*สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอาฬวกยักษ์เข้ามาในข่ายพระญาณ ทรงรู้ว่ายักษ์ตนนี้มีบุญมาก แม้เป็นยักษ์ที่โหดร้าย แต่ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ จึงทรงตั้งพระทัยที่จะเสด็จไปโปรดยักษ์ โดยจะทรมานยักษ์ให้คลายจากทิฐิมานะเสียก่อน
รุ่งเช้า พระองค์ได้เสด็จไปยังที่อยู่ของยักษ์เพียงลำพัง อาฬวกยักษ์เห็นพระพุทธองค์เข้ามายังที่อยู่ และประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน แทนที่จะเกิดความเลื่อมใส กลับรู้สึกโกรธเคือง ไม่พอใจจึงพูดข่มขู่พระพุทธองค์ แล้วขับไล่ให้ออกไป แต่พระพุทธองค์ทรงประทับนิ่งเฉย เมื่อยักษ์เห็นพระพุทธองค์ไม่ยอมเสด็จออกไป จึงบันดาลให้เกิดลมพายุใหญ่ เพื่อให้พัดพระพุทธองค์ไปที่อื่น แต่ลมนั้นก็ทำอันตรายพระองค์ไม่ได้
ยักษ์จึงบันดาลให้เกิดฝนถ่านเพลิงที่ร้อนแรง ฝนแผ่นหิน ฝนทราย ฝนเปือกตม ฝนเครื่องประหารทุกชนิด ซึ่งมีอานุภาพมาก สามารถทำลายได้แม้กระทั่งภูเขาสิเนรุให้พังพินาศย่อยยับไปในพริบตา แต่ฝนเหล่านั้นกลับไม่สามารถทำอันตรายพระพุทธองค์ได้แม้แต่น้อย
ยักษ์ยังไม่ละความพยายาม ได้ใช้ทุสสาวุธ ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวที่มีฤทธานุภาพมาก ขว้างใส่พระพุทธองค์ ตามปกติแล้วอาวุธนี้สามารถปลิดชีวิตได้ทันที แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายพระองค์ได้ อานุภาพของอาวุธนั้นเสื่อมลงทันที แล้วตกลงแทบพระบาทของพระพุทธองค์
เมื่ออาฬวกยักษ์ทำอันตรายพระพุทธองค์ไม่ได้ จึงลดทิฐิมานะลง ได้คลายความยึดมั่นถือมั่น ความถือตัวว่ามีฤทธิ์มีเดชลงทันที เนื่องจากเห็นชัดแล้วว่าพระพุทธองค์เป็นผู้มีอานุภาพมากกว่า แต่ครั้นจะยอมแพ้ทันทีก็กลัวเสียเชิง จึงได้ถามปัญหาที่ยังไม่เคยมีใครตอบได้ว่า “สมณะ เราจะถามปัญหาท่าน ถ้าท่านตอบเราไม่ได้ เราจะฉีกหัวใจของท่าน แล้วจะจับเท้าของท่านเหวี่ยงข้ามแม่น้ำคงคาไป”
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อน อาฬวกยักษ์ เราไม่เห็นใครเลยในโลก พร้อมทั้งเทวโลกและพรหมโลก ที่จะทำจิตของเราให้หวั่นไหวได้ หรือฉีกหัวใจของเรา หรือจับเราเหวี่ยงข้ามแม่น้ำคงคาได้ แต่เอาเถอะ เชิญท่านถามปัญหาเถิด”
ยักษ์ทูลถามว่า “อะไรเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลกนี้ อะไรที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ อะไรเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่อย่างไรว่าประเสริฐสุด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐของคนในโลก ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ รสแห่งธรรมเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐสุด”
ยักษ์ฟังแล้วเริ่มเกิดศรัทธาจึงทูลถามต่อไปว่า “คนข้ามห้วงน้ำ คือ กิเลส ได้อย่างไร ข้ามมหาสมุทรแห่งทุกข์ ได้อย่างไร แล้วจะล่วงทุกข์ ได้อย่างไร จะบริสุทธิ์ ได้อย่างไร”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “คนข้ามห้วงน้ำ คือ กิเลส ได้ด้วยศรัทธา ข้ามมหาสมุทรแห่งทุกข์ ได้ด้วยความไม่ประมาท จะล่วงทุกข์ ได้ด้วยความเพียร และจะบริสุทธิ์ ได้ด้วยปัญญา”
เมื่ออาฬวกยักษ์ได้ฟังคำตอบแล้ว เกิดความปีติยิ่งนักที่พระพุทธองค์ช่วยไขปริศนาที่ค้างคาใจมายาวนาน ประดุจบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด จุดประทีปในที่มืด และบอกทางแก่คนหลงทาง จึงทูลถามต่อไปอีกว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทำอย่างไรจึงจะได้ปัญญา ทำอย่างไรจึงจะหาทรัพย์ได้ ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีชื่อเสียง ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ และคนละโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศก พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ผู้รู้แจ้งโลก ตรัสตอบว่า “บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ผู้บรรลุนิพพาน ฟังอยู่ด้วยดีย่อมได้ปัญญา บุคคลเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้ฉลาด เป็นผู้ทำอะไรเหมาะสม ไม่ทอดธุระ ขยันหมั่นเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้ คนย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ บุคคลใดประกอบด้วยศรัทธา มีธรรม ๔ ประการนี้ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ บุคคลนั้น ละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก”
เมื่อยักษ์ตรองตามคำตอบของพระพุทธองค์ ได้น้อมใจไปตามพระสุรเสียงอันไพเราะของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในที่สุดใจก็หยุดนิ่งและได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต เลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา