*เหมือนในอดีตกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีทรัพย์สมบัติ ๘๐โกฏิ ชื่อว่า กุณฑลกุมาร ศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉานในศิลปะทุกแขนง พอบิดามารดาละโลกไปแล้ว ท่านก็ได้มองดูกองมรดกที่บิดามารดาเก็บรักษาไว้ให้ ท่านพิจารณาเห็นว่า สมบัติที่หมู่ญาติของเราหามาได้นี้ ใช้ได้เฉพาะในภพชาตินี้เท่านั้น ไม่มีใครสามารถนำติดตัวไปได้เลย ท่านจึงตัดสินใจเปิดคลังสมบัติทั้งหมด แล้วบริจาคมหาทานบารมีตลอด ๗วัน จากนั้นก็เข้าป่าหิมพานต์ เพื่อไปบวชเป็นฤๅษีบำเพ็ญตบะอยู่ตามลำพัง
วันหนึ่ง ท่านได้ออกจากป่า เข้าไปเที่ยวภิกขาจารในกรุงพาราณสี เสนาบดีท่านหนึ่งเห็นกิริยาอาการของท่านแล้ว บังเกิดความเลื่อมใส จึงน้อมถวายภัตตาหารด้วยความเคารพ และถือโอกาสอาราธนาท่านให้พักอยู่ในพระราชอุทยาน อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุ ทรงดื่มน้ำจัณฑ์จนมึนเมาในพระราชอุทยาน แล้วทรงบรรทมบนตักของสนมที่โปรดปรานนางหนึ่ง ส่วนพวกหญิงนักฟ้อนก็พากันขับร้องให้พระองค์บันเทิงใจ
พอพระเจ้ากลาปุทรงบรรทมหลับไป พวกหญิงนักฟ้อน จึงชักชวนกันไปฟังธรรมจากพระดาบสซึ่งพำนักอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่กำลังฟังธรรมอยู่นั้น พระราชาได้ตื่นจากบรรทม เมื่อมองดูรอบข้าง ไม่เห็นเหล่านางสนมกำนัล จึงทรงพิโรธมาก ได้ถือพระขรรค์เสด็จไปหาพระดาบสด้วยความโกรธ พร้อมกับถามว่า...
“ท่านดาบส ท่านมีวาทะว่ากระไร”
พระดาบสทูลว่า “มหาบพิตร อาตมามีขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติธรรม”
พระราชาตรัสถามต่อว่า “ที่ชื่อว่าขันตินั้นคืออะไร”
พระดาบสตอบว่า “ขันติก็คือความไม่โกรธ ไม่ผูกพยาบาท แม้มีใครจะมาประทุษร้ายก็รักษาจิตให้สงบ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบ”
พระราชาได้ฟังดังนั้น จึงตรัสว่า “ประเดี๋ยวเถอะ เราจะได้เห็นขันติของท่าน”
แล้วก็รับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมา เพชฌฆาตโพกผ้าแดงรีบเข้ามาถวายบังคมพระราชา แล้วกราบทูลว่า จะให้ทรงทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า “เจ้าจงจับดาบสนี้ให้นอนคว่ำลงกับพื้น แล้วเอาแซ่หนามเฆี่ยนสองพันครั้ง” เพชฌฆาตก็ทำตามรับสั่ง พระดาบสแม้จะมีฤทธิ์ แต่ท่านก็ไม่ประทุษร้ายต่อเพชฌฆาต ในใจของท่านก็ไม่ขุ่นมัว เพราะท่านหวังจะเพิ่มขันติบารมี แม้ผิวหนังของท่านจะมีบาดแผลจากการเฆี่ยนตี ได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่ท่านก็ไม่ปริปากโอดครวญ