ในเช้าตรู่ของวันนั้น พระบรมศาสดาทรงถือบาตร เสด็จออกจากพระคันธกุฎีตามลำพัง ทรงปรากฏกายต่อหน้าองคุลิมาล ซึ่งกำลังวิ่งไล่มารดาของตนเอง ผู้หวังจะมาเตือนลูกชายให้หนีไปไกลๆ จะได้ไม่ถูกพระราชาจับไปประหารชีวิต เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศลพร้อมด้วยทหารมากมาย กำลังกรีฑาทัพออกจากพระนคร เพื่อจะมาจับองคุลิมาลเพียงคนเดียว เนื่องจาก องคุลิมาลถูกอกุศลเข้าครอบงำเสียแล้ว จึงไม่ได้สนใจว่าผู้ที่อยู่ข้างหน้าเป็นใคร หวังแต่จะตัดเอานิ้วมือไปให้ได้ครบ ๑,๐๐๐ จะได้เรียนวิชาเป็นเจ้าโลก
เมื่อเห็นว่ามีผู้มายืนขวางหน้า องคุลิมาลจึงเปลี่ยนจากที่จะวิ่งไล่ฆ่ามารดาของตนเอง มาเป็นไล่ล่าพระบรมศาสดาแทน องคุลีมาลถือดาบติดตามพระพุทธองค์ไปทางพระปฤษฎางค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร แม้ว่าองคุลิมาลจะวิ่งจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระพุทธองค์ ผู้เสด็จดำเนินไปตามปกติได้
องคุลิมาลคิดว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีเลย เมื่อก่อนแม้ช้างกำลังวิ่ง ม้ากำลังวิ่ง รถกำลังแล่น เราก็ยังวิ่งตามทัน แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะผู้ซึ่งเดินไปตามปกติได้ เมื่อเหนื่อยอ่อนจึงหยุดยืนกล่าวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า...
“สมณะหยุด สมณะหยุดก่อน”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด”
องคุลิมาลได้ฟังแล้วก็สงสัย จึงทูลว่า “ดูก่อนสมณะ ท่านกำลังเดินอยู่กล่าวว่า หยุดแล้ว ซ้ำยังบอกข้าพเจ้าผู้หยุดแล้วว่าไม่หยุด ดูก่อนสมณะ ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดเป็นอย่างไร”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนองคุลิมาล เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ จึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราจึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนท่านยังไม่หยุด”
องคุลิมาลเป็นคนมีปัญญา ได้ฟังนัยอันลึกซึ้งเช่นนั้นก็กลับได้สติขึ้นมา จึงทิ้งดาบลงไปในเหวลึก แล้วทูลว่า “ข้าแต่สมณะ ท่านมาถึงป่าใหญ่เพื่อจะสงเคราะห์ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักละบาป และฟังถ้อยคำของท่าน” แล้วจึงทูลขอบรรพชากับพระพุทธองค์
นับแต่ท่านบวชแล้ว เศษกรรมยังตามมารังควานท่าน ทั้งกายและใจอยู่ตลอดเวลา เวลานั่งสมาธิ(Meditation)ก็มีภาพของเจ้ากรรมนายเวรตามมารังควาน ทำให้ใจไม่สงบ เวลาออกบิณฑบาตในยามเช้า มหาชนผู้ที่สูญเสียญาติอันเป็นที่รัก เพราะถูกองคุลิมาลฆ่า วันแรกๆ จากที่ได้ยินว่า พระองคุลิมาลออกมาบิณฑบาต ก็พากันวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน เพราะกลัวจะถูกฆ่า ท่านจึงได้แต่อุ้มบาตรเปล่ากลับวัดไป ภายหลังมหาชนเปลี่ยนจากกลัวมาเป็นเกลียด จึงพากันขว้างปาก้อนหินใส่ท่าน บาตรแตกบ้าง หัวแตกบ้าง จีวรเปื้อนเลือด เดินโซกลับวัดพระเชตวัน ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นท่านองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล ได้ตรัสให้กำลังใจว่า “เธอจงอดทนเถอะ ผลกรรมที่ได้รับในชาตินี้ ไม่ได้เพียงเศษเสี้ยวที่จะต้องไปรับในมหานรก ซึ่งเผ็ดร้อนกว่านี้มากมายหลายเท่านัก”
พระองคุลิมาลอาศัยความอดทนมีขันติธรรมเป็นเลิศ หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเรื่อยไป ในที่สุด...ท่านสมปรารถนาได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกต่อไป
จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า อาศัยความอดทนเพียงอย่างเดียว สามารถเปลี่ยนจากปุถุชนคนธรรมดา ให้กลายมาเป็นพระอริยเจ้าได้ การจะสร้างบารมีอะไรสักอย่าง ก็ต้องอาศัยความอดทนทั้งนั้น โดยเฉพาะการสร้างบารมีเป็นทีม เพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมนั้น ต้องอาศัยกำลังใจที่สูงส่ง ต้องใช้ความอดทนเป็นตบะธรรมอันสูงสุด
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญว่า ขันติ คือ ความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง อุปสรรคแม้สูงตระหง่านเทียมฟ้า ก็สามารถพังทลายลงมาให้ราบเป็นหน้ากลองได้ เพราะอาศัยความอดทนนี่แหละ กิเลสอาสวะต่างๆที่ห่อหุ้มนอนเนื่องอยู่ในจิตใจ มานับภพนับชาติไม่ถ้วน จะถูกขจัดออกไปได้ ความอดทนเป็นตบะที่จะแผดเผาให้กิเลสเร่าร้อน เมื่อกิเลสเร่าร้อนก็หลุดร่อนออกจากใจของเรา
ดังนั้น ให้ทุกท่านหมั่นฝึกฝนอบรมตนเอง ให้เป็นผู้มีความอดทนเป็นเลิศ มีความอดทนเป็นธรรมาวุธที่จะเอาชนะกิเลสอาสวะทั้งปวง และก็ให้หมั่นนั่งธรรมะ กลั่นกาย วาจา ใจ ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำกันไปจนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน