสากลเพื่อหาทางแทรกซึมและทำลายล้างองค์การนี้ให้ได้”
วีกิจนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะอธิบายต่อ “รูปแบบการฆ่าคล้ายกับที่เกิดในฮ่องกง ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ เฉินตู โซล โตเกียว มะนิลา ล้วนแต่มีคดีลักษณะคล้าย ๆ กันเกิดขึ้น ว่ากันว่าบรรดานักธุรกิจเป้าหมายจะล่วงรู้ดีว่านี่คือคำเตือน เป็นผลลัพธ์ของบุคคลเป้าหมายที่ไม่ยอมร่วมมือกับองค์การลับนี้”
“องค์การบ้าแบบนี้มันน่ากลัวมากนะครับ ถึงกับคิดจะยึดครองโลกเลยเหรอ?”
“ใช่ เรารู้แค่ว่า องค์การนี้มีอักษรย่อว่า “FB” ชื่อที่ถูกเรียกคือ FUBUKU…”
เอ่ยถึงตอนนี้วีกิจหยุดพูดลง เพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นมาด้านบน มีคนสองคนกำลังขึ้นมา คนหนึ่งน้ำหนักเสียงเท้าที่ย่ำลงพื้นห้องก็พอจะรู้ว่าเป็นเอกเจ้าของร้าน ส่วนอีกเสียงเบากว่ากันมาก มากจนแทบไม่ยินเสียงเลย น่าจะเป็นผู้หญิง
เสียงเปิดประตูและล็อกประตูทยอยดังขึ้นทีละห้อง ก่อนบรรยากาศบนชั้นสองของบ้านจะเงียบสนิท มีเพียงแต่เสียงจิ้งหรีดที่ดังมาจากด้านนอกเท่านั้น
“ไว้ผมจะสรุปให้ฟังภายหลังนะ” วีกิจตัดบท “เราพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้ต้องออกไปหาช่างแต่เช้า”
อติพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปปิดไฟ ลมเย็น ๆ จากภายนอกพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง มันเย็นแบบบรรยากาศชนบทที่อากาศยังบริสุทธิ์ เสียงรถไฟเที่ยวสุดท้ายเพิ่งเคลื่อนผ่านไป เสียงล้อเหล็กกระทบรางรถไฟเป็นบรรยากาศแบบที่คลาสิกสุด ๆ ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ สองหนุ่มก็ผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
....
โชโกะเลาจ์
เสียงเพลงดังกระหึ่ม ลีลาเยื้องย่างของบรรดาสาว ๆ ที่ยืนเต้นรูดเสาสแตนเลสยิ่งดูยิ่งเร่าร้อนทั้งคนเต้น และคนที่นั่งดูอยู่ด้านล่าง
เสกก้าวเล็กนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ข้างหน้าเขาเป็นเบียร์เหยือกหนึ่ง กับถั่วลิสงคั่วใส่ถ้วยให้หยิบกินแกล้มเบียร์
มีสาวคนหนึ่งมาโอบกอดด้านหลัง แต่วันนี้เหมือนเสกไม่ได้สนใจ เธอก็เลยเดินจากไป
กระทั่งกลิ่นหอมแบบที่คุ้นจมูก และรัญจวนใจลอยมากระทบนาสิกของเสก เสกหันไปมองก็ต้องตาลุกวาว
มาดามโชโกะใช้ร่างเซ็กซี่ร้อนแรงยืนพิงเคาน์เตอร์อยู่ที่ด้านข้างขวาของเสกตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
มาดามโชโกะหันมาส่งสายตาหยาดเยิ้มยั่วยวนให้เสก พลางถามขึ้น
“คืนนี้ดูคุณเสกจะเนือย ๆ ไปนะคะ ไม่สนุกหรือไง?”
มาดามโชโกะ
เสกปั้นหน้าไม่ถูก แต่ที่รู้คือนิ้วชี้และนิ้วนางของมาดามโชโกะกำลังไต่จากหลังมือขวาของตนไล่ขึ้นมาถึงต้นแขนจนเขาอดขนลุกเกรียวไม่ได้
“มีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหมคะ?”
“ครับ” เสกรับแค่นั้นไม่พูดอะไรต่อ
“งั้น...ถ้าคืนนี้โชโกะจะเป็นคนดูแลคุณเสกเอง จะรังเกียจไหมคะ อยากพิสูจน์ว่าเสกจะเล็กแต่ก้าวจริงรึเปล่า?”
เสียงหัวเราะ ไม่ตอบอะไร แต่ใช้มือซ้ายมากุมที่หลังมือของมาดามโชโกะที่วางแปะอยู่บนหัวไหล่ขวาของตนเอง
มาดามโชโกะส่งยิ้มยั่วยวนชวนใจละลายให้ ก่อนจะกระซิบกระซาบข้างหูของเสก หลังจากนั้นเธอก็พาเรือนร่างร้อนแรงดุจระเบิดไดนาไมท์จากไปโดยไม่วายหันมาเอี้ยวตัวมองเสกอีกครั้งก่อนจะหายไปในความมืดของเลาจน์
เสกหยิบเบียร์ในเหยือกขึ้นมาซดรวดเดียวหมด ก่อนจะเดินไปตามทิศทางเดียวกับมาดามโชโกะ
ราตรีนี้จะไม่สบายใจอย่างไร แต่ปลายทางข้างหน้าที่มีภาพมาดามโชโกะนอนทอดกายอยู่บนเตียงนอนก็ทำให้เสก ก้าวเล็กสลัดความไม่สบายใจเหล่านั้นทิ้งไว้ตรงเคานเตอร์บาร์ชั่วคราว เพราะมีสวรรค์รอคอยอยู่เบื้องหน้า!
เหงียมศรี มณีปัทม์
เสียงเพลงจากบทเวทีดังขึ้น เหงี่ยมศรีขึ้นมาร้องเพลงให้ทุกคนฟัง เธอใช้สายตามองไปในความมืดสลับแสงสีที่อยู่เบื้องหน้าเธอ ผู้ชายนักเที่ยวหลายคนไม่ได้ใส่ใจกับเสียงเพลงของเธอ สิ่งเดียวที่ดึงพวกเขามาที่นี่คือบรรดาสาว ๆ ของเลาจ์มากกว่าจะมาตั้งใจฟังเธอร้องเพลง ก็แหงล่ะ สถานที่แบบนี้ใครจะเสียเงินเข้ามานั่งฟังเพลง ไม่ใช่วิกล้อมผ้าเวทีลูกทุ่งลูกกรุงนี่นะ
เคยมีเสี่ยบางคนมาทาบทามจะขอเลี้ยงดูเหงี่ยมศรี แต่เธอปฏิเสธเพราะเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เป็นความรัก.ความรักที่เธอมีให้กับพี่ติ สวรรค์เลาจ์ไม่เคยเปลี่ยน
หลังเพลงจบ เหงี่ยมศรีเตรียมจะเปลี่ยนชุด ก็เหมือนเช่นเคยที่ ติ สรรค์เลาจ์ค่อย ๆ ย่องเข้ามาก่อนเพื่อยั่วให้เหงี่ยมศรีตกใจ แต่กลายเป็นว่าเหงี่ยมศรีตีศอกเข้าที่หางคิ้วของพี่ติจนพี่ติร้องลั่น
“โอ๊ย....นี่เอ็งจะตีศอกใส่พี่ทำไมวะเหงี่ยม” ติบ่นพลางดึงสำลีในถุงหน้าโต๊ะแต่งหน้ามาซับเลือดตัวเอง
“ก็พี่ติเข้ามาด้านหลัง เหงี่ยมตกใจนี่ พี่ติก็รู้ว่าเหงี่ยมบ้าจี้”
“เอ็งตีศอกจนคิ้วแตกแบบนี้ เอ็งน่าจะไปขึ้นชกมวยนะ ศอกคมขนาดนี้ แต่พี่สิแตกแบบนี้แอนตาซิลก็ไม่จ่าย”
“เดี๋ยวเหงี่ยมจ่ายให้พี่เอง คืนนี้จ่ายเป็นอะจึ๊ย...อะจึ๊ย...นะ”
พี่ติตาลุกวาว “จัดไปเลย เดี๋ยวก็เลิกงานแล้ว” ติพูดจบก็ลุกขึ้น แต่เหงี่ยมศรีดึงมือของพี่ติไว้ก่อน พี่ติหันมาถาม
“มีอะไรเหรอเหงี่ยม?”
ติ สวรรค์เลาจ์
“พี่ติ พรุ่งนี้ครบรอบวันตายแม่หมวย เหงี่ยมอยากไปทำบุญที่วัดบอกดิกตอนก่อนเพลน่ะ”
ติทรุดนั่งลงข้าง ๆ เหงี่ยมศรีอีกครั้ง เขามองหน้าสาวคนรักก่อนจะกุมมือเธอ
“เหงี่ยมอยากให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม?”
“พี่จะไปเป็นเพื่อนเหงี่ยมเหรอ?” เหงี่ยมศรีย้อนถาม
“ไปสิ ไม่ว่าจะยังไงพี่ก็จะอยู่เคียงข้างเหงี่ยมเสมอ” พี่ติยืนยันด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าพ่อเหงี่ยมจะรังเกียจพี่ก็ตาม”
“พี่ก็รู้ว่าพ่อเขาเป็นคนหัวรั้น ทั้ง ๆ ที่เคยบวชเรียนจนเป็นมหามาแล้วก็เถอะ พอเรื่องของตัวเองพ่อก็ปล่อยวางไม่เป็น”
พี่ติโอบกอดเหงี่ยมศรี เธอซบลงตรงไหล่ของพี่ติ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร แต่กำลังใจปลอบใจให้กำลังใจแก่กัน
….
เสียงระฆังรถไฟตีดังแว่วมาตามสายลมจนปลุกให้อติตื่น เขางัวเงียขึ้นมาพลางหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู 6.10 น. อตินั่งมึน ๆ อยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ก่อนจะสลัดหัวไปมา และลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูแล้วลงไปชั้นล่างเข้าห้องน้ำ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ อติก็เปิดประตูออกมาก็ต้องตกใจ มีหญิงสาวน่าหน้าน่ารักคนหนึ่งยืนนิ่งมองมาที่อติ
อติยิ้มก่อนจะผลุบหายกลับเข้าไปหลังประตู เขาสูดหายใจลึก ๆ พยายามส่องกระจกจัดแจงทรงผมให้เข้าที่ก่อนจะเปิดประตูออกมาอีกครั้งหญิงสาวหายไปแล้ว อติบ่นพึมพำ
“เอ...สงสัยเราจะตาฝาด”
รกร
“ตาฝาดอะไร นายเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็หลีกไปสิ ชั้นจะได้เข้าบ้าง” เสียงแขวะดังมาจากด้านข้างซ้ายของอติ
อติมองตามไปเห็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนเดียวกัน เวลานี้นั่งคอยอยู่ที่บันไดด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขายิ้มแห้ง ๆ ให้เธอ
“ขอโทษครับ ผมนึกว่าผมตาฝาดแต่เช้า...ก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาเจอสาวสวยยังกับนางฟ้าจ้องมาแบบนี้ผมก็ตกใจสิครับ”
รกรยิ้มแว่บหนึ่ง ก่อนจะทำหน้ายุ่งอย่างเดิม
“พูดอยู่นั่นล่ะ จะหลีกทางได้รึยังคะ?”
“ครับ”
อติรีบเบี่ยงตัวให้ รกรเดินแทรกผ่านอติไป แต่ก่อนจะเข้าห้องน้ำ รกรหันกลับมาจ้องอติชี้นิ้วไปที่อติ พร้อมกับเสียงแข็ง
“นี่...ห้ามนายมาอยู่ตรงหน้าห้องน้ำนะ หัดมีมารยาทด้วย”
“ครับ” อติรับคำในขณะที่รกรปิดประตูใส่อติ
อติย้ายมานั่งรออยู่ตรงเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ มองไปที่หน้าประตูห้องน้ำด้วยสายตาแน่วแน่ กระทั่งรกรเปิดประตูออกมาและสบสายตาอ้อน ๆ ของอติ รกรเห็นสายตาอ้อน ๆ แบบนั้นกลับดูยียวนกวนโทสะมากกว่า เห็นแล้วน่าหงุดหงิดใจ รกรคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา
อติ เพาะสุข
อติเอ่ยทักจากที่เคาน์เตอร์
“หวัดดีครับ ผมชื่ออติ เพาะสุข คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
รกรคิดในใจ “นี่ฉันต้องตอบหมอนี่เหรอ” ก่อนจะตอบว่า “รกร”
อติเตรียมจะลุกขึ้น รกรรีบยกมือห้าม “ไม่ต้องลุกมา นายนั่งอยู่ตรงนั้นเลย”
อติยิ้มแห้ง ๆ ทรุดนั่งลงตามคำสั่ง ทำตาแป๋วแหววมองมาที่รกร เหมือนน้องหมามองเจ้าของ
รกรเอ่ยถามขึ้น “นายคงเป็นสองคนที่มาจากรุงเทพสินะ ที่ว่ารถเสียกลางป่า”
“โอ้...รู้เรื่องพวกเราด้วยเหรอครับ” อติประหลาดใจ “ดีใจจัง” อติส่งยิ้มให้
“อ้าว...ก็นายมาอาศัยบ้านพี่ชายชั้นนี่ ชั้นก็ต้องรู้สิ” รกรแขวะอีก
“แหม...ผมก็ไม่นึกเลยว่าคุณเอกจะมีน้องสาวหน้าตาน่ารักอย่างนี้ ผมถึงได้ตกใจไงครับ ตอนแรกนึกว่านางฟ้าจำแลงแปลงกายลงมา”
รกรยิ้ม จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ผู้หญิงชอบอยู่แล้วถ้ามีคนชมว่าสวยน่ารัก แต่เหมือนเธอรู้สึกตัวจึงตีหน้าบึ้งรีบตัดบท
“นี่ ๆๆๆ อย่ามาทำทะลึ่งกับชั้นนะ ชั้นไม่ใช่เพื่อนเล่นนาย”
“ขอโทษครับ” อติตอบ “ถ้าผมจะขอความช่วยเหลือจากคุณรกรได้ไหมครับ”
“อะไรเหรอ?” รกรย้อนถาม
“ผมหิวข้าว พอจะแนะนำร้านข้าวแกงแถวนี้ได้ไหมครับ”
“หิวข้าวตั้งแต่เช้ามืดเลยเนี่ยนะ” รกรย้อนถาม “ร้านป้าแม้นข้างสถานีรถไฟน่าจะทำเสร็จแล้ว”
“แล้วต้องไปทางไหนเหรอครับ” อติย้อนถาม
รกรจึงเดินออกมาที่นอกร้าน โดยมีอติเดินตามมา เธอหยุดยืนและชี้มือไปทางสถานี พร้อมกับอธิบายทิศทาง
“มันไกลไหมครับ?” อติย้อนถาม
“ไม่ไกลหรอก นายก็น่าจะเดินไหว”
“ตกลงผมต้องเดินตามทางรถไฟแล้วเลี้ยวขวา กับเลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวขวาใช่ไหมครับ”
“เอ๊ะ...ความจำสั้นนะนาย มาเดี๋ยวชั้นพาไปเองก็ได้”
รกรเห็นท่าทางมึน ๆ อึน ๆ ของอติแล้วก็รำคาญแทน เธอ เดินนำหน้า ในขณะที่อติแอบอมยิ้มพลางคิดในใจ “เพราะความสุขอยู่รอบตัวจริง ๆ ด้วย”
อติ
รกรพาอติเดินมาจนถึงหน้าร้านป้าแม้น อติยืนดูกับข้าวในหม้อและถาด ก่อนจะหันมาถาม
“คุณรกรจะทานอะไรดีครับ?”
รกรเอียงคอ “ชั้นยังไม่หิว”
“แต่มาถึงร้านแล้ว ทานเลยไหมครับ จะได้ไม่เสียเที่ยว” อติย้อนถามเสียงอ้อน
รกรนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้...ไหน ๆ ก็มาแล้ว ทานเลยก็ได้”
ทั้งสองสั่งข้าวราดแกง พอป้าแม้นตักใส่จานส่งให้ทั้งสองก็เดินมาหาที่นั่ง อตินั่งตรงข้ามกับรกร
อติก้มหน้าก้มตาทานข้าวอย่างตั้งใจ รกรเห็นท่าทางกินข้าวของอติแล้วก็อดขำไม่ได้ มันดูตลก ๆ ดี
อติเงยหน้าขึ้น “อ้าว...มัวแต่ขำผม ไม่ทานเหรอครับ”
รกรค้อนใส่อติวงหนึ่งก่อนจะเริ่มต้นทานบ้างเหมือนกัน
อติทานจนใกล้เสร็จก็เมียงมองก่อนจะลุกขึ้นไปตักน้ำแข็งใส่แก้วสองใบแล้วมาวางบนโต๊ะพลางเทน้ำในกาใส่แล้วเลื่อนส่งให้รกร รกรมองตามพลางกล่าว “ขอบใจ”
หลังจากทานข้าวจนเสร็จ อติก็ลุกขึ้นไปจ่ายเงิน พร้อมกับสั่งใส่ถุงเผื่อให้ผู้กองวีกิจ เขาเดินยิ้มมาหารกร ยกถุงกับข้าวในมืออวดรกร
“ผมซื้อแกงเขียวหวาน, ไข่พะโล้, ผัดผักรวมมิตร แล้วก็ข้าวอีกสามถุงให้เพื่อนผมกับพี่ชายคุณนะครับ”
รกรเอียงคอมองหน้าอติอย่างพินิจพิเคราะห์ “เออ...นายก็มีน้ำใจเหมือนกันนะ ผิดกับที่เคยได้ยินมา”
“คุณได้ยินมาอย่างไรครับ”
“เขาลือกันว่าคนกรุงเทพแล้งน้ำใจน่ะ” รกรตอบ
“อ๋อ...ผมไม่ใช่คนกรุงเทพครับ ผมคนเมืองกาญจน์ครับ แต่มาทำงานที่กรุงเทพครับ”
“มีใครบอกไหมว่านายมันกวนโอ๊ย” รกรปั้นหน้าบึ้งใส่
“อ้าว...ก็ผมตอบตามความจริงนี่ครับคุณรกร ไม่ได้ตั้งใจกวนโอ๊ยคุณเลยนะ” อติยิ้มให้อีกครั้ง
รกรเห็นรอยยิ้มของอติแล้วก็เหมือนหายโกรธ เธอยอมรับว่า หมอนี่เป็นคนอารมณ์ดีจริง ๆ ขนาดเธอแขวะใส่ตั้งหลายครั้ง เขาก็ยังยิ้มได้เสมอ เหมือนอะไร ๆ ก็ทำให้หมอนี่มีความสุขไปได้หมด น่าอิจฉาชะมัดเลย รกรคิดในใจ
ทั้งสองเดินกลับมาจนถึงร้านอวดของ มองเข้าไปในร้านก็เห็นเอกกับวีกิจกำลังนั่งดื่มกาแฟคุยกันตรงเคาน์เตอร์
อติโค้งนิด ๆ ให้รกร ส่วนรกรทำหน้างุนงง “นายมาโค้งให้ฉันทำไมเนี่ย?” รกรย้อนถาม
อติยิ้มก่อนจะบอกว่า
“ขอบคุณนะครับที่ทานข้าวเช้าเป็นเพื่อนผม ผมไม่คิดว่าคุณรกรจะยอมไปทานข้าวด้วย ผมมีความสุขมากครับ”
รกรโกรธจนหน้าแดง เธอไม่รู้ว่าแดงเพราะกำลังเขิน โมโห หรือ อายกันแน่
“อีตาบ้า”
รกร
รกรต่อว่าอติด้วยความอายก่อนจะเดินสาวเท้าอย่างเร็วขึ้นชั้นสองไปทันที เสียงย่ำเท้าขึ้นบันไดดังตึงตัง ตามด้วยเสียงปิดประตูดังโครม ท่ามกลางความงุนงงของเอกกับวีกิจ
ส่วนอตินั้นยืนยิ้มและมองท่าทีเฮี้ยว ๆ แต่น่ารักของรกรอย่างมีความสุข เขารู้สึกหญิงสาวท่าทางไม่ยอมใครมีอะไรที่ดึงดูดใจอยู่มิใช่น้อยจริง ๆ บางบอกดิกมีอะไรที่เกินคาดคิดเยอะเลย อติคิดแบบนั้น และแน่นอนเช้านี้เขามีความสุขมากเป็นพิเศษ
น่าประหลาดใจทำไมพอนึกถึงหน้ารกรแล้วเขายิ่งมีความสุขมากเป็นพิเศษ
ที่วัดบอกดิก
พี่ติเดินกุมมือเหงี่ยมศรีมาตลอดทางเสมือนหนึ่งกำลังให้กำลังใจสาวคนรัก เพราะเขารู้ดีว่าอีกสักครู่จะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่หลวงลุงทับสวดบังสุกุลให้เสร็จแล้วท่านก็เดินออกจากโบสถ์ จึงพบเห็นเหงี่ยมศรีกับพี่ตินั่งพับเพียบอยู่ด้านนอกโบสถ์ไม่ได้เข้ามา หลวงลุงทับเอ่ยทัก
“อ้าว...โยมเหงี่ยมกับโยมติ ทำไมไม่เข้าไปนั่งข้างในล่ะ”
หลวงลุงทับ
เหงี่ยมศรีประนมมือตอบว่า “หลวงลุง...หนูไม่กล้าเข้าไปหรอกค่ะ กลัวพ่ออิ่มอาละวาด เดี๋ยวงานทำบุญแม่จะเป็นงานบาป”
หลวงลุงทับถอนหายใจ “วางไม่ลง ปลงไม่เป็น ที่เห็นคือทุกข์ ไอ้อิ่มเอ๊ย...เสียแรงบวชเรียนจนเป็นมหา”
แล้วหลวงลุงทับส่ายศีรษะก่อนเดินจากไป พอดีกับ มหาอิ่มเดินออกมา โดยมีผู้ใหญ่ข้าว แม่ฉัตร ปิ้ก ปาม เดินตามมาข้างหลัง
ทันทีที่เห็นเหงี่ยมศรีกับติ มหาอิ่มก็เหมือนกับของขึ้น
“นี่เอ็งสองคนยังมีหน้ามาที่นี่อีกเหรอ?”
“ทำไมหนูจะมาไม่ได้ ทำบุญครบรอบปีแม่ของหนูนะ” เหงี่ยมศรีเถียงทันที
เหงี่ยมศรีนึกถึงอดีตที่เธอกับพี่ติเรียนมาด้วยกันตอนจบปวส.พี่ติไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเพราะทางบ้านส่งเรียนไม่ไหว เลยต้องออกมาทำงานตั้งแต่นั้น จนในที่สุดก็มาทำงานที่โชโกะเลาจ์
ส่วนเหงี่ยมศรีที่ชอบร้องเพลง และไปประกวดร้องเพลงแต่สุดท้ายเธอก็ไม่เคยได้แชมป์สักเวที ติเลยชวนเธอมาร้องเพลงที่โชโกะเลาจน์ เหงี่ยมศรีกับติตั้งใจจะทำงานเก็บเงินแล้วไปหาซื้อบ้านสักหลังเพื่ออยู่ด้วยกัน สร้างครอบครัว
แต่ทันทีที่พ่ออิ่มบุญรู้ว่าเหงี่ยมศรีจะไปทำงานในโชโกะเลาจ์ พ่ออิ่มบุญก็โมโหจนควันออกหู
“เหงี่ยม! เอ็งเอาอะไรคิด ถึงจะไปทำงานในสถานที่แบบนั้น”
“หนูไปร้องเพลงนะพ่อ ไม่ได้ไปขายตัว” เหงี่ยมเถียง
มหาอิ่มบุญ
“เอ็งจะขายตัวหรือไม่ ชาวบ้านจะไปรู้เหรอ เขาก็เอาไปพูดกันว่า ลูกสาวมหาอิ่มขายตัวอยู่ที่เลาจ์ เอ็งคิดบ้างไหมว่าชาวบ้านเขาไปนินทากันว่า ลูกสาวมหาอิ่มขายตัว แล้วพ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เหงี่ยมศรีนึกถึงวันนั้น พ่อยื่นคำขาดให้เลือกระหว่างถ้าจะอยู่กับพ่อต้องเลิกกับติ แต่เหงี่ยมศรีก็ใจเด็ดเธอเลือกอยู่กับติและเก็บข้าวของย้ายออกมา ตั้งแต่วันนั้นมหาอิ่มก็ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับเหงี่ยมศรี
วันเวลาผ่านไป พ่ออิ่มบุญก็ยังคงเหมือนเดิม รักหน้าตัวเองมากกว่าคนในครอบครัวไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยสำนึก เหงี่ยมเองก็คับแค้นใจ จนทำให้เธอลุกขึ้นตัดพ้อทั้งน้ำตา
“พ่อก็ดีแต่รักหน้าตัวเอง อยากให้คนนับหน้าถือตา พ่อเคยแคร์คนในครอบครัวพ่อบ้างไหม?” เหงี่ยมเถียง “พ่ออย่าลืมนะแม่ต้องตรอมใจตายก็เพราะพ่อ จนกู๋หมูก็ตัดขาดไม่เผาผีกับพ่อไปแล้ว”
เหงี่ยมศรีพูดจบก็คว้ามือพี่ติสะบัดหน้าเดินจากไป ติรีบยกมือไหว้ทุกคนก่อนจะเดินตามไป
มหาอิ่มบุญนิ่งเงียบอยู่ตรงหน้าโบสถ์ โดยมีผู้ใหญ่ข้าวเดินมาจับบ่า ก่อนจะหันไปทางแม่ฉัตร
“แม่ฉัตร พาลูก ๆ กลับไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไปจ้ะ”
แม่ฉัตรเหมือนรู้ใจ เธอพยักหน้าก่อนจะชักชวนปิ้กกับปามเดินกลับไป ส่วนมหาอิ่มบุญกับผู้ใหญ่ข้าวเดินไปด้วยกันอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะมานั่งลงที่ศาลาริมน้ำท้ายวัด
มหาอิ่มบุญมองไปที่สายน้ำในลำคลองก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขมขื่นใจ
“ที่นังเหงี่ยมมันพูดก็ถูกของมันนะ ข้าเป็นคนทำให้น้องหมวยต้องตรอมใจตาย”
ผู้ใหญ่ข้าวถอนหายใจเฮือกใหญ่
“จะโทษเอ็งคนเดียวก็ไม่ถูก มันเกิดเพราะความเชื่อใจเพื่อนมากกว่า”
ผู้ใหญ่ข้าว
“ข้าก็ไม่คิดนะ เพื่อนรักคบกันมาแต่เด็ก มันจะหักหลังกันได้ เอ็งไม่แค้นไอ้ก้อมเหรอวะไอ้ข้าว”
มหาอิ่มบุญหันมาถามผู้ใหญ่ข้าว
ผู้ใหญ่ข้าวนิ่งอึ้ง เขาไม่ได้ตอบคำถามของมหาอิ่มบุญ แต่กำลังถามตัวเองว่าถึงวันนี้ตนเองแค้นก้อมหรือไม่
เรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายในความรู้สึกมาก แววตาที่ปวดร้าวของผู้ใหญ่ข้าวเวลานี้มันฟ้องอยู
มันเริ่มตรงไหนกันนะ ผู้ใหญ่ข้าวคิด พลางลำดับเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อน
คุณภาพหายไปจากชีวิตของฉัตร ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน สิ่งเดียวที่หมอภาพบอกกับทุกคนก็คือ คุณภาพโทรเลขมาบอกว่าเขาเดินทางไกล ไม่ต้องห่วง
ตั้งแต่รู้ว่าภาพหายไป ฉัตรก็เปลี่ยนเป็นเงียบซึม เขาคงสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่าคุณหนูฉัตรอาจจะรักภาพแต่เจ้าตัวไม่รู้ใจตัวเองรึเปล่า กระทั่งเขาก็พบความจริงในวันหนึ่งที่คุณหนูฉัตรระบายให้ข้าวฟัง เธอบอกว่า
“ฉัตรรู้สึกผิดค่ะพี่ข้าว ฉัตรรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุที่ทำร้ายจิตใจของภาพ ทำให้คนดี ๆ คนหนึ่งที่ควรจะมีชีวิตที่ดี ต้องมาพังทลายเพราะเรา แต่นายแม่บอกว่า ความรักมันบังคับใจกันไม่ได้ ถ้าบังคับได้ก็ไม่ใช่ความรัก ให้ฉัตรไปแยกแยะระหว่างสงสารกับความรัก”
ฉัตร
“เอ่อ...ถ้าผมจะขอถาม มันจะละลาบละล้วงเกินไปไหมครับ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องตอบนะครับ” ข้าวเอ่ยขึ้น “แล้วจริง ๆ คุณหนูฉัตรรักคุณภาพไหมครับ”
“ไม่ค่ะ” ฉัตรตอบชัดเจนโดยไม่ต้องคิด “ฉัตรรู้ว่าภาพรักฉัตร และก็รักมาก แต่ฉัตรไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับภาพ ภาพเป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่น้องมากกว่า เราโตมาด้วยกัน จนสนิทกันมาก แต่ฉัตรไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น หรือมีความสุขแบบ...แบบชุ่มชื่นหัวใจเมื่ออยู่เวลาเราอยู่ด้วยกัน” ฉัตรอธิบาย ก่อนจะกล่าวต่อ
“พอนายแม่เตือนสติ ฉัตรมานั่งแยกแยะความรู้สึก ถึงพบว่า ฉัตรไม่ได้รักภาพแบบหนุ่มสาว ภาพเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวฉัตร การที่ไปไหนมาไหนด้วยกันฉัตรเกรงใจ และสงสารภาพมากกว่าค่ะ”
ข้าว
ข้าวมองหน้าฉัตร เขาอยากเอื้อมมือไปกุมมือฉัตรเพื่อปลอบใจแต่ข้าวก็เจียมตัวเองเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น
หลังจากที่ฉัตรระบายให้ข้าวฟังในวันนั้น ก็เหมือนเธอจะเดินหน้าต่อได้ และเริ่มปรับจิตใจตัวเองได้แล้ว
ส่วนคุณหนูมายก็เริ่มกลายเป็นสาวสำมะเลเทเมาตั้งแต่ภาพหายตัวไป ดีที่เธอได้ก้อมมาคอยดูแลตามรับตามส่งกระทั่งวันที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ในห้องทำงานที่บ้านของนายแม่ นายแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะ โดยมีฉัตรนั่งอยู่ข้าง ๆ และมายนั่งอยู่ตรงข้ามกับนายแม่ ส่วนข้าวกับก้อมยืนห่างออกไปจากด้านหลังมาย
นายแม่โมโหมากเมื่อมายมาบอกว่า
“แม่...มายท้องค่ะ”
มาย
“มายท้อง...ท้องกับใคร?” นายแม่แทบลมใส่ แต่ก็ฝืนใจนับหนึ่งถึงร้อยก่อนจะเอ่ยถามคำถามนี้
“กับ...กับ..ก้อมค่ะ”
นายแม่ทรุดนั่งลง เธอพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่ทั้งฉัตรและข้าวก็ตกใจพอ ๆ กัน
ส่วนก้อมรีบคุกเข่าพนมมือ สีหน้าเศร้าเหมือนสำนึกผิด
“ผมขอโทษครับนายแม่ แต่ผมรักคุณหนูมายด้วยใจจริงนะครับ”
ก้อม
นายแม่ทรุดนั่งลงที่เก้าอี้เหมือนหมดแรง มือไม้สั่น ลมหายใจเริ่มติดขัด ฉัตรเห็นอาการต้องรีบเทยาโรคหัวใจส่งให้นายแม่ ในขณะที่ข้าวรีบรินน้ำใส่แก้วมาส่งให้ นายแม่รับยามากลืนและดื่มน้ำตาม สักพักใหญ่อาการเริ่มดีขึ้น เธอใช้สายตาเหมือนเวลาที่ตำรวจจ้องผู้ต้องสงสัยมองมาที่ก้อม
“ทำไมเธอทำแบบนี้ก้อม...ถ้าพวกเธอรักกันก็คบกันอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ทำแบบนี้”
ก้อมเห็นสายตาแบบนั้นของนายแม่ก็ก้มหน้ามองพื้น แต่เอ่ยขึ้น
“มันเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบของเราเองครับนายแม่ ผมทราบดีว่าทำแบบนี้เหมือนไม่ให้เกียรตินายแม่เลย แต่พวกเรารักกันจริง ๆ นะครับ ไม่เชื่อถามคุณหนูมายได้”
ก้อมเงยหน้าขึ้นมาแว่บหนึ่งปรายตามองไปที่มาย มายเห็นสายตาก้อมจึงหันมาสำทับคำของก้อมอีกครั้ง
“ใช่ค่ะแม่ มายกับกัอมรักกันจริง ๆ “
นายแม่นิ่งเงียบหลับตาลงพลางใช้ความคิด บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่ ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ผ่านไปเนิ่นนาน นายแม่ลืมตาขึ้นมองมาที่ก้อมกับมาย
“ถ้ามายกับก้อมรักกันจริง แม่ก็ยินดีด้วย งั้นเราคงต้องรีบจัดงานแต่งงานก่อนที่ท้องมายจะท้องโตออกมาจนเห็นได้ชัด”
นายแม่
ก้อมยกมือกราบนายแม่ “ขอบคุณครับนายแม่ ขอบคุณมากครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณหนูมายอย่างดี”
งานแต่งงานของก้อมกับมายถูกจัดขึ้นไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แค่พอให้สังคมรับรู้อย่างถูกต้องเท่านั้น มันเป็นความพอใจของทุกฝ่าย
แต่หลังจากวันนั้นนายแม่ก็เริ่มสุขภาพทรุดลง ฉัตรจึงต้องลงมาบริหารงานเองโดยมีข้าวเป็นกำลังสำคัญ กระทั่งวันหนึ่งที่ฉัตรต้องไปดูงานต่างจังหวัด และเป็นจังหวัดที่ข้าวอยู่ เขาพาฉัตรไปเที่ยวที่บ้านแนะนำให้พ่อแม่รู้จักกับฉัตร ก่อนที่ตกเย็นวันนั้นข้าวจะให้ฉัตรหัดขี่หลังควายโดยมีเขาเดินจูงกันควายวิ่งเตลิด
ทั้งสองมองดูตะวันตกดิน ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ข้าวหันมามองหน้าฉัตรอย่างจริงจัง แสงสีทองของตะวันยามใกล้ลับลาส่องต้องใบหน้าที่สวยงามและท่าทีที่ละมุนละมัยของฉัตร มันทำให้ข้าวตะลึงกับความงดงาม และพูดขึ้น
“คุณหนูฉัตรครับ...ผมรักคุณหนูฉัตรครับ”
"ผมรักคุณหนูฉัตรครับ" / "ฉัตรก็รักพี่ข้าวค่ะ"
ฉัตรยิ้มเขินอาย ก้มหน้าลงก่อนจะหันขึ้นมาสบตากับข้าว “ฉัตรก็รักพี่ข้าวค่ะ”
วันนั้นเป็นวันที่ข้าวมีความสุขมากที่สุด เพราะเขาสมหวังกับสิ่งที่เขาเฝ้าฝัน แม้จะตามมาด้วยความหนักใจที่เขาไม่แน่ใจว่านายแม่จะเห็นดีเห็นงามและยินยอมกับเรื่องนี้หรือไม่
แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อตอนสายของวันหนึ่ง ฉัตรได้รับหมายฟ้องจากทนายความ นายแม่ถูกฟ้องข้อหาฉ้อโกง และถูกฟ้องร้องชดใช้เงินจำนวนเงินเกือบล้าน
นายแม่ถูกฟ้องในฐานะจำเลยที่ 1 และ ไอ้อิ่มกับอิ่มบุญเทรดดิ้งถูกฟ้องในฐาะนจำเลยที่ 2
ข้าวนึกถึงตอนนี้ด้วยความเจ็บปวด เพราะความประมาทของเขาเองที่ทำให้นายแม่และบริษัทถูกฟ้อง เอกสารสัญญาทุกฉบับลงลายมือชื่อข้าวเป็นผู้เซ็นอนุมัติ และเป็นเอกสารสัญญาที่ทำกับอิ่มบุญเทรดดิ้งทั้งหมด
สินค้าที่ส่งไปให้อิ่มบุญสูญหายระหว่างทาง มีการเคลมเงินประกันภัย แต่แล้วสินค้าเหล่านั้นกลับมาปรากฎขายในร้านอิ่มบุญอีกครั้ง กระทั่งมีคนไปตรวจสอบ เรื่องเลยแดงขึ้นมา
ก้อมและข้าวปรึกษากับทนายของบริษัท ทนายแจ้งว่าโอกาสชนะเป็นไปได้ยากเพราะทุกอย่างมันบ่งชี้เหมือนว่าบริษัทน่าจะรู้เห็นเป็นใจต่อกรณีที่สินค้าเหล่านั้นแจ้งสูญหายกลับมาวนขายซ้ำ และเรียกเงินจากบริษัทประกันภัย
ก้อมถามขึ้น
“มันไม่มีทางออกอะไรเลยเหรอคุณทนาย”
“ก็พอมีนะครับ ถ้าบริษัทนายแม่พิสูจน์ได้ว่า การกระทำนี้เกิดจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวเอง บริษัทก็สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบนั้นได้ และน่าจะเป็นทางออกที่ทำให้บริษัทไม่ถูกฟ้องร้องและเสียชื่อเสียงทางเครดิตการค้าครับ” ทนายตอบก่อนจะลากลับ
“ไอ้อิ่มนะไอ้อิ่ม ทำไมมันทำแบบนี้วะ ส่งสินค้าให้มัน แล้วมันบอกว่าสูญหาย แต่ดันเอากลับมาขายใหม่ภายหลัง” ก้อมบ่นขึ้น “แล้วนี่จะทำไงดีวะ”
“คิดไม่ออกว่ะ...สงสารคุณหนูฉัตร ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ก็ต้องปิดนายแม่ไม่ให้รู้อีก เดี๋ยวโรคหัวใจกำเริบจะยิ่งทรุดหนัก”
“แต่ข้าคิดว่า ทางออกที่ทนายเสนอมาก็น่าจะพิจารณานะ เอ็งลองคิดดูนะหาใครสักคนมายอมรับผิดแทน ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำเองทั้งหมด เท่านี้ก็หมดเรื่องแล้ว ทั้งคุณหนูฉัตรและนายแม่ก็จะได้หมดกังวลใจ เพียงแต่คน ๆ นั้นต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงพอจะทำให้เขาเชื่อได้ว่าตัวเองเป็นคนลงมือ โดยนายแม่ไม่เกี่ยวข้อง”
ก้อม
ก้อมพูดพลางมองมาที่ข้าว ส่วนข้าวใช้ความคิดอย่างหนัก
อีกสองวันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่โรงงานและควบคุมตัวข้าว เขาถูกใส่กุญแจมือโดยมีตำรวจสองนายกระหนาบข้าง ทั้งหมดเดินตรงไปที่รถผู้ต้องหา ระหว่างทางบรรดาคนงานมองมาที่ข้าวด้วยสายตาแตกต่างกัน
เมื่อฉัตรรู้เรื่องเธอรีบวิ่งตามมาด้วยความตกใจ แต่ฉัตรก็มาช้าไปข้าวโดนจับขึ้นด้านหลังของรถขนผู้ต้องหา ฉัตรวิ่งตามรถไปพร้อมทั้งน้ำตา แต่รถตำรวจนั้นไม่ได้หยุด ฉัตรทรุดลงนั่งกับพื้นมองดูรถเคลื่อนออกไปไกล
ฉัตร
“พี่ข้าว...พี่ข้าว...พี่ข้าว...” ฉัตรพยายามร้องเรียก เธอนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น ในขณะที่รถขนผู้ต้องหาค่อย ๆ เคลื่อนลับหายไป
ทั้งหมดอยู่ในสายตาของก้อมที่ยืนมองอยู่หลังกระจกในห้องทำงานของตน ก้อมยิ้มอย่างผู้มีชัย
ส่วนข้าวที่นั่งอยู่ในรถก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน น้ำตาเขาไหลออกมา เขาตัดสินใจยอมรับผิดแทน เขาสารภาพกับตำรวจว่าเขาเป็นคนทำเองทั้งหมดนายแม่และบริษัทเป็นเพียงช่องทางให้เขาทำทุจริตได้อย่างสะดวก
“ขอโทษนะครับคุณหนูฉัตร มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมจะตอบแทนบุญคุณนายแม่ และปกป้องคนที่ผมรัก”
ฉัตรไปเยี่ยมข้าว ระหว่างเธอกับข้าวถูกกั้นกลางไว้ด้วยซี่ลูกกรง ข้าวอยู่ในสภาพอิดโรยเหมือนคนอดนอนมาหลายวัน ฉัตรเห็นสภาพข้าวแล้วก็ปวดใจ แต่ข้าวปวดใจมากกว่าที่คนรักของตัวเองต้องมาเห็นเขาในสภาพนี้
“ฉัตรมาเยี่ยมค่ะพี่ข้าว”
“คุณหนูฉัตรจะมาเยี่ยมคนเลว ๆ อย่างผมทำไมครับ”
“พี่ข้าวอย่าพูดแบบนี้สิคะ ฉัตรไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าพี่ข้าวจะเป็นตัวการทุจริตบริษัทนายแม่”
“ผมทำจริง ๆ ผมร่วมมือกับไอ้อิ่ม นี่ไง...มันก็อยู่ในห้องขังนี้ร่วมกับผม” ข้าวหันไปชี้ที่ไอ้อิ่มที่นั่งกองอยู่ข้าง ๆ
“คุณไม่ควรจะมาอีก ที่นี่ไม่มีอะไรให้คุณต้องคิดถึง” ข้าวเอ่ยเท่านั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปส่วนลึกที่สุดของห้องขัง
ฉัตรยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น เธอเรียกร้องเรียก
“พี่ข้าว...พี่ข้าว...อย่าทำแบบนี้กับฉัตร ฉัตรรู้ว่าพี่ไม่ได้ทำ...พี่ข้าว...”
ไม่มีเสียงตอบจากข้าว ฉัตรยืนร้องไห้ตรงนั้นจนตำรวจหญิงนายหนึ่งต้องมาพาเธอออกไป
ข้าว
ส่วนข้าวนั่งซุกตัวชันเข่าอยู่ตรงมุมมืดของห้องขัง เขาฟุบหน้าร้องไห้
“ผมขอโทษนะคุณฉัตร...ผมขอโทษ...”
โปรดติดตามตอนต่อไป
….
หลังกล้อง “บางบอกดิก” ตอนที่ 13
มาถึงตอนที่ 13 แล้ว เรื่องราวในอดีตค่อย ๆ ถูกเปิดเผยมากขึ้น ในตอนนี้จะมีซีนอารมณ์หลายต่อหลายตอน และทุกคนจะมีช่วงเวลาของตนเอง
เริ่มตั้งแต่ก้อมที่คนอ่านลงความเห็นว่าทำไมเขาชั่วร้ายแบบนี้ มาในตอนนี้เราจะได้เห็นว่าเขาชั่วร้ายมากขึ้นอีกแค่ไหน และน่าสนใจว่าชายคนนี้จะชั่วร้ายไปได้ไกลมากสุดแค่ไหน
ข้าวที่สมหวังในความรักเสียทีกับแม่ฉัตร แต่มันไม่ได้ลงเอยอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง เมื่อถึงจุดที่ข้าวต้องตัดสินใจเลือกอะไร และผมว่าคนอย่างข้าวที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง เขาจะเลือกทางออกด้วยวิธีนี้ เขาจึงเป็นตัวละครที่จะได้ใจคนดูในฐานะชายแสนดีผู้เสียสละ จริง ๆ บุคลิกของข้าวผมอิงมาจากตัวละครในหนังชีวิตฮ่องกงที่เป็นคนดี แต่ต้องมาติดคุกเพราะเพื่อน เป็นตัวละครแบบเสียสละทั้งชีวิตเพื่อคนที่ตัวเองรัก
ผมชอบที่ทำให้ตัวละครของผมพังทลายลง ผมผลักเขาไปให้สุดทาง และให้พวกเขาพยายามหาทางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ก็เหมือนชีวิตจริงที่ผมอยากบอกว่า เราต้องอยู่กับความทุกข์เหล่านั้นและหาทางไปต่อให้เจอ ทั้งผู้ใหญ่ข้าว ภาพ ผมเชื่อว่าคนอ่านจะต้องตามติดชีวิตของเขา และสนใจว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร เช่นเดียวกับพ่อเลี้ยงก้อมที่คนอ่านน่าจะเกลียดจนอยากเผาพริกเผาเกลือแช่งกันทีเดียว
ในตอนนี้เราจะเห็น เสก ก้าวเล็ก เริ่มสับสนกับสถานะตัวเอง ซึ่งจริง ๆ คนอ่านก็จะสับสนกับตัวละครนี้ที่เปิดตัวอย่างพระเอก ก่อนจะกลายเป็น....เอ่อ...ช่างมันเถอะ ผมอยากให้ตัวละครเสกเป็นตัวละครที่ยากคาดเดา เขาจะต้องเป็นตัวแปรสำคัญของนิยายเรื่องนี้ ด้วยความยากคาดเดานี่ล่ะ กลัวแต่พี่ป๋อเสกจะรอไม่ไหว...แหมนิยายมันยาวนะพี่ ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่า 30 ตอนจะอยู่รึเปล่า น่าจะลากไปถึง 50 ตอนได้แน่
เราจะได้เห็นดราม่าพ่อลูกอีกคู่ มหาอิ่มบุญ กับ เหงี่ยมศรี ที่พัวพันกับพี่ติ และแม่หมวยที่ตายไป เผื่อจะลืมแม่หมวยเป็นเมียของอิ่มบุญ เธอเป็นลูกสาวของเถ้าแก่ตือ ที่มีลูกสองคน คนโตคือ เฮียหมู ปังตอหด แห่งร้านท่ารถบอกดิกนั่นล่ะ ดูมันจะพัวพันกันไปหมดเลยนะ
เปิดตัวไปตอนหนึ่ง รกรที่แอบรักเสือมุบ ผู้กำกับก็โดนน้องสาวตัวเองเฉ่งเป็นการใหญ่ จริง ๆ ผมวางไลน์ไว้แล้ว ว่ามันจะต้องมีฉากที่เห็นในตอนนี้เกิดขึ้น และเจ้าตัวก็ไม่รู้ แต่คุณลองย้อนไปอ่านคอมเมนท์เมื่อวาน กรกับติกำลังคุยกันพอดี ซึ่งมันก็พอเหมาะกับที่ผมวางให้คู่นี้เขาจะเป็นคู่กัด พ่อแง่แม่งอนของนิยายเรื่องนี้
มันน่าสนใจตรงที่รกรจะมีสเป็คของผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำ ไม่สนใจคนรอบข้าง มีความเป็นพระเอก ชายผู้ชอบผลักตัวเองไปอยู่ในความทุกข์ จนลืมมองดูคนรอบข้าง นั่นเป็นบุคลิกของเสือมุบ ซึ่งตรงกันข้ามกับ อติที่เป็นหนุ่มอารมณ์ดี คิดบวก เขาไม่ใช่คนประเภทจะไปยืนแถวหน้าในฐานะผู้นำ แต่เขาน่าจะเป็นคนที่ยืนข้าง ๆ ใครก็ได้ และพยายามทำให้คนนั้นมีความสุข ผมอยากให้คนอ่านได้ฟินกับคู่นี้ และลุ้นว่าอติจะชนะใจรกรได้อย่างไร แล้วดูสิชื่อตัวละครทั้งสองผมก็จงใจให้คล้ายกัน อติ, รกร นี่...ยายกร เธอดุพี่เมื่อวานน่ะเร็วไปนะจ้ะ
ในตอนนี้เปิดตัวละครใหม่คือ เอก อวดของ ซึ่งเป็นเจ้าของร้างสรรพสิ่ง และเป็นสายของเสือมุบ เป็นพี่ชายของรกร ผมมอบให้ เอก ผมเอง เป็นคนรับบทนี้ และมีป๊อป ปองกูล เป็นร่างอวตาร เอกน่าจะเป็นคนอามรณ์ดี แต่อ่อนไหวเหมือนกับป๊อปตัวจริงเอกไว้หนวดเคราเหมือนกันด้วย เออ แก๊งเสือมุบนี่เขาไว้หนวดเครากันทุกคนเลยนะ อ้อ...เจ้าหมูแว่นเท่านั้นที่ไม่มี
ส่วนที่พี่แมนขอให้ผมเพิ่มนิยายวันพุธอีกหนึ่งวัน ผมต้องขอปฏิเสธครับ การเขียนนิยายเรื่องนี้ผมต้องมี 5 ชั่วโมงในการเขียน 1 ชั่วโมงตรวจทาน และใช้เวลาลงภาพประกอบก่อนโพสต์ วันธรรมดาทำไม่ทันครับ เพราะต้องไปทำงาน ผมก็ต้องนอนพักเหมือนกันนะครับพี่แมน
หวังว่าคุณจะสนุกกับนิยายตอนนี้นะครับ เชิญคอมเมนท์กันได้ตามอัธยาศัยนะ
ขอบคุณครับ
มูฟวี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา