6 พ.ค. 2020 เวลา 12:20 • สุขภาพ
วิเคราะห์รูปแบบการแพร่ระบาด หากโลกไร้วัคซีน COVID-19
วิเคราะห์รูปแบบการแพร่ระบาด หากโลกไร้วัคซีน COVID-19 : pixabay
การรักษาโรคติดเชื้อโดยเฉพาะไวรัสนับว่าเราตามหลังเชื้อโรคชนิดเทียบไม่ติด หลายโรคเราไม่มียาที่รักษาได้หายขาด เช่น เอชไอวี เริม งูสวัด ทำได้เพียงประคับประคองอาการหรืออย่างเก่งก็ใช้ยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมการเพิ่ม
จำนวนเพียงเท่านั้นและหวังว่าภูมิคุ้มกันเราจะจัดการได้
ดังนั้นการจัดการโรคติดเชื้อจึงเน้นไปที่การป้องกันมากกว่าการซ่อมแซม วัคซีนจึงเข้ามามีบทบาทและช่วยลดการเสียชีวิตแต่ก็ไม่ใช่กับโรคติดเชื้อไวรัสทุกชนิดที่วัคซีนจะได้ผล แน่นอนว่าเรายังคงรอคำตอบของ COVID-19
1. ระหว่างนี้การใช้ชีวิตท่ามกลางโรคระบาดด้วยมาตรการ Social distancing ยังต้องดำเนินต่อไป ระบบเศรษฐกิจและกิจกรรมบางอย่างที่เปิดได้ภายใต้การเว้นระยะห่างจะค่อยๆถูกปลดล็อคเพื่อซื้อเวลาให้การคิดค้นวัคซีนเท่าที่จะทำได้
2. social contract ขอเรียกว่าเป็นข้อตกลงร่วมกันทางสังคมละกันครับ ขณะที่ประชากรทุกๆมุมโลกเริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบผ่อนคลายขึ้น ผู้คนเริ่มออกไปไหนมาไหนได้ การรับผิดชอบตนเองในการกักตัวหรือเฝ้าสังเกตอาการเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักเพื่อหยุดห่วงโซ่ของการแพร่ระบาดหากเริ่มรู้สึกว่าป่วยหรือคาดว่าอาจจะไปสัมผัสผู้ติดเชื้อมา
3. contact tracing ตัวช่วยติดตามประวัติการสัมผัสหรือการเดินทางไปในที่ๆมีรายงานผู้ติดเชื้อจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกๆประเทศจะนำมาปรับใช้กับสถานประกอบการ ห้างร้าน กิจกรรมที่มีการรวมกลุ่ม งานอีเว้นท์ เพื่อลดโอกาสระบาดของ cluster ใหม่ๆ ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าระบบข้อมูลนี้จะช่วยให้กิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนสามารถกลับมาจัดได้ตามตารางการแข่งขัน เช่น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, NFL, NBA ตราบเท่าที่มั่นใจว่านักกีฬาไม่ได้ติดเชื้อ ตรงกันข้ามกับผับ บาร์ที่ยังคงต้องปิดเพราะว่ามีการรวบกลุ่มคนหนาแน่นเกินไป
4. การตีตราผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาและแพทย์ประเมินว่าหายจากโรคไม่ควรที่จะถูกรังเกียจจากสังคมเพราะเขาอาจเป็นเพียงผู้โชคร้ายที่บังเอิญไปรับเชื้อมาจากผู้อื่น การเข้าใจและยอมรับจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับ
โรคระบาดได้
18 เดือนเป็นอย่างน้อยคือระยะเวลาที่คาดว่าเราจะมีวัคซีนพร้อมใชั ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรระหว่างนี้การควบคุมโรคยังต้องดำเนินต่อไปพร้อมทั้งมาตรการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ
ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการระบาดใหญ่ของไวรัสจากมหาวิทยาลัยมินเนโซตาได้สร้างแบบจำลองรูปแบบการระบาดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
1
1. ระบาดแบบลูกระนาด (small wave)
รูปแบบที่ 1 ผู้ติดเชื้อน้อยลงเรื่อยๆ : statnews
จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก (active case) คาดว่าผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงมีนาคมและเมษายน จุดพีคอีกครั้งน่าจะอยู่ในช่วงฤดูฝนของบ้านเราหรือเดือนมิถุนายน - ตุลาคมที่จะเจอกับการระบาดไข้หวัดใหญ่และไข้เลือดออกเข้ามาผสมรวมด้วย แต่พีคก็จะไม่สูงเกินกว่าครึ่งจากการระบาดแบบ pandemic เพราะแต่ละประเทศมีมาตรการจัดการได้ดีขึ้นซึ่งคาดว่าจะระบาดไปอย่างน้อย 1-2 ปี
2. ระบาดแบบไม่ทันตั้งตัว (shock wave)
รูปแบบที่ 2 มีการระบาดใหญ่ของ second wave : statnews
บทเรียนจากไข้หวัดสเปน 1981 บอกเราว่าจำนวนผู้ติดเชื้ออาจมี second wave สูงกว่าที่คาดคิดเนื่องจากไวรัสมีการกลายพันธุ์ เช่นเดียวกับ COVID-19 ที่อาจจะกลับมาระบาดรุนแรงกว่าเดิมในช่วงฤดูฝนยาวไปจนถึงฤดูหนาวของบ้านเรา ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าวิธีที่เราจะคุมจำนวนผู้ติดเชื้อลงมาจากจุดที่ 2 ได้นั้นอาจเป็นไปได้สองทาง
1) จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมจาก wave แรก และจุดที่เริ่มชันของ second wave
(ราวๆเดือนตุลาคม) มากเพียงพอให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity)
2) ระบบสาธาณสุขรองรับกับผู้ติดเชื้อไม่ไหว ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากจนผู้ติดเชื้อรายใหม่ค่อยๆลดลงไปเอง
3. ระบาดแบบปะทุเป็นระลอก (repeat wave)
รูปแบบที่ 3 ผู้ติดเชื้อปะทุเป็นช่วง : statnews
รูปแบบการแพร่ระบาดนี้อาจเกิดขึ้นหากมีการจัดการกับ cluster ใหม่ๆไม่ทันท่วงที การตรวจที่ไม่เพียงพอ ขาดการติดตามและจำกัดวงการระบาดให้แคบที่สุดส่งผลให้เกิด wave ที่ตามมาเท่าๆกันหรือน้อยกว่า wave แรกเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าอาจเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากมาตรการของรัฐที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพจะค่อยๆดึงจำนวนผู้ติดเชื้อลง
worst-case scenario ที่หลายฝ่ายมองว่าอาจเกิดขึ้นคือ รูปแบบที่ 2 เพราะยังไม่ทราบแน่ชัดว่า COVID-19 จะมีการกลายพันธุ์เหมือนกับไข้หวัดสเปนหรือไม่อีกทั้งวัคซีนอาจจะมาช้ากว่าที่คิด ดังนั้นรัฐบาลแต่ละประเทศต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือกรณีแย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นนี้
References :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา