2 พ.ค. 2020 เวลา 11:58 • ความคิดเห็น
Gold Update
มุมมองทองคำ หลังจากนี้ทองคำจะเป็นอย่างไร ?
สำหรับคนที่ลงทุนในทองคำหรือมี Position
ในทองคำอยู่นั้นก็คงอยากให้ทองคำราคาปรับตัวสูงขึ้น
ปัญหาในตอนนี้คือ ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด
คำถามคือ ยังมี Upside เหลืออีกเท่าไหร่ หากเราจะลงทุนในตอนนี้
ก่อนอื่นเลยนะครับ
เรามาดูกันที่ Factors ที่จะส่งผลต่อราคาทองคำกันก่อน
ทองคำนั้นถูกมองว่าเป็น Safe Haven Asset
Safe Haven หน้าที่ของมันคือการปกป้อง Wealth
ของเจ้าของ หรือปกป้องความมั่งคั่งของผู้ที่ถือครองมันนั้นเอง
ความกลัว ความไม่มั่นคงต่างๆ
มันจึงเป็นเหมือนกับ trigger ที่กระตุ้นให้ราคาของสินทรัพย์ประเภทนี้ปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้นยิ่งความกลัวของผู้คนเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่
นั้นก็จะเป็นเเรงพลักดัน ที่ทำให้เกิด
การไหลของกระเเสเงิน
ที่ไหลเข้ามาในสินทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็น
Safe Haven Assets มากขึ้นเท่านั้น
เเต่หากความกลัวของผู้คนลดต่ำลง
มันก็จะเกิด Transection ที่ตรงข้ามกัน
กระเเสเงินจะตีย้อนกลับ
ไหลออกจาก Safe Haven Assets
เข้ามาสู่ตลาดที่มีความเสี่ยงมากกว่า เพื่อตอบสนองความต้องการเก็งกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น
Assets ที่เป็น Safe Haven กับ Assets ที่เอาไว้เก็งกำไร ก็เป็นเหมือนกับไม้เบื่อไม้เมาครับ
ตลาดไม่เเน่นอน เกิดความกลัว
เงินไหลออกจากตลาดหุ้น มาสู่ทองคำ หรือ Safe Haven อื่นๆ
ตลาดปรับตัวสูงขึ้น ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย
ความกลัวเริ่มหายไป
เงินจากทองคำ จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น
ดังนั้นบังจะเเบ่ง Factors ออกเป็นสองเเบบ
1.ปัจจัยที่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น
(ตลาดหุ้นดี เงินไหลออกจากทองคำ)
2.ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นนั้นเอง
(ตลาดหุ้นเเย่ ไม่มั้นคง เงินไหลเข้ามาในทองคำ)
มาเริ่มกันที่ปัจจัยที่ส่งผลดีกับตลาดหุ้นก่อนเลยนะครับ
อย่างเเรกคือการ Take action ของ Central Bank ต่างๆ
ธนาคารกลางต่างๆเคลื่อนไหวตัวเร็วมากขึ้น
นโยบายต่างๆที่ออกมามากมายเพื่อพยุงตลาดไว้
เหตุการณ์นี้ต่างกับเมื่อตอน Suprime อย่างเห็นได้ชัด
ในตอนนั้น Fed รอให้ตลาดล้มเเล้วจึงเข้ามาช่วย
เเต่ตอนนี้คือ เข้ามาช่วยอย่างเต็มรูปเเบบ ไม่ปล่อยให้ตลาดล้มลง
-ลดอัตราดอกเบี้ยต่ำถึง 0 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การลดอัตราดอกเบี้ยเเละคงอยู่ที่ระดับใกล้ 0 นั้น
สำหรับคนที่มีเครดิตก็เหมือนกับการได้รับเงินฟรีๆ
แต่กลับกันคนที่ตกงานไม่มีเครดิตก็ไม่สามารถที่จะรับเงินในส่วนนี้ได้เลย
คนรวยจะยิ่งรวยยิ่งขึ้นและคนจนก็จะยิ่งจนนั่นเอง
-อัดฉีดเงิน ทำ QE เพิ่มสภาพคล่องเข้ามาในตลาดเเบบไม่อั้น
เเจกเงินคนทั่วไป เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตในช่วงเวลาที่ตกงานได้
-กองทุนต่างๆที่ออกมาเพื่อช่วยค้ำเเละพยุงตลาดพันธบัตรเเละหุ้นกู้ที่กำลังมีปัญหา
ดัชนีความผันผวน(VIX)
ดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้
ความผันผวนน้อย =
ความสบายใจของนักลงทุนในตลาด
ความกลัวในตลาดลดน้อยลง
นักลงทุนมั้นใจมากยิ่งขึ้น
ก็จะมีเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้นนั้นเอง
ทุกข้อที่กล่าวมาข้างบนนั้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทั้งสิ้นครับ
การเคลื่อนไหวของ Fed นั้น พูดได้ว่า สร้างความสบายใจในตลาดระดับนึงเลยก็ว่าได้ครับ
ดังนั้นถ้าทำเเบบนี้ไปเรื่อยๆอีก 2-3 ปี
ตลาดค่อยๆรับรู้ถึงสิ่งที่ Fed กำลังทำ
ถ้าตลาดมั่นใจเเล้วว่า Crisis ในครั้งนี้ Fed และ Central Bank อื่นๆ
สามารถรับมือได้ ตลาดจะไม่ล้มเเน่นอน
คนที่ถือทองคำอยู่ในตอนนี้ ก็อาจจะต้องผิดหวัง
กับผลตอบเเทนที่จะได้รับในช่วง Gap ของช่วงเวลาที่กล่าวมาข้างบนนี้
**อย่าลืมนะครับ ทองคำไม่สามารถสร้างกระเเสเงินสดให้กับพวกเราได้
ในกรณีนี้นั้น มันจะเกิดความแตกต่างของคนที่วางเงินในทองคำเเละตลาดหุ้นทันที
เเล้วปัจจัยลบที่ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นหล่ะ
(เเต่ส่งผลดีต่อทองคำ)
ระยะเวลาในการผลิตวัคซีนเพื่อแจกจ่าย เเละรักษาผู้คน
เพื่อสร้างความสบายใจจากไวรัส Covid 19
ซึ่งในตอนนี้นั้น ยังไม่ทราบถึงช่วงเวลาที่ชัดเจน
และความไม่ชัดเจนนี้อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะกระตุ้นกระแสเงินจากคนที่มีความกลัวในตลาดให้ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดของทองคำหรือตลาดที่ความเสี่ยงต่ำ
การเเพร่ระบาดในสหรัฐที่ยังไม่สามารถควบคุมได้
ผู้คนที่ตกงานเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของ Coronavirus
จำนวนคนที่ตกงานนั้นนับเป็นตัวเลขที่สูงมาก
แต่คำถามคือคนที่ตกงานเหล่านี้จะสามารถหางานทำได้ตอนไหนการควบคุมหรือ control อาชญากรรมในช่วงที่คนหมู่มากตกงานพร้อมกัน
จะสามารถทำได้หรือไม่นี่คือปัจจัยที่เราต้องจับตาดูครับ
บริษัทต่างๆที่มีการกู้ยืมเงิน เพื่อชดเชยส่วนที่เสียไปจากเหตุการณ์ Padamic ในครั้งนี้
ผลกระทบของการอัดฉีดเงินเข้ามาอย่างมหาศาลจะทำให้เกิดการเสื่อมค่าของค่าเงินหรือไม่
ทุกสิ่งที่กล่าวมาข้างบนนี้จะส่งผลให้ตลาดเกิดความกลัวเกิดความไม่แน่นอน
และความกลัวกับความไม่แน่นอนจะเป็นแรงผลักดันขับเคลื่อนในตัวของราคาทองคำนั่นเอง
อย่างที่บังเคยบอกไปในบทความก่อนหน้านี้
ทองคำเคยสร้างบาดเเผลไว้ในใจ
ของนักลงทุนหลายๆคน
10 ปี นับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากครับ
ไม่ต้องพูดถึงค่าเสียโอกาสที่ต้องเจอระหว่างทางเลย
จากภาพด้านบนนี้ เราจะเห็นถึงความเเตกต่างของคนที่ลงทุนในหุ้น เเละคนที่ลงทุนในทองคำ
เส้นสีเเดง S&P 500
ผลตอบเเทนย้อนหลัง 10 ปี 156.42%
กลับกัน
เส้นสีเหลือง Gold (ทองคำ)
ผลตอบเเทนย้อนหลัง 10 ปี 45.01 %
ต่างกันมากใช่มั้ยครับ
ในช่วงเวลาที่ไม่เเน่นอนเเบบนี้
กับข่าวดีของทองคำที่ออกมาตลอดเเบบไม่ขาดสาย
บังอยากให้ทุกคนระมัดระวังในส่วนนี้ด้วยนะครับ
เราลงทุนทองคำเพื่อเป็นหลักประกัน Wealth ของเรา
เราไม่ควรที่จะใช้เงินทั้งหมด All in เข้าไป..
จริงๆไม่ใช่เเค่ทองคำหรอกนะครับ
ทุกทรัพย์สินต่างมีความเสี่ยงในตัวเองทั้งนั้น
เเต่อย่าลืมนะครับ
ช่วงเวลาในตอนนี้ กับ ช่วงเวลาเมื่อ 10 ปีก่อน
บริบทมันต่างกันค่อนข้างมาก
หากครั้งนี้กระเเสเงินสดเลือกที่จะวิ่งเข้าไปหาทองคำหล่่ะ
หากครั้งนี้ Fed ไม่สามารถควบคุมกระเเสเงินได้
หากครั้งนี้สกุลเงิน Fiat Currency
ที่มีชื่อว่าดอลล่าร์จะล้มลงจริงๆ
เราจะได้เห็น
Hard Asset ที่มีชื่อว่า Gold
ปรับตัวสูงขึ้นเเบบคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว
Fed สามารถพิมพ์เงินกระดาษออกมาได้ไม่จำกัด
เเต่ Fed ไม่สามารถที่จะพิมพ์ทองคำออกมาได้
2000 => 3000 => 10000
ก็สุดที่จะจิตนาการของเราครับ
ธนาคารต่างๆได้ใช้เครื่องมือที่ตน
มีออกมาอย่างเต็มที่ เราก็คงต้องรอดูว่าการกระทำในครั้งนี้นั้น จะสามารถขับดันเศรษฐกิจ
ให้เดินไปข้างหน้าต่อได้ยังไง
ยังไงก็ระมัดระวังกันด้วยนะครับ
การลงทุน มันมีเงาที่มีชื่อว่าความเสี่ยง
มันไม่สามารถที่จะหลีกหนีกันได้
ทำการบ้าน คิดเเละวิเคราะห์ด้วยตนเอง
ก่อนที่จะลงทุนเสมอ
ทุกการเก็งกำไรจะสร้างฟองสบู่ขึ้น
เเละฟองสบู่ทุกลูกจะต้องเเตกเสมอ..
เตรียมพร้อมรับเเรงกระเเทก
จากฟองสบู่ลูกนี้ให้ดีนะครับ
เพราะความรู้คือของขวัญที่ดีที่สุด📚
ตอนนี้บังได้สร้างซีรี่ย์อัลบั้มของบทความไว้เเล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถติดตามอ่าน
ย้อนหลังได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยนะครับ
ถ้าตลาดหุ้นกำลังจะถล่ม
เราอยู่ในจุดที่ต่ำสุดเเล้วหรือยัง ?
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ
ถ้าชอบบทความนี้ ช่วยกด Like กดติดตาม
เเชร์บทความนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้บังด้วยนะครับ🖤
Reference:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา