12 เม.ย. 2020 เวลา 03:00 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 11
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
ความเดิมตอนที่แล้ว
มีกลุ่มโจรชาวจีนลึกลับเข้ามาในเขตป่าพยนต์ และปะทะกับกลุ่มโจรป่าพยนต์ เสือมุบไม่สามารถตรวจสอบเบาแสะได้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากไหน และมีวัตถุประสงค์ใด แต่ที่แน่ ๆ คือมันกำลังจะมุ่งหน้าไปทางบ้านบางบอกดิก
แม่ฉัตรเล่าให้ปามฟังว่า มีน้องสาวชื่อ มณีรดา หรือ มาย ที่เพิ่งเรียนจบจากเมืองนอก และดูเหมือนว่ามายจะมีใจให้ภาพมากเป็นพิเศษโดยไม่สนใจว่าพี่สาวตนเองจะรู้สึกอย่างไร
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน “บางบอกดิก” ได้ ณ บัดนี้...
บางบอกดิก ตอนที่ 11
บ้านนายแม่
บ้านนายแม่
วันนี้ภาพตั้งใจจะมาหาฉัตร ระหว่างที่เขานั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก คนรับใช้มาแจ้งว่า ฉัตรออกไปโรงงานกับนายแม่ตั้งแต่เช้ามืด ภาพรู้สึกเสียใจอยู่ในที แต่ขณะจะกลับก็ได้ยินเสียงใส ๆ ดังมาจากด้านหลังตัวเอง
“พี่ภาพ...พี่ภาพมาหามายเหรอคะ?”
มณีรดา...มาย
มายเดินมาทัก พลางทำเหมือนทุกครั้งที่เจอภาพด้วยการสอดแขนตัวเองเข้าไปคล้องไว้กับแขนของภาพ จนภาพต้องพยายามแกะออกด้วยท่าทีสุภาพ แต่มายก็ทำเหมือนไม่สนใจและทำใหม่จนภาพได้แต่ปล่อยตามใจมาย
“เปล่าหรอก...พี่มาหาฉัตรน่ะ แต่เขาออกไปกับนายแม่” ภาพตอบหน้าเศร้า ๆ
“หมู่นี้พี่ฉัตรขยันค่ะ ไปช่วยงานนายแม่ที่โรงงานแทบทุกวันเลย ออกไปแต่เช้าเลย”
ภาพ เทวารักษ์
เหมือนมายจะรู้ว่าภาพเสียใจและน้อยใจที่มาแล้วไม่เจอฉัตร เธอแอบยิ้มแว่บหนึ่ง
“เอางี้ เราออกไปเดินเล่น ทานข้าวดูหนังกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวมายไปเป็นเพื่อน ไปค่ะ...”
พูดจบโดยไม่รอคำตอบ มายก็ฉุดดึงภาพไปที่รถของภาพทันที ภาพเลยต้องจำใจไปกับมายอีกเช่นเคย
โรงงานของนายแม่
ฉัตรกำลังศึกษางานกับข้าวอยู่ เธอถามเกี่ยวกับการทำงานในส่วนของข้าวอย่างตั้งใจ ส่วนข้าวเองเสียอีกที่ไม่ค่อยจะมีสมาธิในการแนะนำ และแอบเผลอชำเลืองมองฉัตรเป็นพัก ๆ
ระหว่างที่เดินออกไปตรวจสินค้ากันนั้น ข้าวสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจบางอย่างจากฉัตร เขาเลยหาเรื่องชวนคุยเผื่อเธอจะสบายใจขึ้น
“ช่วงนี้คุณฉัตรมาโรงงานบ่อยนะครับ ไม่ต้องไปเรียนเหรอครับ?”
ข้าว
“ก็จบแล้วนี่คะ ตอนนี้หางานทำอยู่ เลยมาทำงานกับนายแม่น่ะค่ะ”
ฉัตรตอบไปหัวเราะไปดูด้วยความเขินแต่ก็ดูน่ารักเป็นธรรมชาติมาก ข้าวคิดแบบนั้น
“แหม...จริง ๆ ก็ไม่ต้องไปสมัครงานที่ไหนก็ได้นะครับ กิจการของนายแม่ก็ต้องมีคนดูแล คุณหนูฉัตรเป็นลูกสาวคนโตก็ต้องเป็นกำลังสำคัญให้นายแม่นะครับ ท่านมีโรคประจำตัวอยู่ ถ้าตรากตรำงานมากไปจะไม่ดีนะครับ”
ฉัตรปวีร์...ฉัตร
ฉัตรใช้สายตามองข้าวเขม็ง จนข้าวตกใจ ยิ้มเจื่อน ๆ ทำตัวไม่ถูก แต่แล้วฉัตรก็ยิ้มให้ข้าว
“ฉัตรเข้าใจแล้ว ทำไมนายแม่ถึงเอ็นดูพี่ข้าวเป็นพิเศษ”
“เอ่อ...ทำไมเหรอครับ” ข้าวสำรวจตัวเอง
“ก็พี่ข้าวเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นก่อนตัวเองนี่คะ พี่ข้าวเป็นห่วงนายแม่ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นเลย เป็นห่วงกิจการของนายแม่ เป็นห่วงฉัตรด้วย แต่ดูตัวเองสิ...”
