Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Thai Performance Practice as Research
•
ติดตาม
27 เม.ย. 2020 เวลา 03:17 • การศึกษา
บทความวิจัยการแสดง
นักเขียนไทยมมุมองเทศกับบทละครพันทางฉบับหลังจารีตนิยม
ณฐภรณ์ รัตนชัยวงศ์
ที่มา : หนังสือปรากฏการณ์การแสดง
เรื่องที่ผู้วิจัยหยิบมายกมาสร้างสรรค์ใหม่คือเรื่องพระอภัยมณี โดยมีฉาก
สำคัญคือการพบกันครั้งแรกระหว่างพระอภัยมณีกับนางละเวง ซึ่งเป็นตอนที่ ละครพันทางเรื่องพระอภัยมณีนิยมจัดแสดง เหตผุลที่เลือกหยิบตอนนี้มาสร้างสรรค์ ใหม่มีอยู่ 2 ประการ
หนึ่ง ผู้วิจัยต้องการนำเสนอละครพันทางที่มีความร่วมสมัย คือ มีความใหม่และแตกต่างไปจากรูปแบบเดิมที่คนดูคุ้นเคย โดยไม่ทิ้งแก่นของความเป็นละครพันทาง ในแง่นี้วัตถุประสงค์ของการสร้างสรรค์ขึ้นจึงเป็นการอนุรักษ์และปรับปรุงละครพันทางไปพร้อมกัน คำว่าปรับปรุงนี้ ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่า ของใหม่จะดีกว่าของเก่า แต่เป็นความพยายามที่จะสร้างสะพานเชื่อมโยงละครไทยกับคนดูรุ่นใหม่ เพื่อให้ละครพันทางเป็นศิลปะที่มอบความบันเทิงให้กับคนดูได้เหมือนที่เคยเป็นมาในยุครุ่งเรือง การเลือกเรื่องและตอนที่ได้รับความนิยม ในฐานะละครพันทางอยู่แล้ว จึงมีนัยยะของความพยายามเชื่อมโยงระหว่า "เก่า" และ "ใหม่"
ประการที่สอง ผู้วิจัยสนใจตัวนางละเวง ตัวละครหญิงต่างชาติที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องพระอภัยมณี ผู้ชมละครไทยรู้จักนางละเวงในฐานะนางกษัตริย์ผู้ครองเมืองลังกา ภาพลักษณ์ของนางละเวงดูจะเป็นนางร้าย เพราะเมื่อเทียบกับสุวรรณมาลีผู้ผ่านพิธีอภิเษกสมรสกับพระอภัยมณีอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม นางละเวงก็คือเมียน้อยที่ลักลอบได้เสียกับพระอภัยมณีในยาม ศึกสงคราม แถมยังเล่นไม่ซื่อด้วยการทำเสน่ห์ยาแฝดใส่พระอภัยมณีให้หลง รักนางจนทิ้งเมียและลูกไปอยู่กรุงลังกา อย่างไรก็ตาม หากมองด้วยสายตาที่เป็นกลางจะพบว่า นางละเวงเป็นผู้หญิงที่ต้องต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว เมื่อผู้เป็นพ่อและพี่ชายถูกสังหารโดยทัพของเมืองผลึก เจ้าหญิงแห่งลังกาผู้ได้รับการ ประคบประหงมมาตลอดชีวิตก็ถูกกดดันให้ขึ้นเป็นราชินีนำทัพลังกาออกล้าง แค้น ราชินีละเวงดำเนินบทบาทของผู้นำภายใต้อิทธิพลของราชครูเฒ่า เมื่อนำทัพออกเผชิญหน้ากับพระอภัยมณี เสน่ห์และคารมของพระอภัยมณี ทำให้นางละเวงมีใจให้ ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นในใจเพราะพระอภัยมณีเป็นศัตรูตัวฉกาจของบ้านเมือง สุดท้ายเมื่อพ่ายแพ้แก่มนตร์ปี่ของพระอภัยมณี ความรัก ครั้งแรกของเธอกลับนำมาสู่การถูกตราหน้าจากสุวรรณมาลีว่าเป็นเมียน้อยที่ ไร้ยางอาย จนเมื่อมีลูกกับพระอภัยมณี นางละเวงก็ยังคงต้องหน้าที่ของแม่ จัดการกับลูกชายที่เปิดศึกสงครามกับเครือญาติกันเอง มองในแง่นี้นางละเวง ไม่ใช่ตัวร้าย แต่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่พยายามต่อสู้เพื่ออยู่รอดในทุก บทบาทที่ถูกยัดเยียดให้ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่
บทละครพันทางที่สร้างสรรค์ขึ้นเล่าเรื่องการพบกันระหว่างพระอภัยมณีกับ นางละเวงในมุมมองใหม่ โดยมีนางละเวงเป็นตัวละครเอกของเรื่อง ผู้เขียน ใช้กลวิธีการเขียนบทแบบละครตะวันตกอันเป็นวิธีคิดแบบเดียวกับที่ใช้กันใน ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ปัจจุบันด้วยความคาดหวังว่า สำหรับผู้ชมรุ่นใหม่ ที่ไม่คุ้นเคยกับละครรำของไทย เทคนิคการเล่าเรื่องที่ร่วมสมัยจะช่วยสร้างความสนใจ ชวนติดตามและขับเน้นฉากสำคัญซึ่งถ่ายทอดด้วยลีลาการร่ายรำตามขนบให้น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้ชมที่คุ้นเคยกับละครไทยเรื่องพระอภัยมณีอยู่แล้วก็จะได้เห็นนางละเวงในมุมที่ไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อน
วิธีการเล่าเรื่องของละครไทย
กรมศิลปากรนำวรรณกรรมเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่มาแต่งเป็นบท ละครไว้มากมาย ตอนที่ปรากฏบทบาทของนางละเวงมีอยู่หลายตอน เช่น ตอนพระอภัยมณีพบนางละเวง ตอนหึงละเวง ตอนหลงเล่ห์เสน่ห์ละเวง ตอน หลงละเวง ตอนเกี้ยวนางละเวงและตอนเพลงปี่ประโลมโฉมวัณฬา เป็นต้น โดยทั้งหมดปรากฏฉากที่พระอภัยมณีเป่าปี่เล้าโลมนางละเวงจนหลงเสน่ห์ ผเู้ขยีนศกึษาบทละครเรอื่งพระอภยัมณทีปี่รากฏบทบาทของนางละเวงรวม 5 ตอน ประกอบด้วย
บทละคอน ตอน พระอภัยมณีพบนางละเวง จัดแสดงในปีพ.ศ. 2495
บทละครพันทางเรื่อง พระอภัยมณี ตอนหึงละเวง (โดยนำพล คูณเจริญ) จัดแสดงในปี พ.ศ.2521
บทละครนอกเรื่องพระอภัยมณี ตอนเกี้ยวนางละเวง (โดยชวลิต สุนทรานนท์) จัดแสดงในปี พ.ศ.2549
บทละครเรื่องพระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีพบนางละเวง จัดแสดง ในปีพ.ศ. 2553
บทละครนอกเรื่องพระอภัยมณี ตอนหลงเล่ห์เสน่ห์ละเวง จัดแสดง ในปีพ.ศ. 2554
ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวิธีการเล่าเรื่องของละครไทยไว้เพื่อเป็น แนวทางการในสร้างสรรค์บทใหม่ โดยขออภิปรายเปรียบเทียบกับ แนวคิดการเล่าเรื่องของละครตะวันตกดังนี้
1. โครงเรื่องแบบก้าวกระโดด
บทละครไทยส่วนใหญ่เป็นบทดัดแปลง (adaptation) อาศัยโครงเรื่อง
จากวรรณคดี การเขียนบทละครดูจะตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า ผู้ชมรู้จักวรรณคดีเรื่องนั้นดีอยู่แล้ว การปูพื้นเรื่องเพื่อแนะนำตัวละครหรือบริบทของเรื่องจึงไม่จำเป็น แต่สามารถเข้าสู่ฉากเหตุการณ์สำคัญได้ทันที เช่น บทละครตอนพระอภัยมณีบทนางละเวง ฉบับ พ.ศ. 2553 เปิดเรื่องที่พระอภัยมณีอยู่ใน วงล้อมของทัพลังกา จึงต้องเป่าปี่เพื่อให้สะกดทหารทุกคนหลับใหล เป็นต้น การลำดับฉากใช้วิธีเล่าแบบก้าวกระโดด คือนำเสนอฉากสำคัญหนึ่งและข้ามเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ไปสู่ฉากสำคัญอีกฉากหนึ่งโดยทันที
2. ตัวละครหลักมีได้มากกว่าหนึ่ง
ตัวละครหลัก (main character) หมายถึง ตัวละครที่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง
การกระทำของตัวละครนี้ผลักให้เรื่องราวดำเนินต่อไป เหตุการณ์ที่ตัวละคร หลักได้เผชิญคือบทเรียนที่ทั้งตัวละครและผู้ชมได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน การ ติดตามพัฒนาการของตัวละครหลักทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละคร รวมทั้ง เกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร (identify) และอยากติดตามว่าเรื่องราวจะ ลงเอยอย่างไร ความรู้สึกผูกพันระหว่างคนดูกับตัวละครหลักเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าสิ่งที่ตัวละครหลักกระทำจะเป็นสิ่งที่ีดีหรือไม่ ภาพยนตร์หลายเรื่องมี ตัวละครหลักเป็นนักจารกรรมหรือนักโทษแหกคุก ละครโทรทัศน์ เช่น ดอกส้มสีทองมีตัวละครหลักเป็นเมียน้อย คนดูก็ยังรู้สึกเอาใจช่วยและอยาก ติดตามบทสรุปชีวิตของตัวละคร เพราะเกิดความผูกพันกับตัวละครขึ้นโดย ไม่รู้ตัว
3. มุมมองแบบพระเจ้าเล่าความรู้สึกของตัวละคร
วรรณคดีไทยเล่าเรื่องด้วยมุมมองพระเจ้า (omnipresent point of
view) นำเสนอเรื่องราวด้วยการมองเหตุการณ์จากภายนอก แต่ล่วงรู้ความ รู้สึกนึกคิดภายในใจตัวละครได้ทั้งหมด บทละครไทยที่ดัดแปลงมาจาก วรรณคดีก็ใช้วิธีเล่าแบบเดียวกัน นอกจากการให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวละครผ่าน บทสนทนา ละครไทยยังบรรยายความคิดความรู้สึกของตัวละครให้ผู้ชมได้รู้ อย่างตรงไปตรงมา โดยมีผู้ขับร้องอยู่ข้างเวที ขณะที่ตัวละครก็รำตีบทแสดงความรู้สึกนั้นไปพร้อมกัน
บทละครสไตล์ฝรั่งปะทะนักแสดงไทย
นักวิชาการด้านศิลปะการแสดงศึกษา Richard Schechner (2003, p. 78) กล่าวไว้ว่า บทการแสดงคือบันทึกของภาพการแสดงที่นักเขียนมองเห็น ผ่านจินตนาการระหว่างที่เขียนบท การเขียนบทเล่ห์ละเวงนับเป็นครั้งแรกที่ ผู้เขียนต้องยอมรับว่าภาพการแสดงในจินตนาการนั้นไม่ได้ชัดเจนเหมือนการ เขียนเรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านมา ปกติเวลาเขียนบทสนทนา ผู้เขียนจะได้ยินเสียงตัว ละครอยู่ในหัว คือได้ยินว่าตัวละครพูดอะไร จังหวะการสนทนาเป็นอย่างไร รวมทั้งมองเห็นปฏิกิริยาที่ตัวละครแสดงออกทั้งภายนอกและภายใน แต่สำหรับเล่ห์ละเวงที่ตัวละครต้องสื่อสารด้วยกลอนและการรำ ผสมกับ บทบรรยายซึ่งขับร้องโดยผู้พากย์ ผู้เขียนซึ่งไม่คุ้นกับละครรำของไทยจึง จินตนาการได้เป็นภาพใหญ่ ๆ ของฉากคล้ายกับการทำสตอรี่บอร์ด อีกทั้งไม่ สามารถเขียนกลอนบทละครได้เองจึงจินตนาการเสียงและจังหวะการแสดงไม่ออก การกำหนดจังหวะของเรื่อง (Pace) จึงไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผู้เขียนอย่างที่เคยเป็น
ตอนที่เขียนบทละครนั้น ผู้เขียนตั้งใจนำความรู้การละครตะวันตกไปใช้กับบทละครไทย โดยโฟกัสที่การทดลองสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากบทละครไทยที่เคยทำ มิติที่ผู้เขียนไม่ทันนึกถึงคือการทดลองสิ่งใหม่ยังหมายถึงการปะทะกันของขนบ เมื่อบทละครสไตส์ฝรั่งนี้ถูกถ่ายทอดด้วยนักแสดงเติบโดมากับการฝึกฝนนาฏศิลป์ไทย
สนใจอ่านบทความเต็ม ๆ ได้ที่หนังสือ "ปรากฏการณ์การแสดง"
https://www.facebook.com/ThaiPerformancePracticeResearch/shop/?rt=19
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
"วิจัยการแสดง : สร้างสรรค์งานวิจัยในศิลปะการแสดงไทยร่วมสมัย"
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย