1 พ.ค. 2020 เวลา 00:43 • สุขภาพ
เรื่องของอายุ ไม่ได้มีเฉพาะอายุที่เป็นตัวเลขเท่านั้น แต่มีเครื่องวัดอยู่ 4 ด้านและแต่ละด้านเป็นเครื่องวัด "ความแก่" ของเราๆอีกทีหนึ่ง
-Chronological Age อายุของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ คืออายุจริงนับจากวันที่เกิดถึงเลขปฏิทินปัจจุบัน
ความแก่ตามอายุนี้มักถูกกำหนดโดยตัวเลข เช่นในแง่สังคมก็มักเรียกคนที่อายุเกิน 60 ให้เพราะขึ้นว่าเป็นผู้สูงวัย แต่ในทางแง่ฟิตเนส อายุเกิน 55 ก็จัดเป็นผู้สูงวัยแล้ว
-Biological Age อายุของร่างกายในปัจจุบัน หรืออายุฟิต เมื่ออายุร่างกายของเราที่เทียบกับสภาพร่างกายของคนปกติในระดับอายุต่างๆ
อายุนี้อาจไม่เท่ากับอายุจริง คนที่ดูแลร่างกายดี อายุร่างกายสามารถน้อยกว่าอายุจริงได้สูงสุดถึง 25 ปี
คนที่อายุร่างกายน้อยกว่าอายุจริงมากๆ มักไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่ เพราะมักทำอะไรได้ดีกว่าคนที่อายุปฏิทินเท่ากันแต่อายุร่างกายเท่าหรือมากกว่าอายุปฏิทิน และอายุร่างกายเราอาจมากกว่าอายุจริงได้หลายปีเพราะโรคขยับตัวน้อย (Hypokinesis)
-Psychological Age อายุระดับความคิด ความตระหนัก ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกการใช้การคิดตามกระบวนการต่างๆ เช่น คิดเชิงวิเคราะห์ คิดเชิงบูรณาการ คิดแบบโยนิโสมนสิการ ฯลฯ
ความแก่ในแง่นี้น่าจะเป็นความแก่ที่เราๆมักอยากได้นะคะ
-Social Age อายุระดับพฤติกรรมและวิถีชีวิต ซึ่งอิงพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่รับรู้หรือยอมรับ เคยได้ยินไหมคะ ที่บางทีเรานึกสนุกอยากเล่น แต่มีคนบอกว่าเล่นอะไรเป็นเด็กๆ อย่างนี้เป็นต้น
สว.บางคนใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่น เดินทางคนเดียว สะพายเป้ ขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียว เดินอย่างกระฉับกระเฉง ดูแล้วไม่เหมือน สว.ที่มักเคลื่อนไหวเชื่องช้า มีคนคอยประกบ มีคนคอยระวังไม่ให้ล้ม
ที่เล่าทั้งหมดมาก็มาสู่ประโยคสุดท้ายของย่อหน้าที่ผ่านมานี่แหละค่ะ คือถ้าเราดูแลร่างกายดี หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายหมั่นพัฒนาประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว เราก็จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพึ่งพิงใครหรืออะไร
ปัจจุบันมี สว.เพียง 5 % เท่านั้นค่ะ ที่ร่างกายแข็งแรง เคลื่อนไหวได้ดังใจ
ถ้าวันนี้เราไม่ใคร่ขยับตัวจนเกิดโรคขยับตัวน้อยขึ้น ก็จะเกิดการขาดสมดุลของกล้ามเนื้อ ข้อต่อติดขัด การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ส่งผลให้เกิดการปวด ชา ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เคลื่อนไหวไม่สะดวก ขาสองข้างสั้นยาวไม่เท่ากัน ทำกิจวัตรประจำวันได้ลำบาก ฯลฯ
และโรคกลุ่ม NCDs อันประกอบด้วยโรคความดันโลหิตสูง,โรคถุงลมโป่งพอง,โรคหัวใจหลอดเลือดและสมอง,โรคเบาหวาน,โรคอ้วนลงพุง และโรคมะเร็ง ก็กวักมือเรียกเราเข้าไปหา
ถ้าเราไม่มีเวลาออกกำลังกายเลยนะคะ อย่างน้อยเมื่อนั่งทำงานสักชั่วโมงก็ควรลุกเดินสัก 5 นาที และควรมีการยืดเหยียดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 15 - 60 นาที
ทำเป็นอย่างน้อย ยังดีกว่าไม่ทำเลยค่ะ
และถ้าจะเริ่มออกกำลังกาย เข้าสู่การฝึกร่างกาย เริ่มฝึกใหม่ๆ ควรฝึกความมั่นคงที่แกนกลางลำตัวก่อน อาจจะประกอบกับการฝึกพัฒนาการรับรู้ที่มือและเท้าร่วมด้วยก็ได้ค่ะ ท่าคลานดูจะเหมาะมาก เพราะจุดศูนย์ถ่วงต่ำ โอกาสล้มจึงยาก
ที่ว่าควรฝึกในท่าคลาน เพราะมือและเท้าเรามีตัวรับการรับรู้การเคลื่อนไหว การรับรู้ตำแหน่งข้อต่อที่อยู่ในอากาศ เป็นจำนวนมาก อันช่วยให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ไม่ล้มง่าย ทรงตัวได้ดี ซึ่งตัวรับและประสิทธิภาพในการรับรู้เหล่านี้จะลดน้อยลงเพราะอายุที่มากขึ้นและเพราะการขาดฝึกฝนหรือการที่เท้าไม่ใคร่ได้สัมผัสหลายพื้นผิว (เพราะส่วนใหญ่เรามักใส่รองเท้ากัน)
Bear Crawl เป็นการฝึกที่อยากชวนฝึกค่ะ นอกจากจะให้ประโยชน์ต่อการรับรู้การเคลื่อนไหวแล้ว ยังช่วยสร้างทั้งความมั่นคงและความพร้อมในการเคลื่อนไหวให้ข้อต่อไหล่ สร้างความแข็งแรงให้แกนกลางลำตัว แขน ขา ได้อีกด้วย
คลานกันหลายๆคน ก็สนุกดีค่ะ Burn ไขมันไปสนุกไปค่ะ
อ้อ ก่อนฝึก ควรเดินด้วยความเร็วปานกลางสัก 10-15 นาทีก่อนนะคะ ให้ตัวอุ่นๆก่อน
และเนื่องจากชุดฝึกนี้มีการก้มศีรษะต่ำ จึงมีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงค่ะ อาจตัดท่าที่มีการก้มศีรษะต่ำออกไป เพราะอาจทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ล้มฟาดได้ และไม่ควรหัดคลานบนที่นอนนะคะ เพราะพื้นไม่มั่นคง เดี๋ยวจะล้ม ข้อมือซ้นได้ค่ะ
เริ่มต้นด้วยการคุกเข่าแบบจะคลานสี่ขาก่อน แล้ว Bracing หรือก็คือการม้วนกระดูกหางเข้า ขมิบทวาร เกร็งหน้าท้องนั่นเองค่ะ แล้วยกเข่าขึ้นสูงจากพื้นประมาณ 2 นิ้ว แล้วจึงคลานหรือฝึกตามท่าฝึกไป ที่สำคัญ Bracing นี้ต้องทำตลอดการฝึกค่ะ เพื่อปกป้องกระดูกสันหลังและจัดหลังล่างให้อยู่ในแนวตามธรรมชาติ
แต่ถ้าฝึกจนชำนาญแล้ว แกนกลางลำตัวแข็งแรงดีแล้ว การคลานบนที่นอนเป็นการเพิ่มความยาก ก็จะใช้พลังงานมากขึ้น ท้าทายมากขึ้นค่ะ
ลองดูนะคะ ท่าฝึกดูเหมือนง่าย แต่รับรองว่าถ้าจะให้เคลื่อนไหวโดยที่แผ่นหลังตรง สะโพกไม่เอียงซ้ายทีขวาทีนั้น ยากมากๆ
แล้วก็เบิร์นดีมากๆด้วยค่ะ
โฆษณา