18 เม.ย. 2020 เวลา 03:00 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 12
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
ความเดิมตอนที่แล้ว
ฉัตรพยายามหลบหน้าภาพ เพื่อเสียสละให้มายน้องสาวของตัวเอง ภาพเริ่มหงุดหงิดที่มายเอาแต่ตามตื๊อ เช่นเดียวกับฉัตรที่เริ่มสนิทสนมกับข้าวมากขึ้นเมื่อเธอไปช่วยนายแม่บริหารงาน และได้ข้าวเป็นคนแนะนำ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสี่อยู่ในสายตาของก้อม ที่วางแผนให้ทุกคนเกิดความเข้าใจผิดกัน โดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝง และใช้ทุกคนเป็นเครื่องมือให้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่สิ่งเดียวที่ยังยืนวันว่าก้อมก็มีหัวใจ นั่นคือ พิมลูกสาวของเขากับมาย
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน “บางบอกดิก” ได้ ณ บัดนี้...
1
บางบอกดิก ตอนที่ 12
พิมไม่ได้วาดรูปพ่อเลี้ยงก้อมต่อ และภาพที่ยังวาดไม่เสร็จยังวางอยู่ตรงนั้นแต่เจ้าตัวคนวาดแอบวิ่งขึ้นกลับไปห้องนอนของตัวเอง พ่อเลี้ยงก้อมเดินมาหยุดยืนดูภาพวาดตนเองที่ยังไม่เสร็จ เหตุการณ์ในอดีตทำให้เขาต้องทบทวนต่อ
...
ก้อมเข้าทำงานตามปกติ ระหว่างที่เขากำลังตรวจเช็คคิวรถขนส่งสินค้าอยู่นั้น ก็มีพนักงานมาแจ้งว่ามีแขกมาพบขณะนี้อยู่ที่ห้องทำงาน และเมื่อไปถึงก้อมก็เห็นผู้ชายท่าทางดูซื่อ ๆ จนเห็นได้ชัดนั่งรออยู่ในห้อง
“ไอ้อิ่ม” ก้อมเอ่ยทัก
อิ่ม
ชายหนุ่มท่าทางดูซื่อที่นั่งอยู่หันมาตามเสียง พอเห็นเป็นก้อมก็รีบลุกขึ้น
“ไอ้ก้อม”
ก้อมจับมืออิ่มก่อนจะเดินอ้อมมานั่งที่เก้าอี้ทำงานของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถาม
“ไปไงมาไงวะถึงมาหาข้าได้”
“ก็ตั้งใจจะมาหาเอ็งนี่ล่ะ” อิ่มตอบ
“มีอะไรเหรอ?” ก้อมย้อนถาม แต่สายตามองเขม็งไปที่อิ่ม
อิ่มไม่ค่อยชอบสายตาแบบคาดคั้นหาคำตอบนั้นของก้อม แต่ก็ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
“คือข้ามีปัญหาเรื่องงานน่ะ ตอนนี้นายห้างที่ทำงานเก่าแกล้มละลายก็เลยกลายเป็นคนตกงาน เลยบากหน้ามาพึ่งใบบุญของเอ็งนี่ล่ะ” อิ่มตอบอย่างเศร้า ๆ
ก้อมใช้สายตามองอิ่มอย่างใช้ความคิด ในขณะที่อิ่มก้มหน้า ในที่สุดก้อมก็ถามขึ้น
“ตอนอยู่ที่เก่าเอ็งทำงานอะไร?”
“นายห้างให้ข้าเป็นหัวหน้าฝ่ายตลาด ก็ออกไปติดต่อลูกค้าน่ะ ชักชวนเขามาเซ็นสัญญากับห้างของเรา”
ก้อมยิ้ม “ก็เหมาะกับเอ็งดีนะ เอ็งมันช่างคุย เข้ากับคนง่าย”
“เอ็งพอจะมีตำแหน่งว่างให้ข้าไหมวะ?” อิ่มเข้าประเด็น
“ตำแหน่งว่างไม่มีหรอก” ก้อมตอบ
อิ่มหน้าเศร้าหนักกว่าเดิมเมื่อได้ฟังคำตอบนี้
“แต่ข้ามีที่ดีกว่าตำแหน่งว่างเสียอีก” ก้อมตอบ
อิ่มเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พลางขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย
ก้อมยิ้ม “คือข้ากำลังคิดจะตั้งบริษัทของตนเอง แต่ไม่สะดวกที่จะออกหน้าเพราะด้วยตำแหน่งงานมันไม่เหมาะ กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี ก็พอดีเอ็งเข้ามาได้จังหวะ”
อิ่มยิ่งงุนงงหนักกว่าเดิม ก้อมเหมือนรู้ว่าเพื่อนไม่ทันความคิดของตน จึงอธิบายต่อ
“เอ็งเป็นคนดี เป็นคนซื่อ และไว้ใจได้” ก้อมมองหน้าอิ่มด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้นถ้าข้าจะตั้งบริษัท เอ็งมาออกหน้าแทนข้าได้ไหม ทุกอย่างอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเอ็งหมด เอ็งจะเป็นเหมือนกับเจ้าของบริษัทเลย”
อิ่มตกใจ “ไม่ไหวมั้ง ข้าไม่เคยทำตำแหน่งผู้บริหารแบบนั้นหรอก เดี๋ยวบริษัทก็เจ๊งกันพอดี” อิ่มบ่ายเบี่ยง
“มันจะเจ๊งได้ยังไง ในเมื่อเอ็งแค่ไปทำหน้าที่เดิม ๆ คอยติดต่อชักชวนลูกค้า และก็มีหน้าที่เซ็นเอกสารสำคัญที่เป็นของบริษัททั้งหมด ส่วนข้าจะเป็นคนบริหารให้เอง”
“จะดีเหรอ?” อิ่มย้อนถาม “ข้าไม่มีเงินมาลงหุ้นทำบริษัทหรอกนะ แล้วมายกตำแหน่งเจ้าของบริษัทให้ข้าเนี่ยนะ”
“เงินไม่ต้อง ข้ามี เอ็งแค่ออกหน้าแทนข้าเท่านั้น ข้าไม่อยากถูกนายแม่เพ่งเล็งน่ะ เอ็งสนใจไหม”
ก้อม
อิ่มนั่งคิดอย่างหนัก ก้อมมองออกว่าอิ่มลังเลจึงเอ่ยขึ้น
“เรื่องส่วนแบ่งที่ได้ ข้าแบ่งเป็นของข้า 60% เพราะข้าลงเงิน ส่วนเอ็งเอาไป 40% เพราะเอ็งลงแรง ส่วนแบ่งที่ได้เอ็งจะได้เอาไปตั้งเนื้อตั้งตัว อีกอย่างนะ เอ็งมีบริษัทของตัวเองแบบนี้โก้ไม่หยอก เตียของไอ้หมวยแฟนของเอ็งจะได้เลิกด่าเอ็งและยกหมวยให้เอ็งไงล่ะ”
คำพูดหว่านล้อมของก้อมทำให้อิ่มคิดถึงหมวย หญิงคนรักลูกสาวเจ้าของร้านกาแฟที่ท่ารถบอกดิก หมวยเป็นลูกสาวคนเล็กของเตี่ยตือที่มีลูกชายชื่อ หมู และ คนเล็กชื่อหมวย เตี่ยตือตั้งใจให้ไอ้หมูสืบทอดกิจการร้านกาแฟที่ท่ารถบอกดิกและจะให้หมวยดูแลห้องเช่าท้ายตลาด
อิ่มกับหมวยรักกันแต่เตี่ยตือไม่เห็นด้วย เพราะอิ่มไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากเป็นแค่หัวหน้าเซลส์แมนเท่านั้น รายได้ก็มาจากค่าคอมมิชชั่นจากการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าซิงเกอร์เท่านั้น ไม่น่าจะมีความมั่นคงอะไร เตี่ยตือจึงกีดกันและรังเกียจอิ่ม
อิ่มทบทวนแล้วก็พยักหน้า “ตกลงวะ คราวนี้ข้าจะได้ทำให้เตี่ยตือกับน้องหมวยภูมิใจเสียที”
อิ่มลุกขึ้นกับมือของก้อมเขย่าเป็นการใหญ่ด้วยความดีใจ
“มีข้อแม้อีกเรื่องที่เอ็งต้องรับปาก” ก้อมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังมาก ๆ
“อะไรวะ”
“ต้องไม่มีใครรู้ว่าข้าคือเจ้าของบริษัทที่แท้จริง รวมทั้งไอ้ข้าวก็ห้ามบอก ทุกคนต้องเข้าใจว่านี่คือบริษัทของเอ็งคนเดียว”
“ทำไมต้องปิดไอ้ข้าวด้วยวะ” อิ่มย้อนถาม
“เอ็งก็รู้ ไอ้ข้าวมันเป็นคนตรง ถ้าข้าตั้งบริษัทเองมันต้องไม่เห็นด้วย มันก็จะให้ข้าเป็นลูกน้องนายแม่ไปตลอดชาติเหมือนมัน คนเรามันต้องรักอนาคตสิวะ ต้องมีกิจการเป็นของตัวเอง คนแบบไอ้ข้าวมันไม่เข้าใจหรอก ว่าแต่เอ็งจะรับปากได้ไหม?”
“ได้สิ....ความลับนี้จะมีแค่เอ็งกับข้าที่รู้”
“งั้นต้องขอแสดงความยินดีกับท่านอิ่มแล้วสิครับ” ก้อมยื่นมือออกจับเป็นเชิงทำสัญญา
อิ่มจับมือก้อมด้วยท่าท่างดีใจเป็นล้นพ้น ความฝันที่จะไปขอน้องหมวยของอิ่มเริ่มมีความหวังแล้ว
อิ่มดีใจจนน้ำตาแทบจะไหล จนไม่ทันได้สังเกตสายตาและรอยยิ้มของก้อมที่ซ่อนอะไรบางอย่างไว้
....
ข้าวเดินมาหาก้อมที่ห้องทำงาน ในมือมีแฟ้มเอกสารสีดำอยู่ และถามขึ้นเมื่อตนเองนั่งอยู่ตรงหน้าก้อมในห้องทำงานของก้อม
“ไอ้บริษัทอิ่มบุญเทรดดิ้งนี่ไว้ใจได้เหรอ?”
ก้อมวางปากกาลง เงยหน้าขึ้นมามองข้าว ก่อนจะยิ้ม
“ไว้ใจได้สิ ข้าตรวจสอบแล้ว มันเป็นบริษัทของไอ้อิ่มไง”
“ไอ้อิ่ม?...ไอ้อิ่มเพื่อนเด็กวัดบอกดิกของเราน่ะเหรอ?...อ้าว...ไอ้อิ่มมันไม่ได้เป็นหัวหน้าพนักงานขายสินค้าซิงเกอร์แล้วเหอร?”
“ก็บริษัทมันเลิกกิจการ มันเลยเอาเงินสะสมมาตั้งบริษัทเองน่ะ” ก้อมอธิบาย
“แล้วมันเคยแต่เป็นลูกจ้างเขา ออกมาบริหารเองมันจะไหวเหรอวะ” ข้าวถามอย่างเป็นห่วง
“ไหวสิ อิ่มมันเป็นหัวหน้าเซลส์นะ มีลูกน้องในคอนโทรลตั้งหลายสิบคน ลูกค้าที่มันรู้จักก็เยอะ มันมาเสนอตัวเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายให้แก่เรา ก็เป็นการดีเสียอีก ได้เปิดตลาดอื่น ๆ เพิ่ม เท่ากับเป็นการช่วยนายแม่นะ”
ข้าว
ข้าวเงียบเหมือนใช้ความคิด ก้อมดูออกว่าข้าวไม่ไว้ใจ จึงหว่านล้อม
“ไอ้ข้าว ตอนนี้เอ็งก็สนิทกับคุณหนูฉัตรมาก ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ เอ็งก็ต้องคิดถึงอนาคตด้วยนะ ถ้ามีผลงานดี ๆ ทำกำไรให้บริษัทของนายแม่ มันจะได้ช่วยเพิ่มแรงสนับสนุนถ้าวันหนึ่งเอ็งจะขอคุณฉัตรแต่งงานนะ”
พอเอ่ยถึงเรื่องฉัตร ใบหน้าอ่อนหวานของฉัตรก็ผุดขึ้นในความคิดของข้าว มันทำให้จินตนาการไปถึงภาพที่ตนเองกับฉัตรอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน นั่งทานอาหารที่โต๊ะด้วยกัน
ก้อมมองท่าทีเหม่อของข้าว เขายิ้มอย่างพอใจ
“ไอ้อิ่มมันเป็นคนดี เป็นคนซื่อ ในพวกเราสามคน หลวงตาเจ้าอาวาสก็บอกว่าถ้าไอ้อิ่มบวชก็ไปไกลถึงเจ้าอาวาส คนแบบมันน่ะมีแต่จะตกเป็นเครื่องมือคนอื่นมากกว่า จะมาหลอกลวงคนอื่นนะ”
ข้าวผงกศีรษะ “จริงด้วยว่ะ งั้นข้าจะเซ็นเอกสารอนุมัติให้บริษัทอิ่มบุญเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของเราก็แล้วกัน”
“ต้องแบบนี้สิวะ เพื่อนต้องช่วยเพื่อน” ก้อมตบไหล่ข้าว
ข้าวหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อตรงช่อง “ผู้อนุมัติ” ในเอกสารสัญญาฉบับนั้น แล้วส่งแฟ้มเอกสารนั้นให้ก้อม
“งั้นเราก็เริ่มส่งสินค้าให้อิ่มบุญเทรดดิ้งได้เลย”
ข้าวยิ้มให้ก้อมก่อนจะเดินออกไป
ก้อมรับเอกสารมาเปิดดูความเรียบร้อย สายตาของเขามองไปที่เอกสารพร้อมกับรอยยิ้ม
พ่อเลี้ยงก้อม
พ่อเลี้ยงก้อมพบว่าเขามาถึงจุดที่มีอำนาจ บารมี ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ที่เขาไม่มีคือเพื่อนรัก มันคุ้มกันหรือ? พ่อเลี้ยงก้อมถามตัวเอง
แต่ความคิดทั้งหมดยุติลงเมื่อ เต้ เบียร์วุ้นกับลูกสมุนเดินกลับเข้ามา และพ่อเลี้ยงก้อมคืนสู่ภาพของชายที่ทรงอำนาจและชั่วร้ายอีกครั้ง
....
ภาพที่พยายามทำตามแผนของก้อม มายเริ่มออกอาการเย็นชาใส่เขาหลายต่อหลายครั้ง ภาพทำเป็นหึงหวงเมื่อมายบอกว่า เธอจะออกไปเที่ยวกับก้อม ทุกอย่างมันน่าจะเริ่มดีแล้ว จะมีติดก็ตรงที่ภาพแทบจะหาโอกาสพบฉัตรไม่ได้เลย ฉัตรยังคงหลบเลี่ยงที่จะได้พบกับเขา
ภาพ เทวารักษ์
เย็นวันนี้ ภาพขับรถเข้าไปที่บ้านนายแม่ เขาไม่พบมาย เด็กรับใช้บอกว่า คุณหนูมายออกไปชอปปิ้งที่สยามสแควร์ยังไม่กลับ ส่วนคุณหนูฉัตรยังทำงานอยู่ที่โรงงานเพราะมีออร์เดอร์สินค้าเร่งอยู่
ภาพมองดูที่ท้องฟ้า เมฆครึ้มตั้งเค้ามาแต่ไกล มองเห็นแสงแล่บแปลบปลายในก้อนเมฆสีเทา “เดี๋ยวฝนคงตกหนัก” เขาคิดในใจ ก่อนจะสตาร์ทรถและขับรถไปที่โรงงาน
เม็ดฝนเริ่มหล่นกระทบกระจกก่อนจะกลายเป็นสายฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย ภาพขับรถเลี้ยวเข้าประตูโรงงานก่อนจะบังคับรถไปจอดที่ลานจอดรถพื้นที่ของสำนักงาน ภาพเปิดประตูกางร่มออกและเดินฝ่าสายฝนไปที่สำนักงานนั้น
แต่ภาพก็ต้องชะงักฝีเท้าลงระหว่างทาง และยืนนิ่งอยู่ใต้ร่มที่ฝนกำลังเทกระหน่ำลงมา
สิ่งที่ภาพเห็นตรงหน้า ทำให้เขาไม่สามารถเดินต่อไปได้
ฉัตรกำลังนั่งทานข้าวอยู่ในห้องทำงาน แต่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะมีผู้ชายอีกคน ข้าว นั่งทานข้าวอยู่ด้วย
ภาพเห็นฉัตรใช้ช้อนตักอาหารให้ข้าว ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ตั้งแต่คบกัน ภาพไม่เคยเห็นสีหน้าที่หัวเราะอย่างสนุกสนานแบบนั้นของฉัตร แต่สีหน้าแบบนั้นของฉัตรเกิดขึ้นกับผู้ชายอีกคนที่ตอนนี้ทั้งสองนั่งทานข้าวกันอยู่ในห้องทำงานของฉัตร
ภาพทิ้งมือลง ร่มในมือหล่นลงพื้น ส่วนตัวเขายืนตากฝนอยู่ตรงนั้น สายฝนเทหนักขึ้นกว่าเดิม หนักจนเหมือนเป็นม่านน้ำกั้นกลางระหว่างระยะทางที่ภาพจะเดินไปถึงห้องทำงานของฉัตร เหมือนกำแพงกั้นระหว่างภาพกับคนที่เขารัก
ภาพเดินถอยออกมาอย่างเลื่อนลอย เขาทิ้งรถไว้ตรงนั้น ก่อนที่เท้าของภาพจะพาภาพเดินออกไปจากตรงนั้น ยามหน้าโรงงานรู้สึกแปลกใจที่เห็นภาพเดินตากฝนออกไป เขาเอ่ยถาม แต่เหมือนว่าภาพจะไม่ได้ยินอะไร ไม่ว่าจะด้วยสายฝนที่ตกลงมาจนไม่ได้ยินคำถาม หรือภาพไม่ต้องการรับฟังใด ๆ
ภาพเริ่มเดินเร็วขึ้น ๆ จนกลายเป็นวิ่งและวิ่งต่อไป เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องวิ่ง ทำไมเขาเจ็บปวดใจมากขนาดนี้ ภาพไม่รู้ว่าที่อยู่บนใบหน้าคือสายฝนที่กระหน่ำลงมา หรือน้ำตาของเขาที่กำลังไหลออกมาพร้อมกับสายฝน ภาพไม่รู้อะไรอีกแล้ว
อย่างเดียวที่ภาพรู้คือ เขาอยากหนี...หนีไปให้ไกลจากตรงนั้น หนีไปจากภาพบาดตาที่เขาเห็น หนีไปจากความรู้สึกพังทลายที่ถาโถมมาพร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำใส่ร่างของเขา
ภาพวิ่งหายไปในความมืดและสายฝน
เพลงประกอบนิยาย "ครึ่งใจ" Original: มิคกี้/Cover: มูฟวี่
....
เสือมุบนั่งมองสายฝนอยู่ที่หน้ากระท่อมเล็ก ๆ ของตัวเอง วันนี้ฝนตกหนักเหมือนเช่นวันนั้น ทุกครั้งที่ฝนเทกระหน่ำแบบนี้ เสือมุบหวนคิดถึงวันที่เขาเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ภาพเคยเสียใจไปแล้วครึ่งหนึ่งกับการที่ฉัตรห่างเหิน หมางเมิน แต่ลึก ๆ ก็คาดหวังว่าหลังจากทำตามแผนของก้อมทุกอย่างจะดีขึ้น แต่มันสายเกินไป หัวใจอีกครึ่งของเขาต้องแหลกสลายไปในคืนฝนกระหน่ำในวันนั้น
เสือมุบจำได้ว่าเขาวิ่งตากฝนจนหมดแรงล้มตัวลงนอนคว่ำกับพื้น เขาไม่รู้สึกตัวอีก รู้แต่ตัวเองตัวร้อน หนาวสั่น และไม่อยากขยับไปไหนอีกแล้ว
รถจิ๊บคันหนึ่งจอด และมีคนมาพยุงเข้าขึ้นไปนั่งบนรถ นั่นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบ
“ยังคิดถึงวันนั้นอยู่อีกเหรอ?” หนังเอ่ยถามขึ้น
“ใช่..” เสือมุบตอบน้ำเสียงเจือความเจ็บปวด
“ตอนนั้นถ้าพี่ไม่ผ่านไป ผมก็คงนอนตากฝนตายอยู่ตรงนั้น”
หนัง มิติคือคนที่อยู่บนรถจิ๊บในคืนนั้นและพยุงภาพขึ้นรถก่อนจะพาไปส่งที่โรงพยาบาลแถวปทุมธานี ภาพตัวร้อนเป็นไข้และไม่ได้สติไปหลายวันก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา
หลังจากพักฟื้นจนมีแรง ภาพให้คนไปส่งโทรเลขถึง หมอเทพ เทวารักษ์ ใจความสั้น ๆ
“สบายดี เดินทางไกล แล้วจะส่งข่าว”
สั้น ๆ แค่นั้น เพื่อไม่ให้ทางบ้านต้องเป็นห่วง
โทรเลขจากภาพ เทวารักษ์ถึงหมอเทพ เทวารักษ์
ภาพหายไปหลายปี ในที่สุดภาพเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ถูกย้ายไปประจำการในพื้นที่ป่าสงวนใกล้กับเทือกเขาบอกดิก ซึ่งถ้าตัดป่าลึกเข้าไปมันก็คือป่าพยนต์ที่เขาอยู่ในตอนนี้ พื้นที่ป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ และสัตว์ป่าสงวนนานาชนิด
ภาพใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ และสัตว์ป่าเสมือนกำลังใช้ธรรมชาติเยียวยาหัวใจของตัวเอง ที่มันแหลกสลาย เขาทิ้งทุกคนในชีวิตไว้ที่กรุงเทพ นาน ๆ ครั้งที่จะโทรเลขกลับไปก็เพียงแค่ให้ได้รับรู้ว่า เขายังมีชีวิตอยู่ ภาพไม่อยากกลับไปที่ ๆ เขาคุ้นเคย ผู้คนที่เขาคุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ฉัตรปวีร์’ รักเดียวในชีวิตของภาพ
ภาพ เทวารักษ์ ป่าไม้หนุ่มไฟแรงที่ชนดะกับนายทุนค้าไม้เถื่อน, นักธุรกิจที่แอบมาล่าสัตว์ป่าสงวน ภาพแทบจะถูกหมายหัวจากผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีอิทธิพลรายใหม่ที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ป่าพยนต์ ผู้มีอิทธิพลคนนั้นชื่อ
“พ่อเลี้ยงก้อม”
ภาพ หรือ เสือมุบในเวลานี้ นั่งมองฝนที่เทกระหน่ำลงมา ในขณะที่เด็กผู้หญิงอีกคนมองไปที่เงาหลังของเขาด้วยสายตาที่เจ็บปวดเช่นกัน
ไม่มีใครฝ่ากำแพงที่กั้นใจของเสือมุบเข้าไปได้
“ตัดใจเถอะวะกร เอ็งก็รู้ว่าภาพ...เสือมุบไม่มีทางรักใครได้อีก” หนัง มิติ ที่กำลังจะเดินผ่านรกรเอ่ยขึ้น
รกร
“หนูก็รู้นะ...แต่...” รกรไม่เอ่ยอะไรอีก
....
เย็นวันหนึ่งที่ตอนนั้นรกรอายุเพิ่งจะสิบสี่ วิ่งหนีเตลิดไปตามทุ่งนา โดยมีพ่อเลี้ยงของเธอวิ่งไล่ตาม รกรสะดุดรากที่โคนต้นไม้ก่อนจะล้มคะมำ เด็กสาวพยายามจะลุกขึ้นแต่ข้อเท้าเธอพลิกและเดินไม่ได้ พ่อเลี้ยงตามมาถึง
พ่อเลี้ยงของรกร
สายตาของพ่อเลี้ยงคลุ้มคลั่งคล้ายคนเมายา กลิ่นเหล้าคละคลุ้งจนต้องปิดจมูก มันตรงปรี่เข้าไปกดทับร่างของรกรไว้ เธอร่ำร้องขอความช่วยเหลือ มืออันหยาบกร้านของพ่อเลี้ยงตะปบลงบนเสื้อและฉีกกระชากออก เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียน พ่อเลี้ยงตาลุกวาว อาการกำหนัดทะลุขึ้น โถมหน้าลงฟัดใส่รกร
รกรร้องไห้ กรีดร้องด้วยความตื่นกลัว แต่แล้ว...ร่างของพ่อเลี้ยงหื่นกามนั้นก็ลอยออกจากร่างของรกรก่อนจะปลิวกระเด็นไปไกล
ผู้ชายคนหนึ่งกระชากร่างของพ่อเลี้ยงก่อนจะเหวี่ยงไปอีกทาง
พ่อเลี้ยงคนนั้นลุกขึ้นมาได้ก็คว้าท่อนไม้ที่อยู่ข้าง ๆ ปรี่เข้าไปหมายจะฟาดผู้ชายคนนั้น
เสียงปืนดังขึ้น
กระสุนปืนเจาะทะลุมือของพ่อเลี้ยง มันทรุดตัวลงร้องลั่นป่า
เสือมุบ
ผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไร เขาเดินตรงมาถอดเสื้อตัวนอกออก และคลุมร่างของรกรไว้ ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นและเดินออกไปจากตรงนั้น
ผู้ชายที่ช่วยรกรไว้คือ ภาพ เทวารักษ์ หรือ เสือมุบ
ตั้งแต่วันนั้น รกรไม่ได้กลับไปที่บ้านของเธออีก เธอรู้ดีว่าถ้ากลับไปไม่ช้าเร็วก็ต้องถูกพ่อเลี้ยงข่มขืน มันแสดงอาการแบบบนั้นมาตลอดนับตั้งแต่แม่ของรกรได้จากไปได้ไม่กี่สัปดาห์ รกรไม่อยากอยู่อย่างขวัญผวาแบบนั้นอีก
รกร
เธอเป็นสมาชิกคนล่าสุดที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านป่าพยนต์แห่งนี้ ที่ ๆ มีแต่ความสุขสงบ ผู้คนรักใคร่กัน เป็นชุมชนเล็ก ๆ รกรสนิทสนมกับ อร ภรรยาของไร้ ท่าแร้ง และชอบมาเล่นกับน้องสตางค์ลูกสาวของไร้
รกรรู้ดีว่าในสายตาของเสือมุบ เธอเป็นได้แค่น้องสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เธอหรืออาจจะผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านกำแพงที่ชื่อ ฉัตรปวีร์ ในใจของเสือมุบได้เลย
ณ สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งในป่า
ในห้องประชุมแห่งหนึ่งที่ลึกลับผนังทุกด้านเป็นสีเทาเข้ม ในห้องประชุมที่มืดสนิท เพียงไฟที่ส่องลงมาจากเพดานเหนือศีรษะของมิสเตอร์ท็อป เหลียง ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เบื้องหน้าตนเองมีอุปกรณ์วิทยุสื่อสารอยู่ มิสเตอร์ท็อปหมุนขยับซ้าย-ขวาสักครู่ก็มีเสียงบิ๊ป...บิ๊ป...ดังขึ้น
“พร้อมรับคำสั่งแล้วครับ” มิสเตอร์ท็อปตอบไปที่ไมโครโฟน
เสียงอู้อี้ดังตอบกลับมา “ดำเนินการตามแผนไปถึงไหนแล้ว”
“อยู่ระหว่างรวบรวมนักธุรกิจที่จะเข้ามาทำงานให้เราครับ”
เสียงอู้อี้ตอบกลับมา “รีบดำเนินการ เราต้องใช้เฮโรอีนมอมเมาทุกคนให้ตกเป็นทาสของมัน เพื่อจะได้ยึดครองประเทศไทยไว้ อย่าลืมว่าทำไมถึงต้องเลือกที่นี่เป็นฐานลับในปฏิบัติการนี้”
“ครับ บ้านบางบอกดิก อยู่ไกลจากหูตาหน่วยงานความมั่นคง ด้านภูมิศาสตร์มีแนวป่าและหุบเขาล้อมรอบ มีเส้นทางธรรมชาติให้หลบหนีจากจุดสกัดได้หลายเส้นทาง และยังสามารถทะลุไปประเทศเพื่อนบ้านได้อีกสองประเทศ ที่นี่ยังมีฐานทัพลับของกองทัพญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่เราสามารถนำมาใช้เป็นที่สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อีกด้วย”
“ถูกต้อง เราต้องบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศนี้ให้สำเร็จ เราจะเอาเงินจากเฮโรอีนไปซื้อนักการเมืองของประเทศนี้ให้เป็นคนของเรา และทำตามที่เราสั่ง ถ้าเข้าใจตรงกันก็รีบดำเนินการตามแผน จำไว้ว่าใครที่ขัดขวางแผนการของเราต้องถูกกำจัดทั้งหมด”
มิสเตอร์ท็อปเหลียงรับคำและเอ่ยขึ้น
“เมื่อหลายวันก่อน กองกำลังลับของเราหายไปในป่าลึก ซันเจิ้นไปตรวจสอบแล้วพบเบาะแสครับ”
“เบาะแสอะไร?” ปลายสายถามกลับ
“มีร่องรอยการต่อสู้ แต่ไม่พบอะไร กระทั่งซันเจิ้นไปพบศพคนของเรานอนจมอยู่ในบ่อโคลนหนึ่งคน มีบาดแผลถูกยิงบนอกสามนัด”
“เป็นพวกตชด.รึเปล่า?”
“ไม่ใช่แน่ครับ เพราะซันเจิ้นเชื่อว่ามีการกลบเกลื่อนร่องรอยประมาณหนึ่งไว้ น่าจะเป็นโจรป่ามากกว่า”
“โจรป่า? โจรป่าทั่วไปไม่มีทางต่อสู้กับทหารรับจ้างของเราได้ง่าย ๆ แบบนั้น ไปสืบหาให้ได้ว่าเป็นพวกไหน ทางนี้จะส่งกำลังเสริมไปช่วยโดยเร็ว”
“ท่านจะส่งใครมาครับ?”
“เจ.ที.”
ปลายสายตอบมาก่อนจะตัดเสียงไป พอดีกับซันเจิ้นเดินนำหน้าเข้ามา โดยมีชายอีกคนท่าทางคล้ายนักธุรกิจเดินตามเข้ามา และปิดท้ายด้วยชายหน้าตาเย็นชาไร้ความรู้สึกปิดท้ายอีกสองคน
ชายนักธุรกิจคนนั้นถูกพาตัวมายืนอยู่ตรงกลางห้องประชุมอันเป็นพื้นที่โล่ง บนพื้นถูกปูไว้ด้วยพลาสติกห่อของขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง
มิสเตอร์ท็อปเปิดสวิทช์ไฟในห้องประชุมสว่าง ด้านหลังของมิสเตอร์ท็อปเหลียงมีตัวอักษร FB ฝังอยู่บนผนังห้องด้านหลังของมิสเตอร์ท็อป
มิสเตอร์ท็อป เหลียง
“มิสเตอร์อุดม ตกลงจะเข้าร่วมองค์การของเราหรือไม่” มิสเตอร์ท็อปถามขึ้น
“ไม่...ผมไม่มีวันจะไปร่วมมือกับพวกบ่อนทำลายชาติแบบพวกคุณ” อุดมตอบอย่างหนักแน่น
“ผมอยากให้มิสเตอร์อุดมพิจารณาเงื่อนไขที่ ‘ฟูบุกุ’ เสนอ ถ้าคุณยอมให้เราใช้สาขาของคุณในการฟอกเงิน จะมีกระแสเงินสดหมุนเวียนในธนาคารของคุณเป็นจำนวนมากนะ คนที่จะได้รับประโยชน์ส่วนต่างก็คือมิสเตอร์อุดมนะ”
“ไม่มีทาง ผมจะไม่ยอมให้พวกต่างชาติแบบคุณใช้สาขาของผมเป็นทางผ่านเงินสกปรกเด็ดขาด”
“ไม่เปลี่ยนใจ?” มิสเตอร์ท็อปถามในขณะที่ตัวเองกำลังสำรวจมือของตัวเอง เหมือนจะรู้คำตอบของอุดม
“ไม่มีทาง ผมไม่ใช่พวกขายชาติ”
“เข้าใจแล้ว เป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตกลงทำธุรกิจร่วมกัน” มิสเตอร์ท็อปตอบ และหันมาผงกศีรษะให้ซันเจิ้น
ซันเจิ้นพยักหน้ารับ สะบัดมือหนึ่งครั้งมีดาบตันโตะ***ที่ซ่อนในแขนเสื้อหล่นมาอยู่ในมือของซันเจิ้น
(***ดาบตันโตะ เป็นดาบญี่ปุ่น (คาตานะ) ประเภทหนึ่ง ที่มีความยาวไม่เกิน 30 ซ.ม. เป็นดาบประจำตัวขององครักษ์ที่พกไว้เพื่อใช้พิทักษ์เจ้านายของตัวเอง/อ้างอิงจาก: 9 Samurai.com)
ซันเจิ้นตวัดมือครั้งคมดาบบาดคอหอยของอุดม ก่อนจะพลิกดาบจ้วงแทงเข้าตำแหน่งหัวใจของอุดม
ทันทีที่ชักดาบออก โลหิตก็ฉีดพุ่งออกจากอกของอุดม ทั่วร่างของอุดมฉาบไปด้วยเลือดสีแดงสดของตัวเอง อุดมไม่ทันได้ร้องออกมา ส่วนมือกุมที่หน้าอกตัวเองทรุดร่างล้มคว่ำลงบนพลาสติกใสผืนใหญ่ โลหิตไหลนองเต็ม
ซันเจิ้น
ชายหน้าตาเรียบเฉยสองคนวิ่งไปยืนสุดของพลาสติกใสก่อนจะกระตุกขึ้นแล้วเอามาห่มคลุมร่างของอุดมาอย่างคล่องแคล่ว ชั่วครู่ศพของอุดมถูกห่อหุ้มไว้ในพลาสติก ไม่มีเลือดไหลนองบนพรมที่ปูเหนือพื้นห้องประชุม
“แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าพรมจะเลอะเลือด” มิสเตอร์ท็อป เหลียงเอ่ยก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุม โดยมีซันเจิ้นเดินตามไปติด ๆ
....
รถยนต์โตโยต้าพี่หมวดอติขับกำลังขับอยู่บนถนนทางหลวงชนบทที่สองข้างทางเต็มไปด้วยแนวป่า
แต่ฉับพลันหมวดอติก็ต้องเหยียบเบรกจนรถหยุดอย่างกะทันหัน
นั่นเพราะ มีรถหกล้อคันหนึ่งพุ่งออกมาจากแนวป่าตัดหน้ารถของหมวดอติ ถ้าเหยียบเบรกช้าอีกนิดก็คงประสานงานกัน คงได้มีไถลลงข้างทางกันบ้าง
“อะไรของมันวะ” หมวดอติบ่นออกมา “มันโผล่มาจากในป่าได้ไงเนี่ย แถมปาดหน้าเราอีก”
ผู้กองวีกิจ หลิว นั่งนิ่งเงียบ สายตาจับจ้องรถคันนั้น ก่อนจะเหลียวไปทางด้านซ้ายที่เป็นแนวป่าที่รถคันดังกล่าวเพิ่งขับออกมา
ผู้กองวีกิจ หลิว
“อติจำทะเบียนรถได้ไหม?” วีกิจถามขึ้น
“ไม่ทันได้สังเกตครับ” หมวดอติตอบพลางยิ้มแหย ๆ
“รถคันนั้นใช้โคลนทาทับทะเบียนรถไว้ ไม่เห็นหรอก แต่ลักษณะรถ สี เป็นรูปแบบรถทั่วไป น่าจะตามรอยได้ยาก”
วีกิจเปิดประตูรถแล้วเดินลงมาหยุดตรงรอยล้อรถที่แล่นออกมาจากแนวป่า เขานั่งลงพลางกวาดสายตาดูรอบ ๆ บริเวณ
มันปรากฏร่องรอยล้อรถวิ่งไปมามีทั้งรอยใหม่ล่าสุด และรอยเก่าที่จางแล้ว แต่เมื่อพิจารณาดูน่าจะมีการเข้าออกตามเส้นทางนี้บ่อยครั้ง นั่นเพราะวีกิจพบว่าแนวกิ่งไม้ลึกเข้าไปลู่ไปตามแนวที่ตัวรถวิ่งผ่าน จนเหมือนเป็นทางใช้อยู่ประจำ
วีกิจเดินกลับมาที่รถ และสั่งอติหลังจากขึ้นรถ
“เลี้ยวรถเข้าไปดูกันหน่อยดีกว่า ผมสงสัยอะไรบางอย่าง”
หมวดอติ เพาะสุข
อติประหลาดใจ แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่ง ค่อย ๆ บังคับรถเลี้ยวเข้าไปตามทางที่รถหกล้อคันนั้นวิ่งออกมา
จากลักษณะสองข้างทางมันไม่น่าจะเป็นทางที่ทำไว้เพื่อให้รถผ่านเข้าออก แต่ถูกใช้งานเป็นประจำ อติขับรถด้วยความระมัดระวัง และพารถลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวีกิจสั่งให้หยุด
เบื้องหน้าเป็นป่าที่ไม่สามารถจะบุกฝ่าเข้าไปได้อีก วีกิจลงจากรถ แล้วเดินสำรวจรอบ ๆ คล้ายค้นหาอะไรบางอย่าง
และในที่สุดวีกิจก็เห็นอะไรบางอย่างจริง ๆ
ต้นหญ้าตามพื้นที่ล้มเอนเป็นรอยลากอะไรบางอย่างหายเข้าไปในดงไม้ วีกิจดึงปืนแม็กกาซีน โคล์ท 1991A1 ออกจากซองปืนที่เหน็บอยู่ใต้รักแร้ อติเหมือนรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ดึงปืนพกลูกโม่ออกจากซองที่คาดอยู่บริเวณเอว
Colt M1991A1
วีกิจเดินตามรอยนั้นไปโดยมีหมวดอติเดินตามด้านหลัง ทั้งสองระแวดระวังให้กัน ทั้งสองเดินตามรอยลากนั้นเข้าไปกระทั่งมันสิ้นสุดลง เบื้องหน้าของทั้งสองเป็นหลุมใหญ่ขนาด ๆ น้อง ๆ ของบ่อพักขยะ
แต่เมื่อมองลงไปเบื้องล่างของหลุมนั้น ร่างของทั้งสองก็ต้องสะท้านอย่างเหน็บหนาว
มันเป็นหลุมที่ถูกขุดเพื่อใช้เผา และใต้ก้นหลุมคือบรรดาโครงกระดูกจำนวนไม่น้อยที่เป็นเศษซากที่หลงเหลือจากการเผา เหมือนมีคนตั้งใจจะเผาอะไรบางอย่าง แต่ที่ทำให้ต้องเหน็บหนาวขนลุกก็เพราะ
“หัวกะโหลกมนุษย์!”
วีกิจใช้สายตากวาดดูคร่าว ๆ เขาพบว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 15 หัวกะโหลก นั่นหมายถึงมีมนุษย์ 15 คนที่ต้องถูกเผาอยู่ในหลุมแห่งนี้
“นี่มันอะไรกันครับผู้กอง”
อติปาดเหงื่อพร้อมสีหน้าซีเผือด เขาเป็นตำรวจมาได้หลายปี แต่ไม่เคยพบเห็นโครงกระดูกและกะโหลกมนุษย์เยอะขนาดนี้
“น่าจะเป็นการเผาอำพรางศพนะ” วีกิจแสดงความเห็น
“งั้นเรากำลังจะเจอคดีฆาตกรรมเหรอครับ?” อติย้อนถามอย่างตกใจ
“บางที...” วีกิจยังไม่ทันตอบอะไรเสียงปืนก็ดังขึ้น กระสุนปืนถากตัวของวีกิจไปโดนกิ่งไม้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
ทั้งสองรีบกระโจนเข้าหาที่กำบังทันที
วีกิจโดดไปหลบหลังต้นไม้ ในขณะที่อติโดดหมอบลงกับพื้นก่อนจะกลิ้งไปหลบหลังก้อนหินใหญ่
กระสุนปืนยิงใส่ต้นไม้ที่วีกิจยืนหลบอยู่ด้านหลัง ส่วนกระสุนอีกชุดยิงเฉียดศีรษะของอติไปหวุดหวิด
วีกิจจำแนกทิศทาง พบว่ากระสุนปืนถูกยิงออกมาจากคนสองคน แต่ตำแหน่งที่ยืนแทบจะมาจากทิศทางเดียวกัน แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามยืนเกาะกลุ่ม
วีกิจใช้ภาษามือชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นให้อติเห็น ก่อนจะใช้นิ้วทั้งสองชี้ไปยังทิศทางที่ฝ่ายตรงข้ามอยู่
อติผงกศีรษะ และเริ่มเป็นฝ่ายยิงตอบโต้ออกไปทีเดียวสามนัด
ขณะเดียวกันวีกิจก็กระโจนออกไปทางด้านขวามือของตัวเองที่เป็นแนวหินยาว ทันทีที่โดดไปหลบตรงนั้น วีกิจก็ซัดกระสุนเข้าใสฝ่ายตรงข้ามรวดเดียว 6 นัด
เสียงร้องดังขึ้น และเสียงวิ่งสวบ ๆ ไกลออกไป
อติเมียงมองออกมาจากด้านหลังของก้อนหิน ไม่พบเห็นการยิงตอบโต้อีก หันมาทางวีกิจเป็นเชิงถาม
วีกิจ
วีกิจเล็งปืน และยิงออกไปอีกสามนัด ทุกอย่างเงียบ เขาหันมาที่อติใช้ภาษามือบอกว่า ตนจะบุกก่อน และให้อติตามหลัง
อติพยักหน้าอย่างเข้าใจ
วีกิจพยักหน้า ก่อนวิ่งสลับซ้ายขวาไปหลบหลังต้นไม้ที่เรียงราย เช่นเดียวกับอติ
ทุกอย่างเงียบไม่มีการตอบโต้อีก วีกิจพบว่ารอยเลือดบนพื้นหญ้าหยดเป็นทาง
วีกิจคล้ายฉุกใจคิด รีบสั่งอติ “คนร้ายกำลังหนี เร็ว....”
วีกิจรีบวิ่งไปตามทางเดิม จนมาถึงรถของอติที่สภาพรถเวลานี้ หน้ากระจกหน้ารถแตกยับ ยางทั้งสี่ล้อแบนสนิท และมีรอยล้อรถใหม่เพิ่งบดไปตามพื้นหญ้า วีกิจสังเกตดูพบว่าขนาดล้อเป็นขนาดเดียวกัน
อติวิ่งตามออกมาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเข่าอ่อนเมื่อเห็นสภาพารถของตัวเอง แล้วก็หันมาทางวีกิจ
อติ
“มันเป็นพวกไหนครับผู้กองถึงซุ่มยิงเรา”
“น่าจะเป็นพวกรถบรรทุกคันนั้นที่มันคงย้อนกลับมา เพราะสงสัยว่าทำไมเราไม่ขับรถตามมันไป และมันน่าจะเป็นคนร้ายที่เกี่ยวข้องกับโครงกระดูกมนุษย์ที่เราพบในหลุมนั้น”
“แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรดีครับ?” อติตามขึ้น
วีกิจมองสภาพรถแล้วยิ้มแห้ง ๆ “คงต้องเดินออกไปถนนด้านนอกก่อน แล้วก็หวังว่าจะมีรถผ่านมา”
....
วีกิจกับอติที่เวลานี้เดินอยู่บนถนนชนบท พวกเขาเดินมาได้สักสิบห้านาทีแล้วแต่ก็ยังไม่มีรถผ่านมาเลย กระทั่งได้ยินเสียงรถดังแว่วมาจากด้านหลังของทั้งสอง เมื่อหันกลับไปมองเห็นรถสองแถวคันหนึ่งวิ่งปุเลง ๆ มาแต่ไกล
อติรีบโบกมือเป็นเชิงให้รถหยุด วีกิจเอ่ยสั่งอติว่า
“อติ คุณอย่าพูดเรื่องเมื่อครู่นะ ผมไม่อยากให้ชาวบ้านตกใจ เดี๋ยวสถานที่เกิดเหตุจะมีปัญหาได้ เรายังต้องกลับมาแกะรอยกันอีกครั้ง ให้บอกว่ารถเราเสียก็แล้วกัน”
รถสองแถวเริ่มชะลอและหยุดลง คนขับรถสองแถวชะโงกหน้าออกมาถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณ มาเดินกันกลางทางแบบนี้”
อติยิ้ม “รถผมเสียครับ รออยู่พักหนึ่งไม่มีรถผ่านมาเลยคิดว่าจะเดินไปเรื่อย ๆ เผื่อเจอบ้านใครจะได้ขอความช่วยเหลือครับ
“โอ๊ย...แถวนี้มันป่านะคุณ ไม่มีบ้านใครมาปลูกหรอก กลัวถูกโจรป่าปล้นฆ่า ใกล้สุดก็ต้องในตัวเมืองบอกดิกนั่นล่ะ นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว ถึงเข้าไปในตัวเมืองก็คงอู่คงปิดแล้ว”
“งั้นพวกผมพอจะติดรถไปลงที่นั่นได้ไหมครับ”
“ได้สิ...นี่มันรถโดยสารนะคุณ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” คนขับรถยิ้มให้ “ขึ้นด้านหลังได้เลย”
อติและวีกิจรีบสาวเท้าไปขึ้นที่ด้านหลังรถสองแถว เมื่อหาที่นั่งได้วีกิจพบว่าเขานั่งอยู่ตรงข้ามกับหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง
หญิงสาวมผมยาวสลวยสีดำ นัยน์ตาสีดำวาวกำลังจับจ้องมาที่พวกของวีกิจ
วีกิจยิ้มและผงกศีรษะให้เป็นเชิงทักทาย หญิงสาวยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
ปิ้กที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกประหลาดใจที่มีชายแปลกหน้าสองคนมาเดินท่อม ๆ อยู่บนถนนเปลี่ยวเต็มไปด้วยป่าแบบนี้
ปิ้ก
อะไรบางอย่างของผู้ชายหน้าตาดี ดูเท่ และดูเหมือนจะเป็นคนจีน แต่ดูบางมุมก็มีความคล้ายคนไทยเช่นเดียวกัน
ปิ้กนั่งใช้สายตาสำรวจวีกิจจนเธอพบว่าอีกฝ่ายก็มองมาที่เธอ จนปิ้กเกิดอาการเขินหน้าแดง ต้องรีบเบนสายเบี่ยงตัวหันหน้ามองออกไปด้านนอก ทำทีเป็นชมนกดูไม้
ก่อนจะชำเลืองมาอีกครั้ง และสายตาของเธอก็ปะทะกับวีกิจอีกครั้ง แต่คราวนี้ทั้งปิ้กและวีกิจทำอาการคล้าย ๆ กัน ด้วยการแกล้งมองไปที่อื่น
อติสังเกตเห็นอาการของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามและผู้กองหนุ่มของเขาที่นั่งอยู่ด้านขวาของตัวเองก็อดอมยิ้มและหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
วีกิจหันมาถามเสียงแข็ง “อติ คุณหัวเราะอะไร?”
“เปล่าครับ...ผมนึกอะไรดี ๆ ได้ก็มีความสุขครับ เพราะความสุขอยู่รอบตัวเราครับ” อติตอบ
“พิลึกคน” วีกิจบ่นขึ้น
รถสองแถวจอดสนิทที่ท่ารถบอกดิก ในเวลาเดียวกับที่ตะวันกำลังจะลับหายไปตามแนวสันเขา
ผู้โดยสารบนรถทยอยกันเดินลง ปิ้กลุกขึ้นพลางประคองคุณยายคนหนึ่ง เวลาเดียวกับวีกิจที่ลุกขึ้นและประคองคุณยายอีกข้าง ชายหนุ่มหญิงสาวสบตาให้กันแวบหนึ่ง คราวนี้ไม่เขิน
คุณยายที่ถูกขนาบข้างด้วยชายหนุ่มหญิงสาวถูกประคองลงจากรถ และหันมาให้ศีลให้พรแก่ทั้งสองคน
“ขอให้จำเริญ จำเริญนะ พ่อคุณแม่คุณ”
ปิ้กยกมือไหว้รับพร ทำให้วีกิจที่เป็นลูกครึ่งต้องยกมือไหว้ตามแบบงง ๆ
ปิ้กเหมือนดูออก เธอจึงเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ
“Can you speak English?”
ผู้กองวีกิจ หลิว
วีกิจยิ้มผงกศีรษะ และตอบว่า “ผมพูดไทยได้ครับ คุณแม่เป็นคนไทย”
ปิ้กหน้าแดงรีบยิ้มแก้เขิน
“ขอโทษค่ะ นึกว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน”
“คุณพ่อผมเป็นคนฮ่องกง ส่วนแม่เป็นคนไทยครับ ผมเกิดและโตที่นี่ก่อนจะย้ายไปอยู่กับคุณพ่อที่ฮ่องกงครับ”
วีกิจอธิบาย พลางสงสัยตัวเองทำไมเขาต้องบอกกับหญิงสาวแปลกหน้าด้วยนะ
ปิ้กผงกศรีษะ “เมื่อสักครู่คุณคงสงสัยว่าทำไมปิ้กยกมือไหว้ใช่ไหมคะ?”
“ครับ”
“มันเป็นวัฒนธรรมไทยที่คนเฒ่าคนแก่ให้ศีลให้พรแก่เรา เราควรรรับพรด้วยการไหว้เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองค่ะ”
“งดงามมากครับ” วีกิจเอ่ยขึ้น
ปิ้กเห็นสบช่องจึงถือโอกาสถามถึงสาเหตุที่ชายแปลกหน้าสองคนมาเดินอยู่กลางป่า วีกิจบอกกับเธอว่ารถพวกเขาเสีย และเขาเลยเข็นไปจอดหลบข้างทางไว้ก่อน ตั้งใจจะมาตามช่างไปซ่อม
พอดีกับอติหายไปพักหนึ่งเดินกลับมาสมทบ
“เอ่อ...พี่วีครับ ผมถามคนแถวนี้แล้ว เขาบอกว่าอู่ปิดแล้วต้องรอพรุ่งนี้ครับ เราคงต้องหาที่พักครับ”
วีกิจหันมากล่าวกับปิ้ก
“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำตัวเอง ผมชื่อวีกิจ หลิวครับ ส่วนนี่เพื่อนผม อติ เพาะสุข ครับ”
ปิ้ก
“ปิ้กค่ะ...เรียกสั้น ๆ ว่า ปิ้ก ก็แล้วกันค่ะ” ปิ้กยิ้ม ๆ โดยสงวนที่จะบอกชื่อจริง
“คุณปิ้กพอจะแนะนำที่พักให้พวกผมได้ไหมครับ”
ปิ้กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “พี่เอก น่าจะช่วยได้ค่ะ”
“พี่เอก?...เขาเป็นเจ้าของโรงแรมเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ...พี่เอกเป็นเจ้าของร้านชื่อ “อวดของ” ใคร ๆ ที่บางบอกดิกรู้จักกันในนาม “เอก อวดของ”"
“เอก อวดของ? แล้วเขาจะหาที่พักให้ผมได้เหรอครับ” วีกิจยิ่งงงกว่าเดิม
“สั่งมา เราหาให้" คือ สโลแกนของร้านพี่เอกค่ะ แค่นี้พี่เอกหาให้ได้แน่นอน”
ปิ้กยิ้มพร้อมสีหน้าจริงจัง “เดี๋ยวปิ้กพาไปค่ะ”
วีกิจกับปิ้กเดินคุยกันไปตลอดทางโดยมีอติเดินอมยิ้มอยู่ด้านหลัง
โปรดติดตามตอนต่อไป
หลังกล้อง “บางบอกดิก” ตอนที่ 12
ตอนที่แล้วหลายคนทั้งรักทั้งเกลียดพ่อเลี้ยงก้อม ไอ้เพื่อนเลว และสุดยอดคุณพ่อกันไปแล้ว มาถึงตอนนี้คนอ่านจะได้เห็นความเลวของเขาที่เพิ่มขึ้น ๆ เรื่อย ๆ โดยมีตัวละคร ไอ้อิ่ม หรือ มหาอิ่ม ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คงยังจำกันได้ว่ามหาอิ่มมีส่วนรู้เห็นเรื่องพ่อแม่แท้จริงของปิ้ก และทำไมมหาอิ่มถึงกลัวผู้ใหญ่ข้าวเป็นนักเป็นหนาทุกอย่างจะเปิดเผยในเร็ว ๆ นี้
ผมอยากให้คนอ่านรู้สึกเสียใจไปกับภาพ เทวารักษ์ ผมไม่แน่ใจว่าฉากที่ผมเขียนมันจะทำให้คอ่านสัมผัสได้เหมือนที่ผมตั้งใจรึเปล่า แต่ส่วนหนึ่งมีแรงบันดาลใจจาก MV เพลงครึ่งใจ ที่ผมตั้งใจว่าจะต้องใช้เพลงนี้ในฉากนี้เลย หลายคนอาจจะเคยฟังเวอร์ชั่นต้นฉบับที่มิคกี้เป็นคนร้อง และบางคนน่าจะเคยฟังเวอร์ชัน Cover ที่มูฟวี่เป็นคนร้อง (แอบร้องไว้ก่อน กะจะเอามาลงในฉากนี้เลย) ผมเลยขออนุญาตเอามาใส่ในฉากนี้ด้วยครับ เพลงนี้น่าจะสะท้อนความรู้สึกของภาพที่เขาต้องเสียหมดทั้งใจไปในที่สุด และมันนำไปสู่การหายไปจากชีวิตของฉัตร และตอนนี้คนอ่านคงรู้เลา ๆ แล้ว ใครคือตัวการที่ทำให้ภาพกลายเป็นผู้ต้องหา และผลักให้เขากลายเป็นโจรป่าไปในที่สุด
ผมพยายามทำให้คนดูเห็นภาพของเสือมุบชายผู้มีรักฝังใจจนเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ นี่คือตัวละครที่ผมต้องปรับเปลี่ยนมากที่สุด เพราะเดิมมันไม่ได้ถูกวางด้วยแคแรกเตอร์ของผม แต่พอกลายมาเป็นผม ก็ต้องดึงบางอย่างที่เป็นตัวผมออกมาในหลาย ๆ แง่มุม ผมอยากให้เขาเป็นตัวแทนของคนที่เก่งไปหมด แต่ไปไม่รอดเรื่องที่ควรจะก้าวข้ามไปได้ มันน่าลุ้นต่อว่าอะไรจะพาเขาออกไปจากสภาพแบบนี้
หลังจากเปิดตัวผู้กองวีกิจ หลิว และหมวดอติ เพาะสุข ที่กำลังขับรถไปบ้านบางบอกดิก ในตอนนี้เราจะได้เห็นช่วงเวลาของเขาสองคน และทักษะการเป็นตำรวจแนวแบบ CSI ของผู้กองวีกิจ ซึ่งเราจะไม่ได้เห็นในหนังไทยยุคนั้น และไม่ได้เห็นจากตำรวจไทยในยุค 40-50 ปีก่อนด้วย แต่ผู้กองวีกิจเป็นตำรวจสากล ผมว่าเขาน่าจะได้รับการฝึกเกี่ยวกับนิติวิทยาศาสตร์มาบ้างน่าจะดี และจะดูสมจริงขึ้น และวีที่เก่งไปเสียหมดตามที่ซาเล้งไป น่าจะเหมาะกับการเป็นตำรวจกึ่ง CSI
หมวดอติก็ได้โชว์ฉากบู๊ และมุมมองแบบ “เพราะความสุขอยู่รอบตัว” ตามสไตล์น้องติแอดมินเพจ
ผมหวังว่าฉากที่เขาแกะรอยไปจนพบหลุมกระดูกมนุษย์มันจะได้อารมณ์แบบเราดูหนังฆาตกรต่อเนื่อง เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่มาทดลองเอามาใส่ในนิยายนี้
ในตอนนี้จะมีการเปิดตัวองค์กรร้ายที่อยู่เบื้องหลังของมิสเตอร์ท็อป องค์กรร้ายที่มีตัวอักษร FB และถูกเรียกขานว่า “ฟุบุกุ (FUBUKU) คงไม่ต้องบอกมั้งว่านัยยะขององค์กรนี้คืออะไร และวิธีมัวเมาผู้คนที่ผมใช้เฮโรอินมาเปรียบเปรยนั้นแท้จริงคืออะไรที่เราพบเห็นได้ในทุกวันนี้ ส่วนไอเดียองค์กรร้ายข้ามชาติ ผมต้องยกเครดิตให้พี่แมน อินดี้แมน ที่เอ่ยถึงนิยาย/หนังเรื่อง เล็บครุฑ, อินทรีย์แดง ผมว่ามันเป็นไอเดียที่ดีที่ผมจะดึงเอาเรื่องราวปัจจุบันมาแฝงไว้ และมันเป็นพล็อตหนึ่งของนิยายไทยในยุคก่อนชอบใช้
หวังว่าจะสนุกนะครับ อย่าลืมคอมเมนท์ติชมกันนะ
พบกันใหม่ในตอนที่ 13 ครับ
มูฟวี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา