29 เม.ย. 2020 เวลา 09:36 • การศึกษา
บทความวิจัยการแสดง
การสร้างละครชุมชนมุสลิมจากศิลปะการขับร้องและบทกวีสรรเสริญศาสดา
"บัรซันญี" เพื่อสื่อสารศาสนธรรมสู่ชุมชน"
คอลิด มิดำ - ฟาริดา จิราพันธ์
วีดิโอบันทึกการแสดง ความยาว 46 นาที และเสวนาท้ายเรื่อง
การสร้างละครชุมชนมุสลิมจากศิลปะการขับร้องและบทกวีสรรเสริญศาสดา "บัรซันญี" เพื่อสื่อสารศาสนธรรมสู่ชุมชน"
การวิจัยครั้งนี้เริ่มต้นจากความสนใจของผู้วิจัยที่ต้องการสร้างสรรค์การ แสดงที่นำวัฒนธรรมและศิลปะจากวิถีมุสลิมในประเทศไทยมาสร้างสรรค์ จากบทบาทการเป็นสมาชิกของชุมชนมุสลิม และมีประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ละคร และเป็นนักแสดงในวงการละครร่วมสมัยในประเทศไทย ทั้งยังได้ผลักดันให้มีการจัดแสดงละครในชุมชนบ้านม้า ชุมชนมุสลิมที่ผู้วิจัยอาศัยอยู่
ตลอดระยะเวลา 10 ปี ผู้วิจัยเล็งเห็นว่า หากคนในชุมชนมุสลิมสามารถพัฒนาการแสดงที่เกิดจากรูปแบบการแสดงจากวัฒนธรรมของตนเอง น่าจะเป็นพัฒนาการที่สำคัญของทั้งตัวผู้วิจัยที่เป็นมุสลิม และต่อศิลปะการแสดงและต่อชุมชนมุสลิมได้
ผู้วิจัยมีความสนใจบทกวีสรรเสริญศาสดาที่เรียกว่า บัรซันญี มีเรื่องเล่าว่า บัรซันญี คือ ชายผู้หนึ่ง ที่ขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าหากตนเองหายจากความมทุกข์ทรมานจากโรคภัยแล้ว เขาจะแต่งบทกวีสรรเสริญพระศาสดา และกลายเป็นบทกวีบัรชันญีนี้ ประวัติศาสตร์นี้ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพร้อมกับการมาของนักเผยแพร่ศาสนาที่นำหลักธรรมทางศาสนาพร้อมกับวัฒนธรรมและศิลปะซึ่งรวมไปถึงบทกวีที่เรียกว่า บัรซันญีนี้
บัรซันญีถูกเขียนด้วยวรรณศิลป์ที่งดงามตามแบบอาหรับ เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง ด้วยความไพเราะและความหมายที่เป็นการสรรเสริญศาสดาจึงแพร่หลายอยู่ในชุมชนมุสลิมในฐานะของดีที่มีคุณค่า กลายเป็นวัฒนธรรมการใช้บัรชันญีประกอบในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
การทดลองสร้างสรรค์การแสดงจากการนำบทกวีสรรเสริญศาสดาและ ศิลปะการขับร้องในวัฒนธรรมของชาวมุสลิมนั้น ผู้วิจัยสนใจที่จะค้นหารูป แบบการแสดงที่สามารถสื่อสารประวัติชีวิตของศาสดามุฮัมหมัด ให้สามารถ เข้าถึงและเชื่อมโยงกับผู้ชมชาวมุสลิมในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีวัตถุประสงค์ที่จะ สร้างการรับรู้ใหม่ต่อประเพณีการอ่าน บัรซันญี บทกวีที่ผู้ปฏิบัติศาสนา อิสลามมองการนำมาใช้ต่างกัน คือ มองพิธีการอ่านบัรซันญีในฐานะสิ่งผิดต่อ หลักศาสนา ในขณะที่กลุ่มหนึ่งเห็นว่าเป็นวัฒนธรรมที่เหมาะสมและควรค่า แก่การรักษาไว้ จากโจทย์และวัตถุประสงค์ที่ผู้วิจัยตั้งไว้ นำไปสู่การทดลองสร้างการแสดงร่วมกับนักแสดง และศิลปินนักการละคร ก่อให้เกิดข้ออภิปราย ต่อผลการสร้างสรรค์งานดังนี้
1. กระบวนการสร้างการแสดงในวิถีละครฐานชุมชน
ผลงานศิลปะการแสดงในการวิจัยสร้างสรรค์ครั้งนี้ เป็นการสร้างสรรค์ ละครบนฐานชุมชน (Community-based theatre) ที่ใช้วัตถุดิบจากคนในชุมชนที่เข้าร่วมสร้างสรรค์การแสดง สำหรับนิยามความหมายของชุมชนในมิติการแสดงชิ้นนี้ อาจะนิยามได้สองความหมายคือ ชุมชนความเชื่อชาวมุสลิมและชุมชนของนักเรียนปอเนาะ ท้ังสองนิยามมีความเกี่ยวเนื่องกัน กล่าวคือ ชุมชนทั้งสองไม่ใช่ชุมชนทางกายภาพ หากแต่เป็นชุมชนของผู้ที่มีความเชื่อ และศรัทธาและวิถีแบบเดียวกัน ชุมชนความเชื่อชาวมุสลิมนั้นมีความกว้างขวาง และเป็นสากล ส่วนชุมชนของนักเรียนปอเนาะเป็นกลุ่มสังคมย่อยของ ผู้ปฏิบัติศาสนาอิสลาม
2. รูปแบบและเนื้อหาของละครในบริบทของชาวมุสลิม
จาการทดลองสร้างสรรค์การแสดงละครจากบทกวีสรรเสริญศาสดาและศิลปะการขับร้องร่วมกับคณะน้องร้องอนาชีด ทำให้เกิดรูปแบบการแสดงที่เป็นต้นแบบในการสร้างสรรค์การแสดง
3. กระบวนการของศิลปะการละครกับการสื่อสารศาสนธรรมสู่ชุมชน
3.1 จากความรู้จักสู่ความรู้สึก: ประสบการณ์ใหม่ต่อชีวิตศาสดา
3.2 บทบาทของการแสดงในฐานะสะพานของการเรียนรู้ชีวิตมุสลิม
4. แนวทางของการพัฒนาละครและการนำไปใช้ในอนาคต
4.1 เปลี่ยนชุมชน เปลี่ยนคน แต่คงรูปแบบเดิม
4.2 การพัฒนาการแสดงไปสู่ละครเวทีเต็มรูปแบบ
ศิลปะการขับร้องเป็นต้นทุนทางศิลปะที่สำคัญของชุมชนมุสลิม ในขณะ
เดียวกันเรื่องราวของคนธรรมดาสามัญบางเรื่อง อาจะเป็นเรื่องราวที่สามารถ นำมาพัฒนาสร้างบทละคร และรูปแบบการแสดงแบบกึ่งพิธีกรรมที่แสดงวิถี วัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์นี้สามารถนำมาพัฒนาเป็นละครเต็มรูปแบบได้หากเราสามารถพัฒนากลุ่มนักแสดงให้มีทักษะเพิ่มขึ้นและพัฒนาบทละครให้ดำเนินเรื่องราวที่ซับซ้อน มีโครงเรื่อง มีการกระทำในละครขึ้น และยังสามารถนำเสนอผ่านวิธีการที่หลากหลายขึ้นได้ด้วย
5. มหาวิทยาลัย โรงละคร กับการเป็นพื้นที่เชื่อมต่อชุมชน
บทสรุป
การทำวิจัยสร้างสรรค์การแสดง โดยเฉพาะกับผู้คนที่มีภูมิรู้ นักวิจัยไม่ใช่
เจ้าของผลงานทั้งหมด แต่ศิลปินเหล่านั้นเป็นผู้ถักทอเรียงร้อยผลงานออกมา ด้วยศักยภาพของพวกเขา หน้าที่ของนักวิชาการ นักวิจัย กระบวนกร หรือนักการละครชุมชนคือร้างพื้นที่ให้ศิลปะในตัวตนของพวกเขาเหล่านั้นปรากฏออกมาให้มากที่สุด ความรู้ทางวิชาการอาจช่วยต่อภาพให้ศิลปินเหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ทำหน้าที่ชี้ชวนและจัดประสบการณ์ให้ศิลปินได้ทดลองสิ่งใหม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ความรู้ที่เราหยิบยื่นให้นั้นดีกว่า เหมาะสมกว่าแต่เป็น เพียงข้อเสนอหนึ่งเท่านั้น อรรถประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เป็นสิ่ง ที่ศิลปินจะเลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง หากเราทำงานอยู่บนฐานของความ เอื้ออาทรและแบ่งปันกัน เชื่อแน่ว่าศิลปินจะรับรู้ถึงความปรารถนาดีนั้นและ สามารถต่อยอดความรู้ไปใช้ในอนาคตได้แน่นอน
สนใจอ่านบทความเต็ม ๆ ได้ที่หนังสือ "ปรากฏการณ์การแสดง"
โฆษณา