“เอ่อ...ผมเป็นอะไรเหรอครับ”
“ขอโทษนะคะ”
ฉัตรสังเกตตั้งแต่มองข้าวครั้งแรกว่า ข้าวติดกระดุมเหลื่อมกันอยู่ และรูที่สามของเสื้อไม่ได้กลัดกระดุม ฉัตรเลยถือวิสาสะแก้ไขกลัดกระดุมที่ผิดให้ตรง
ระหว่างนั้นข้าวสูดได้กลิ่นแชมพูจาง ๆ จากเรือนผมของฉัตร มันทำให้เขายิ่งใจเต้นดังมากจนข้าวเองก็ไม่แน่ใจว่าฉัตรจะได้ยินเสียงหัวใจของตนเองรึเปล่า
ฉัตรเองก็รู้สึกบางอย่างกับข้าว เธอแปลกใจทำไมใจตัวเองเต้นแรง อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่ออยู่กับภาพเลย
ฉัตรปวีย์...ฉัตร
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉัตรยิ้มให้ “เอ๊ะ...ทำไมพี่ข้าวหน้าแดง ไม่สบายเหรอคะ”
“เอ่อ...เปล่าครับ...คงแตกแดดมากไปมั้งครับ” ข้าวเฉไฉ
“นี่แดดยังไม่ออกนะคะ และตรงนี้ก็ไม่มีแดดด้วย” ฉัตรขมวดคิ้ว
ข้าวพยายามเปลี่ยนหัวข้อกลบเกลื่อน “ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าคุณฉัตรไม่ค่อยร่าเริงนะครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
คราวนี้ฉัตรเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง จนข้าวนึกด่าตัวเองในใจ “เอ็งจะถามหาพระแสงอะไรวะ”
“ขอโทษนะครับ” ข้าวผงกศีรษะ “ผมไม่ควรถามอะไรส่วนตัวแบบนั้นเลย ขอโทษครับ”
“มันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอคะ ที่ว่าฉัตรดูไม่ค่อยร่าเริง” ฉัตรย้อนถามในตาดูเศร้าจนหัวใจข้าวพลอยเศร้าไปด้วย
“ครับ...คือปกติคุณฉัตรจะยิ้ม” ข้าวตอบ “และยิ้มของคุณฉัตรจะสัมผัสได้เลยว่าสดใส มีความสุข แต่ตอนนี้ผมว่ายิ้มของคุณฉัตรมัน...มันแกน ๆ มันแห้งแล้งครับ เหมือนฝืนยิ้มครับ”
ข้าวตอบอย่างจริงใจ จนฉัตรสัมผัสได้ แต่ข้าวเองที่เป็นฝ่ายไม่สบายใจแทน
“ผมขอโทษนะครับ ถ้าผมพูดจาอะไรที่เป็นการรุ่มร่ามเกินไปครับ” ข้าวผงกศรีษะเป็นเชิงขอโทษ
ฉัตรยิ้มฝืน ๆให้ข้าว มันดูมีความรู้สึกขึ้น “ขอบคุณค่ะพี่ข้าว ดูเหมือนพี่ข้าวจะเข้าใจในตัวฉัตรมากกว่าตัวฉัตรเองเสียอีก”
ข้าวยิ้มตอบ เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไรมากไปกว่ายิ้มแล้ว
“ใช่ค่ะ...ฉัตรมีเรื่องคิดไม่ตกบางอย่าง คือฉัตรไม่แน่ใจตัวเองน่ะค่ะ”
“เรื่องบางเรื่อง เราคงต้องถามตัวเองให้เยอะขึ้นนะครับ และต้องเลือกระหว่าง สิ่งที่ต้องทำ กับ สิ่งที่จำใจต้องทำ”
ฉัตรขมวดคิ้ว “หมายความว่าไงคะ?”
ข้าว
“คือหลวงพ่อเคยสอนผมน่ะครับ ในชีวิตคนเราต้องเลือกระหว่าง “สิ่งที่ต้องทำ” ก็คือ สิ่งที่ไม่ว่าผลจะลงเอยอย่างไรเราก็ยังต้องทำอยู่ดี มันไม่มีทางเลือกอื่น ส่วน “สิ่งที่จำใจต้องทำ” เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าฉันไม่ทำจะมีผลอย่างไรกับตัวฉัน และถ้าฉันทำจะมีผลอย่างไรกับตัวฉัน บางทีคุณฉัตรอาจต้องใช้เวลาคิดทบทวนให้มากขึ้นครับ”
ฉัตรผงกศีรษะ “ขอบคุณมากเลยนะคะพี่ข้าว ได้คุยกับพี่ข้าวแล้วฉัตรสบายใจขึ้นเป็นกองเลย”
“ถ้าคุณฉัตรไม่รังเกียจ ผมยินดีเป็นเพื่อนคุยกับคุณฉัตรนะครับ เวลาเราไม่สบายใจ เราอาจต้องการใครสักคนมารับฟัง แค่เพียงฟังสิ่งที่เราต้องการบอกอย่างเดียว มันเหมือนได้ระบายออกมาน่ะครับ ผมยินดีจะอยู่เป็น...เพื่อนคุณฉัตรนะครับ ในเวลาที่คุณฉัตรไม่สบายใจ ถ้าคิดว่าผมพอจะทำอะไรได้”
ข้าวตอบอย่างใสซื่อ มันเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยจนคนฟังอย่างฉัตรก็สัมผัสได้
ฉัตร
ฉัตรสบตากับข้าว เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงใยในแววตาที่ดูเศร้าสร้อยคู่นั้นของข้าว
ส่วนข้าวสบตากับเธอ เขารับรู้ได้ว่า ฉัตรที่เขารักกำลังสับสน และทุกข์กับบางเรื่อง
ทั้งสองสบตากันพักหนึ่งก่อนจะรู้สึกตัว และรีบเบนสายตาทางอื่น พร้อมกับท่าทีขวยเขินของทั้งสอง
“เราไปตรวจงานกันต่อเถอะค่ะ” ฉัตรรีบแก้อาการเขินด้วยการเปลี่ยนเรื่อง
“ครับ...ครับ” ข้าวตอบรับ
ข้าวผายมือพร้อมกับที่ฉัตรเดินไปพร้อมกับข้าว มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจกับทั้งสองคนแล้ว
“นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกที่แม่เริ่มรู้สึกกับพ่อข้าว และแม่ก็สัมผัสได้ว่าพ่อข้าวเขารู้สึกบางอย่างกับแม่ อันที่จริงแม่รู้ดีว่าเขาแอบชอบแม่มานานแล้ว แต่เขาเป็นคนเงียบ ๆ เจียมตัวเอง คงเห็นแม่มีภาพอยู่แล้ว เขาก็เลยได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้”
แม่ฉัตรเล่าให้ปามฟัง
“ว้าว...พ่อข้าวก็มีอารมณ์โรแมนติกกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย ดูไม่ออกเลย เห็นแต่ทำตลกอยู่ตลอด”
“พ่อข้าวเขาบทจะหวานนี่น้ำตาลหมดโรงงานเลยนะ” ฉัตรยิ้มเวลานึกถึงอดีตกับท่าทีของข้าว
สองแม่ลูกหัวเราะกันชอบใจ
บ้านพ่อเลี้ยงก้อม
บ้านพ่อเลี้ยงก้อม
พ่อเลี้ยงก้อมนั่งตัวเกร็งจิบเบียร์อยู่ริมสระ แต่ในสระไม่มีสาว ๆ ว่ายน้ำเล่นอยู่
รอบ ๆ พ่อเลี้ยงก้อมก็ไม่มีลูกน้องรายรอบแม้กระทั่ง เต้ เบียร์วุ้นที่เคยนั่งจิบเบียร์อยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ก็ไม่มี
ที่มีคือพิม ลูกสาวของพ่อเลี้ยง ที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ข้าง ๆ พ่อเลี้ยงก้อม
ใช่แล้ว พ่อเลี้ยงก้อมนั่งเป็นแบบให้พิมวาดภาพ
มันเกิดขึ้นได้อย่างไรน่ะเหรอ
“พ่อคะ วันนี้พิมอยากวาดภาพ พ่อเป็นแบบให้พิมวาดหน่อยสิ”
พิม
“แล้วพ่อต้องทำไงล่ะ” พ่อเลี้ยงก้อมแปลกใจที่วันนี้ลูกสาวนึกครึ้มใจมาชวนให้เป็นแบบวาดภาพ
“พ่อแค่ไปนั่งที่สระว่ายน้ำ จิบเบียร์แบบที่พ่อชอบ แต่ต้องนั่งนิ่ง ๆ ขยับได้ถ้าอยากจิบเบียร์ แต่ที่สำคัญ...”
พิมจ้องหน้าพ่อของเธอเขม็ง
“พ่อต้องไล่ลูกน้อง และสาว ๆ ของพ่อไปให้หมด พิมไม่ชอบมันทำให้เสียสมาธิ”
พ่อเลี้ยงสั่งคำเดียว ทุกชีวิตหายไปเกลี้ยงบ้านหลังนี้ทันทีทันใด
พ่อเลี้ยงก้อม
นั่นทำให้พ่อเลี้ยงก้อมต้องมานั่งตัวเกร็ง จิบเบียร์อย่างไม่เป็นธรรมชาติ แต่ในใจพ่อเลี้ยงก้อมกลับมีความสุขมาก ๆ
มันนานแค่ไหนแล้วนะที่เขากับลูกสาวไม่ได้มีโอกาสได้นั่งคุยกันแบบนี้ อันที่จริงน่าจะเป็นพิมอยากคุยเมื่อไรมากกว่า
พ่อเลี้ยงก้อมคิดต่อ นิสัยแบบนี้ ดื้อรั้นเอาแต่ใจแบบนี้ มันเหมือนใครนะ...
ใช่...มันคือนิสัยแบบเดียวกับแม่ของพิม
ผู้หญิงคนเดียวที่พ่อเลี้ยงก้อมรัก แต่เธอแทบไม่เคยเหลียวแลพ่อเลี้ยงก้อมเลย
ผู้หญิงที่ชื่อ...
มณีรดา...มาย...ลูกสาวคนเล็กของนายแม่
ภาพในอดีตค่อย ๆ ปรากฏขึ้น มันยังชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
ก้อมเดินเข้าไปในบ้านของนายแม่ ในมือของก้อมมีแฟ้มเอกสาร ระหว่างเดินไปที่ตัวตึกก้อมต้องหยุดฝีเท้าลงเพราะเขาเห็นภาพตรงหน้า ที่สวนหย่อมของบ้าน
ก้อมเห็นนางในฝันของเขา คุณหนูมายนั่งอยู่ตรงนั้น และมีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ เขาคือภาพ เทวารักษ์ ท่าทางเหมือนว่าทั้งสองกำลังทุ่มเถียงอะไรกันอยู่ ก้อมเห็นคุณหนูมายพยายามยื้อยุดแขนของภาพ แต่ภาพสะบัดอย่างแรงและเดินหนีไปขึ้นรถก่อนจะขับออกไป คุณหนูมายกวาดทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ แก้วน้ำ จานใส่คุ้กกี้ ทั้งหมดร่วงหล่นลงไปกองกระจายที่สนามหญ้าใต้โต๊ะ แล้วคุณหนูมายก็ฟุบหน้าร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ก้อมมองดูจนถึงตรงนี้ ก็เดินตามคนรับใช้ไปห้องทำงานของนายแม่
ชั่วพักใหญ่ที่ก้อมกลับออกมาจากห้องทำงานนายแม่ ในมือยังคงถือเอกสาร ก้อมหยุดมองไปที่สวนหย่อมตำแหน่งเดิม คุณหนูมายยังนั่งอยู่ตรงนั้น แม้ว่าท่าทีเธอจะดูสงบเหมือนปกติ แต่สีหน้าเธอดูสับสนกว่าปกติ
ก้อมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปหามาย พลางเอ่ยทัก
“สวัสดีครับ คุณหนูมาย” ก้อมโค้งให้เท่าที่ตนเองจะรู้สึกว่ามันดูเท่แล้วในชีวิต
ก้อม
มายเงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจ พลางเอ่ยทักห้วน ๆ
“นายก้อมเหรอ มีอะไร? ชั้นกำลังยุ่ง”
“ขออภัยนะครับที่มารบกวนเวลาคุณหนูมาย แต่เมื่อสักครู่ผมเห็นว่าคุณหนูมายน่าจะมีปัญหากับคุณภาพนะครับ”
“มันเรื่องอะไรของเธอ” มายสวนทันที
“มันเป็นเรื่องของผมแน่ครับ ถ้าสิ่งนั้นทำให้คุณหนูมายหงุดหงิด” ก้อมตอบ
“แล้วนายรู้เหรอว่าชั้นหงุดหงิดเรื่องอะไร?” มายย้อนถาม
“ผมคิดว่าคาดเดาได้ไม่ยากครับ ขึ้นกับว่า...” ก้อมหยุดแค่นั้น
มายสงสัยทันทีจนต้องรีบถาม “ขึ้นกับว่าอะไร?”
“ขึ้นกับว่าคุณหนูมายอยากให้ผมพูดออกมารึเปล่า และถ้าผมบอกว่าผมพอจะมีวิธีขจัดปัญหาของคุณหนูมาย จะพอเป็นหัวข้อสนทนาในตอนนี้ได้รึเปล่า”
มายนิ่งเงียบไม่ตอบเหมือนใช้ความคิด
ก้อมโค้งให้หนึ่งครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป แต่เมื่อเดินไปได้เพียงสามก้าวก็มีเสียงดังไล่มาจากด้านหลังของก้อม
“เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งไป...” มายร้องห้าม
โดยที่ยังไม่หันกลับมามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของก้อม ทันทีที่ก้อมหันกลับมารอยยิ้มนั้นก็หายไปแต่เป็นสีหน้าจริงจัง
“มีอะไรเหรอครับ?” ก้อมทำเป็นแกล้งถาม
“ที่นายก้อมบอกว่ามีวิธีขจัดปัญหาให้แก่ชั้นน่ะ ไหนลองบอกมาสิ”
“งั้นผมขออนุญาตนะครับ ถ้าผมจะถามว่า ปัญหาของคุณหนูมายเกี่ยวกับคุณภาพใช่ไหมครับ?”
มายผงกศีรษะแทนคำตอบ
“เขาไม่อยากไปไหนมาไหนกับคุณหนูมายอีกแล้วใช่ไหมครับ?” ก้อมถามต่อ
“ทำไมนายก้อมรู้เหมือนตาเห็น” มายขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ผู้ชายทะเลาะกับผู้หญิงมีไม่กี่เรื่องหรอกครับ กรณีของคุณหนูมายดูออกง่ายมาก”
ก้อมหยุดนิดหนึ่งก่อนจะอธิบายต่อ “ขออภัยที่ผมต้องพูดตรง ๆ นะครับ คุณภาพเขาคบกับคุณหนูฉัตรอยู่ก่อนที่คุณมายจะกลับมา เขาก็ไปไหนมาไหนกันทุกเช้าทุกเย็น พอตั้งแต่คุณหนูมายกลับมา ผมก็ไม่เคยเห็นคุณภาพกับคุณหนูฉัตรไปไหนด้วยกันอีกเลย แต่กลายเป็นคุณหนูมายไปกับคุณภาพ หรือที่ถูกต้องเป็น คุณภาพต้องไปกับคุณหนูมายแทน”
ก้อมพูดเหมือนแทงโดนใจดำของมาย จนมายต้องผุดลุกขึ้นด้วยความไม่พอใจ พลางตวาดใส่
“นายก้อม...” มายทำท่าจะเงื้อตบหน้าก้อม
แต่ก้อมเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณตบหน้าผม คุณจะไม่ได้วิธีขจัดปัญหาของคุณหนูมายเลยนะครับ”
ก้อมยืนนิ่ง เช่นเดียวกับมายเองก็เงื้อมือนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่สุดท้ายจะลดมือลง
ก้อมยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ผมบอกถูกต้องไหมครับ?”
มาย
มายผงกศีรษะอย่างจำนน
“เพราะคุณเป็นฝ่ายตามตื๊อจนคุณภาพเขาเริ่มจะรำคาญ ถ้าคุณทำให้เขารู้สึกว่าคุณมีความสำคัญสำหรับเขา คุณคิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายตามคุณรึเปล่าครับ?”
มายทบทวนข้อเสนอของก้อมก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ถ้าคุณมายสนใจข้อเสนอนี้ ในครั้งต่อไปผมจะมาพร้อมกับวิธีการนะครับ” ก้อมพูดจบยิ้มและโค้งให้ก่อนจะเดินออกไป
“แล้วชั้นจะได้พบกับนายก้อมเมื่อไหร่?” มายถามขณะที่ก้อมเดินไปแล้ว
“เร็วที่สุดเท่าที่คุณหนูมายต้องการครับ”
“งั้นมะรืนนี้เลยแล้วกัน อืม...ไปเจอชั้นที่ข้างนอกนะ”
มายเดินตามมากระซิบใกล้ ๆ หูของก้อม บอกเวลาและสถานที่นัดหมาย ก้อมสูดได้กลิ่นน้ำหอมที่ชวนรัญจวนใจจากต้นคอขาวอมชมพูที่งามระหงของมาย เขาแทบอยากจะซุกหน้าลงไซ้ที่ซอกคอนั้นจริง ๆ แต่ก้อมก็ยั้งใจไว้
“มันยังไม่ถึงเวลา...มันยังไม่ถึงเวลา...” ก้อมบอกกับตัวเองในใจ
ก้อมเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นและยิ้มอย่างผู้ชนะ เขาวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว
....
คลินิกเทวารักษ์ตั้งอยู่ด้านหน้าติดถนนใหญ่ ส่วนด้านหลังของคลินิกมีประตูเล็ก ๆ ที่ทำไว้เพื่อเข้าออกด้านหลังของบ้านเทวารักษ์ ที่หันออกไปยังถนนอีกซอยหนึ่ง
ภาพรู้สึกแปลกใจที่คนรับใช้มาบอกว่า มีแขกมาพบ แต่รอคอยอยู่ที่คลินิกเทวารักษ์ เพราะคงมีแต่คนที่จะมารักษาจึงจะมาที่คลีนิกและต้องไปพบหมอเทพ พี่ชายของเขามากกกว่าจะมาพบเขา
แต่ภาพก็เดินตัดประตูหลังบ้านมาออกที่ด้านหน้าของคลินิก เขาเห็นก้อมนั่งรออยู่ที่นั่งรอตรวจ ภาพยิ้มให้ก้อมพลางถามขึ้น
“พี่ก้อมมาหาผมหรือมาหาพี่เทพกันแน่?”
“มาหาคุณภาพล่ะครับ” ก้อมตอบยิ้ม ๆ
ภาพดูประหลาดใจ “มีธุระอะไรเหรอครับ?”
ก้อมมองไปรอบ ๆ พลางถามขึ้น “มีสถานที่อื่นที่สะดวกในการคุยไหมครับ และไม่ใช่ที่บ้านของคุณภาพด้วย”
ภาพยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม แต่ก็พยักหน้า งั้นเราเดินไปที่สวนลุมกันดีกว่าครับ
...
ที่สวนลุมยามเย็น ตอนนี้คนเริ่มมาวิ่งออกำลังกายกัน บ้างก็มารำไท้เก็ก
ภาพกับก้อมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ใกล้ ๆ กับริมทะเลสาบ
ภาพ
ภาพมองไปที่วิวในทะเลสาบของสวนลุม เรือถีบลอยล่องไปมาบนผืนน้ำหลายลำ ภาพเอ่ยขึ้น
“ผมชอบมาที่นี่เวลาไม่สบายใจ หรือมีเรื่องต้องคิดน่ะ”
ภาพหันมามองหน้าก้อม “พี่ก้อมมีอะไรเหรอครับ ดูมีความลับจัง”
ก้อมโค้งให้เล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมขออนุญาตนะครับ อาจจะเป็นการก้าวก่าย แต่ผมปรารถนาดีครับ”
“โห...ดูจริงจังนะพี่ก้อม โอเค...มีอะไรว่าไปเลยพี่” ภาพหัวเราะเบา ๆ
“ผมคิดว่าผมสามารถแก้ปัญหาของคุณภาพได้นะครับ ปัญหาเรื่องคุณหนูฉัตร และคุณหนูมาย”
ภาพตกใจ เหมือนโดนชกหน้าเต็มเปา “เฮ้ย...พี่ดูออกด้วยเหรอ?”
ก้อมผงกศีรษะ “ขอภัยที่ผมต้องพูดตามตรงสำหรับการแก้ไขปัญหานี้นะครับ”
“ปัญหาคือคุณหนูฉัตรหลบหน้าคุณภาพ ส่วนคุณหนูมายตามตื้อคุณภาพ ถูกต้องไหมครับ?”
“ใช่ ๆ ใช่เลย” ภาพยอมรับ
“ถ้าทำให้คุณหนูมายรู้สึกมีค่าสำหรับคุณภาพ เธอจะเปลี่ยนเป็นเล่นตัวแทนเพื่อให้คุณตามง้อถูกต้องไหมครับ?”
“ก็น่าจะใช่นะ”
“และถ้าเราทำให้เธอเข้าใจไปแบบนั้นเรื่อย ๆ เธอก็จะไม่ได้มาคอยตามตื๊อคุณภาพถูกต้องไหมครับ?”
“เมื่อคุณหนูมายเลิกตามตื๊อคุณภาพ คุณภาพจะมีเวลาไปอยู่กับคุณหนูฉัตรตามเดิมถูกต้องไหมครับ?”
ทุกคำถามของก้อม ทำให้ภาพต้องผงกศีรษะเห็นด้วยทั้งหมด
ก้อม
“ผมขออนุญาตเสนอตัวเป็นคนกลางแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการทำเป็นไปไหนมาไหนกับเธอ แต่มีข้อแม้ว่าคุณภาพต้องให้ความร่วมมือด้วยการพยายามโมโหไม่พอใจในเวลาที่คุณหนูมายอยู่กับผม พยายามทำให้เธอรู้สึกว่าคุณภาพหึงหวง”
“แต่มันจะไม่ยิ่งทำให้เธอเข้าใจผิดเหรอ?” ภาพย้อนถาม
“ไม่หรอกครับ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่คุณต้องทำเป็นทะเลาะกับคุณมาย และขอแยกกันสักพัก ช่วงนี้ล่ะที่จะทำให้คุณภาพจะสามารถไปใช้เวลากับคุณหนูฉัตรได้ครับ พอความจริงเปิดเผย ด้วยความเป็นพี่น้อง ยังไงคุณหนูฉัตรก็คงเข้าใจและเป็นฝ่ายหลีกทางให้คุณภาพ เท่านี้คุณภาพก็จะลงเอยกับคุณหนูฉัตร”
“เยี่ยมยอดเลยพี่ก้อมแผนของพี่ งั้นว่าไงว่าตามกัน”
ภาพยื่นมือออกเป็นสัญญาณทำข้อตกลงกับก้อม ก้อมจับมือของภาพและยิ้มให้
ถ้าภาพจะสังเกตให้ดี รอยยิ้มของก้อมไม่ใช่ยิ้มอย่างมิตรแท้เลย
....
ก้อมเดินผ่านสะพานไม้มาที่เรือนแพในช่วงสองทุ่ม ข้าวเพิ่งอาบน้ำเสร็จปะแป้งตัวขาวหน้าขาวเอ่ยทักขึ้น
“เฮ้ย กลับเสียดึกเลย ไปไหนมาเหรอ?”
“พอดีมีธุระต้องไปทำน่ะ เอ็งกินข้าวรึยัง?”
“หิวว่ะ เลยไม่ได้รอ ข้าเลยกินก่อนแล้ว แต่เก็บไว้ให้นะ เอ็งกินมารึยังล่ะ?”
“ข้ากินมาจากข้างนอกแล้ว แต่เก็บไว้กินตอนเช้าก็แล้วกัน”
ข้าวพยักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งห้อยขาที่ริมแพ ส่วนขาหย่อนลงไปในคลอง
ก้อมเดินมานั่งข้าง ๆ
คืนนี้พระจันทร์เกือบจะเต็มดวง มันทำให้ข้าวอดคิดถึงใบหน้าของฉัตรไม่ได้ พอคิดข้าวก็อมยิ้ม เพราะระยะหลังข้าวมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับฉัตรตลอด คงเพราะฉัตรทำตามคำแนะนำของข้าวที่ให้มาช่วยงานนายแม่เป็นการแบ่งเบาภาระ นายแม่จะได้มีเวลาพักผ่อนอยู่บ้าน และดีต่อสุขภาพ
ก้อมมองหน้าเพื่อนเห็นอมยิ้ม ก็เอ่ยขึ้น
“ช่วงนี้เอ็งดูสนิทกับคุณหนูฉัตรเป็นพิเศษนะ”
“ก็พอดี คุณหนูฉัตรมาเรียนงานเพื่อจะบริหารแทนนายแม่น่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ข้าวรีบกลบเกลื่อน
“ไอ้ข้าว...ข้าว่าเอ็งเลิกทำเป็นไขสือเถอะวะ เราเป็นเพื่อนรักกัน เอ็งยอมรับกับข้าตรง ๆ ก็ได้ ข้าไม่ไปบอกใครหรอก”
ก้อมทำสีหน้าจริงจัง
“เอ็งไม่ห่วงเรื่องคุณภาพเหรอ?”
คำพูดนี้เหมือนแทงเข้ากลางใจของข้าว เล่นเอาข้าวหน้าเศร้าขึ้นมาทันที ก้อมเห็นแบบนั้นก็ยิ้มแล้วพูดต่อ
“แต่ข้ามีวิธีนะ เอ็งสนใจไหม?”
ข้าวย้อนถาม “วิธีอะไรของเอ็งวะ”
“เอ็งลองคิดดูนะ ถ้าทำให้คุณหนูฉัตรเห็นว่าคุณภาพเขารักกับคุณหนูมาย เขาต้องการคุณหนูมาย คุณหนูฉัตรก็จะตัดใจจากคุณภาพ จากนั้นในช่วงเวลาทำใจเอ็งก็ใช้เวลานี้รักษาแผลใจให้กับคุณหนูฉัตร สุดท้ายรักย่อมเข้าใจในรักใช่ไหม?”
ข้าว
ข้าวคิดตามและพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็เอ่ยถามขึ้น “จะดีเหรอวะไปทำแบบนั้น เขารักกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เอ็งไม่ได้สังเกตเหรอ ระยะหลังคุณหนูฉัตรไม่ได้ไปเที่ยวกับคุณภาพเลยนะ แต่กลายเป็นคุณหนูมายไปกับคุณภาพ มันหมายความว่าไงวะ และถ้าจะเปรียบเทียบผู้ชายแบบคุณภาพจะชอบผู้หญิงเรียบร้อยแบบคุณหนูฉัตร หรือสาวโฉบเฉี่ยวชวนมองแบบคุณหนูมายมากกว่ากันวะ ยังไงพวกเขาก็ต้องเลิกกันอยู่ดีไม่ว่าเราจะไปเกี่ยวข้องหรือไม่ เอ็งก็แค่จะได้มีโอกาสทำตามหัวใจตัวเอง แต่สุดท้ายคุณหนูฉัตรจะมีใจให้เอ็งรึเปล่า อันนี้ข้าช่วยเหลือไม่ได้นะ”
ข้าวพยายามคิดตาม การที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณหนูฉัตรตลอดเช้าจนเย็น ห้าวันต่อสัปดาห์มันทให้ข้าวมีแรงที่จะไปทำงาน และมีความสุขอย่างจนเกินจะบรรยาย
ข้าวยิ้มให้ก้อมอย่างจริงใจ “ขอบใจว่ะก้อม เอ็งเป็นเพื่อนรักข้าเลย”
ก้อมยิ้มให้ข้าว พลางตบบ่า และยิ้มให้ข้าว แต่มันจะใช่ยิ้มแห่งมิตรแท้รึเปล่า?
ก้อมหาโอกาสที่คุณหนูฉัตรอยู่ตามลำพัง เวลานี้ฉัตรอยู่ในห้องทำงานของนายแม่ เธอกำลังตรวจเอกสารอยู่ ก้อมจึงเคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานที่ฉัตรนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวนั้น
“ขออภัยนะครับคุณหนูฉัตร ผมขออนุญาตแก้ไขปัญหาส่วนตัวให้คุณหนูฉัตรนะครับ”
“ปัญหาส่วนตัวอะไรเหรอพี่ก้อม?” ฉัตรขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ก้อม
“ขออนุญาตพูดตามตรงนะครับ ปัญหาของคุณหนูฉัตร คุณหนูมาย และคุณภาพครับ” ก้อมยิงตรงประเด็น
“ตายจริง...พี่ก้อมรู้เหรอ?” ฉัตรตกใจมาก
“ครับ แต่ผมขจัดปัญหานี้ให้คุณหนูฉัตรได้ ผมทราบดีว่าคุณหนูฉัตรรักคุณหนูมายมาก และก็ห่วงความรู้สึกของคุณภาพมากด้วย คุณหนูฉัตรต้องการให้คุณหนูมายกับคุณภาพสมหวังกันใช่ไหมครับ?”
ฉัตรลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะเป็นเชิงยอมรับ ก้อมจึงสาธยายต่อ
“ถ้าคุณหนูฉัตรทำให้คุณภาพตัดใจได้ คุณหนูมายจะทำหน้าที่ปลอบใจและรักษาแผลใจให้คุณภาพ สุดท้ายความดีของคุณหนูมายจะเอาชนะใจคุณภาพได้ครับ เพียงแต่คุณหนูฉัตรต้องทำตามวิธีของผม”
ฉัตร
“ฉัตรต้องทำอย่างไรคะพี่ก้อม”
“คุณหนูฉัตรทำทีเป็นสนิทสนมกับไอ้ข้าวให้คุณภาพเห็นทุกครั้ง เท่านี้ด้วยนิสัยของคุณภาพ คุณฉัตรเป็นคนที่เขารักมากกว่าตัวเอง เขาจะเข้าใจว่าคุณหนูฉัตรรักกับไอ้ข้าว ดังนั้นคุณภาพจะยอมเป็นฝ่ายเสียสละและจากไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นคุณหนูมายจะเป็นคนเข้าไปคอยดูแลจนเกิดเป็นความรักครับ”
ก้อมพูดจบพร้อมสีหน้าแววตาที่จริงจัง
ฉัตรลังเลแต่เมื่อหันกลับมาก็ยังเห็นสีหน้าแววตาที่จริงจังของก้อม เธอก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ขอบคุณนะคะพี่ก้อม พี่ดีกับพวกเรามากเลย”
“ด้วยความยินดีและเต็มใจครับ”
ก้อมโค้งให้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานพร้อมด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของคนที่เป็นผู้ชนะในเกมนี้
พ่อเลี้ยงก้อมนึกถึงตอนนี้แล้วก็ยิ้ม มันยังคงคงเป็นยิ้มของผู้ชนะ แต่ในรอยยิ้มนั้น ในดวงตานั้นแฝงแววแห่งความเจ็บปวด เขาหันไปชำเลืองมองพิมที่กำลังก้มหน้าก้มตาร่างภาพอย่างใจจดจ่อ
ก้อมใช้แววตาอันอบอุ่นของพ่อคนหนึ่งมองดูลูกสาวตัวเอง
พิมเงยหน้าขึ้นมาพอดี เธอทันได้สบสายตาอันอบอุ่นนั้นของก้อม และพิมสัมผัสได้ มันนานแค่ไหนแล้วนะที่พ่อก้อมจะใช้สายตาแบบพ่อธรรมดาคนหนึ่งมองมาที่พิม
พ่อก้อมที่เอาแต่ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจ ความละโมบ และเกลียดชัง พิมไม่เคยชอบสายตาแบบนั้นของพ่อเลย
พ่อเลี้ยงก้อม
แต่สายตาที่พิมเห็นตอนนี้คือสายตาเดียวกับที่น้อยครั้งเธอจะได้เห็น สิ่งที่เธอจำได้ในสมัยเด็ก ๆ ปรากฏขึ้น
....
“หนูอยากขี่ช้าง หนูจะขี่ข้าง” เด็กหญิงพิมร้องไห้ไปร่ำร้องไป
“ค่ำแบบนี้ไม่มีช้างให้หนูขี่นะ” แม่มายเอ็ดใส่พิม
“หนูจะขี่ช้างค่ะคุณแม่” พิมร้องไห้อย่างเด็กที่อยากได้ของเล่น
“เอ๊ะ...พูดไม่รู้เรื่องรึไงนะ” มายดุใส่พลางใช้มือตีที่ก้นของพิมแรง ๆ สองสามที
เด็กหญิงยิ่งร้องไห้เป็นการใหญ่ ร้องดังมากจนก้อมต้องวิ่งออกมาจากหลังบ้าน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมลูกร้องไห้ลั่นเลยล่ะครับคุณหนู” ก้อมถาม
เด็กหญิงพิม
“ก็พิมมันงอแง จะเอาช้าง จะขี่ช้าง น่าโมโหไหมล่ะ ค่ำมืดแล้วจะไปหาช้างที่ไหน”
มายมานั่งหงุดหงิดอยู่ที่โซฟา
“เอาน่า...ใจเย็น ๆ นะ...คุณหนูกำลังท้องกำลังไส้นะ เขาไม่ให้หงุดหงิด”
มายไม่พูดอะไร แต่แล้วเธอก็รู้สึกแพ้ท้องคลื่นไส้จึงลุกหนีไปอาเจียนที่อื่น ปล่อยให้ก้อมกับพิมอยู่ตรงนั้น
ก้อมเข้าไปปลอบพิม เขาลูบหัวลูกสาวอย่างทนุถนอม ใช้มืออีกข้างปาดน้ำตาให้ลูกสาว
“ไม่ร้องนะคะพิม พ่ออยู่นี่แล้วนะ ร้องแล้วเดี๋ยวไม่สวยนะ” ก้อมดึงลูกสาวมากอดด้วยความรัก
“ก็หนูอยากขี่ช้างนี่คะ แต่คุณแม่มาตีหนูแรง ๆ หนูเจ็บ” พิมสะอึกสะอื้นฟ้องพ่อ
“หนูอยากขี่ข้างเหรอ งั้นเอางี้ เดี๋ยวพ่อเสกช้างมาให้หนูขี่ดีไหมคะ?” ก้อมยิ้มให้ลูกสาว
พิมหยุดร้องไห้ พยักหน้าหงึก ๆ ด้วยความดีใจ
ก้อมวิ่งหายไปสักพัก ก่อนจะกลับออกมาโดยเอาหมอนข้างใบเล็กมาผูกตรงหน้าเหมือนงวง อีกใบมาพาดเหนือศรีษะห้อยตกลงมาแล้วคล้ายใบหู จากนั้นก้อมก็คลานสี่ขาเข้ามาหาพิม พลางร้องเสียงแปร๋น ๆ แบบช้าง
เด็กหญิงพิมหัวเราะชอบใจกับท่าทางดูตลกของพ่อ
ก้อมเดินมาถึงก็ทำท่าเหมือนช้างยกขาหน้าขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะนอนหมอบ
“แปร๋น...แปร๋น...นางฟ้าตัวน้อยที่ไหนอยากขี่ช้างยกมือขึ้น”
พิมรีบยกมือขึ้นทันที ”หนูเองค่ะ”
“แปร๋น...แปร๋น...งั้นช้างวิเศษจะให้นางฟ้าตัวน้อยขี่หลังนะ ขึ้นมาเลย”
พูดจบก้อมก็นอนหมอบลงให้ลูกสาวขึ้นไปนั่งบนหลังของตัวเอง
“แปร๋น...แปร๋น...พร้อมนะคะ” ก้อมหันมาถามพิม
“พร้อมค่ะ” เด็กหญิงพิมตอบ หัวเราะชอบใจ
ก้อม กับ เด็กหญิงพิม
ก้อมเริ่มคลานไปรอบห้องรับแขก โดยมีเด็กหญิงพิมนั่งอยู่บนหลังหัวเราะเสียงใสอย่างมีความสุข
พิมหยุดวาด เธอไม่รู้ว่าน้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาทั้งสองของเธอตั้งแต่เมื่อไร ภาพของพ่อก้อมช้างใจดีที่ทำให้พิมมีความสุขเสมอ ทุกครั้งที่พิมร้องไห้พ่อก้อมจะแปลงร่างเป็นสิงสาราสัตว์ให้เธอได้ยิ้มเสมอ
พิมมองมาที่ก้อม และเห็นพ่อก้อมคนนั้นกำลังนั่งมองมาที่เธอด้วยสายตาแบบพ่อก้อมช้างใจดี
พิมวางดินสอลง เธอเดินมามานั่งที่พื้นข้าง ๆ พ่อก้อม พลางวาดแขนโอบกอดพ่อก้อมของเธอ
พิมมองไปที่สระว่ายน้ำ เอ่ยขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่ดวงตาเปียกชุ่มด้วยน้ำตา
“พ่อ...หนูรักพ่อนะ”
พ่อเลี้ยงก้อมยิ้ม ลูบหัวของลูกสาว และใช้สายตาแบบพ่อก้อมช้างใจดีมองมาที่ลูกสาว
“พ่อก็รักพิมนะคะ นางฟ้าตัวน้อยของพ่อ”
ถ้าพิมจะเงยหน้าขึ้นมา คงได้เห็นดวงตาที่เปียกชื้นด้วยน้ำตาของพ่อเลี้ยงก้อม และถ้าได้มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น พิมคงจะได้เห็นสายตาที่อบอุ่นด้วยความรักที่มีต่อลูกแต่แฝงไว้ด้วยความปวดร้าวใจอย่างเหลือแสน
แต่พิมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพราะพิมกำลังร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ตรงตักของพ่อก้อม
โปรดติดตามตอนต่อไป
หลังกล้อง “บางบอกดิก” ตอนที่ 11
ถ้าใครอ่านมาถึงตอนนี้ ผมหวังว่าคุณจะเกิดความรู้สึกขึ้นสองอย่าง
ความรู้สึกแรกคือ โคตรจะเกลียดพ่อเลี้ยงก้อมเลย ทำไมมันชั่วได้ขนาดนี้วะ
และความรู้สึกที่สองคือ คุณจะน้ำตาซึมให้กับพ่อเลี้ยงก้อมในฐานะพ่อผู้น่ารักของลูกพิม
ถ้านิยายพาคุณไปถึงตรงนั้นได้จริง ผมถือว่าผม Up Level ไปอีกหนึ่งขั้นของการเขียน เพราะนิยายเรื่องนี้ยังไม่มีดราม่าซึ้ง ๆ เลยเ
ใครที่อ่านตอนที่แล้วที่ยิงกันหูดับตับไหม้ เลือดละเลงไปหลายศพ พอมาถึงตอนนี้ที่พลิกโหมดกันแบบสุด ๆ ทั้งอารมณ์แบบ “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” และ “ยอดคุณพ่อผู้แสนดี” ผมหวังว่าคุณจะทั้งรักและเกลียดพ่อเลี้ยงก้อมคนนี้
ในตอนนี้เรียกว่าเป็นช่วงเวลาของพ่อเลี้ยงก้อมอย่างแท้จริง จนเรียกได้ว่าเขาแทบจะครองพื้นที่ในตอนที่ 11 เพียงผู้เดียว นี่คือตอนที่ทำให้คนอ่านต้องเห็นไอ้ก้อมที่ก่อนจะมากลายเป็นพ่อเลี้ยงก้อม
ผมให้พิมได้มีโอกาสแสดงอีกด้านหนึ่งของความรู้สึก ความรู้สึกที่หายไปนาน เช่นเดียวกับพ่อเลี้ยงก้อมที่เขาไม่เคยทำตัวเป็นพ่อผู้น่ารักเลย
และเมื่อใครอ่านถึงตอนนี้คุณคงรู้แล้ว “ใครคือแม่ของพิม” และก็น่าจะรู้เลา ๆ แล้วว่า “ใครคือพ่อแม่ของปิ้ก” ใช่คุณเดาถูกแล้วล่ะ แต่คุณคิดว่ามันจบอดีตตรงนี้เหรอ?
ในเมื่อคุณยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาทั้งห้าคน ข้าว, ก้อม, ฉัตร, มาย และมุบ จะต้องพัวพันกันอย่างไร มันมีอะไรมากกว่านั้นที่ก่อเกิดเป็นความแค้นจนต้องตายไปข้างหนึ่ง
ทำไมพ่อข้าวถึงเกลียดการประกวดร้องเพลง
ทำไมเสือมุบถึงแค้นผู้ใหญ่ข้าวและพ่อเลี้ยงก้อม
ทำไมปิ้กถึงไปอยู่กับพ่อข้าว
แล้วมหาอิ่มรู้ความลับนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงกลัวผู้ใหญ่ข้าวมาก
ทำไมพ่อเลี้ยงก้อมถึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลได้
ฯลฯ
ปมเหล่านี้ยังไม่ได้เฉลย และผมยังอยากให้คุณตามเบาะแสเหล่านั้นกันต่อไป เพราะมันรอเวลาเฉลย และมันจะตีคู่ไปกับเรื่องราวในเส้นเรื่องปัจจุบัน ที่แน่ ๆ ตอนนี้นิยายเดินหน้าแล้ว และจะมีตัวละครที่ไม่ได้ไปต่อ...มันจะเกิดขึ้น...
แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไปครับ
อย่าไว้ใจมูฟวี่
มูฟวี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา