6 พ.ค. 2020 เวลา 03:46 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ระดับขั้นของสิ่งมีชีวิตในจักรวาล หรือ Kardashev Scale
นักวิทยาศาสตร์ SETI ได้จำเเนกอารยธรรมรดับดวงดาวไว้ 3 ระดับ ดังนี้คือ อารยธรรมระดับที่ 1,2 เเละ 3 (Type I,II and III Civilization) เพื่อเข้าใจเทคโนโลยีของอารยธรรมในอีกหลายพันถึงหลายล้านปีข้างหน้า บางครั้งนักฟิสิกส์เเยกประเภทของอารยธรรมออกตามการใช้พลังงานของพวกเขา เเละกฎของเทอร์โมไดนามิกส์ เมื่อสำรวจดูฟากฟ้าเพื่อค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอัยชาญฉลาด นักฟิสิกส์มิได้มองหามนุษย์ต่างดาวตัวเล็กสีเขียว เเต่พวกเขามองหาอารยธรรมที่มีการใช้พลังงานตาเเบบอารยธรรมที่ 1,2 เเละ3 การจัดอันดับเเบบนี้นำเสนอเป็นครั้งเเรกโดยนักฟิสกิกส์ชาวรัสเซียชื่อ นิโคไล คาร์ดาเชฟ (Nikolai Kardashev) ในศตวรรษที่ 1960 เพื่อจัดเเยกประเภทสัญญาณววิทยุจากอารยธรรมในอวการศที่เป็นไปได้ อารยธรรมเเต่ละอารยธรรมนั้นปล่อยรังสีในรูปเเบบที่มีลักษณะจำเพาะ ซึ่งสามารถตรวจวัดเเละจัดเเยกประเภทได้ (เเม้เเต่อารยธรรมก้าวหน้าที่พยายามปกปิดตัวตนของเขาก็อาจถูกตรวจพบได้โดยเครื่องมือของเราได้ โดยกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์นั้น อารยธรรมอันก้าวหน้าใดๆก็ตามจะก่อให้เกิดเอนโทรปีในรูปเเบบของความร้อนที่สูญเสียไป ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะเเผ่ขยายหลุดออกไปในอวกาศ เเม้ว่าพวกเขาจะพบายามปกปิดการมีตัวตนอยู่ก็ตาม เเต่ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะปิดบังพลังงานจางๆที่เกิดขึ้นจากเอนโทรปีของพวกเขา)
อารยธรรมที่ 1 คืออารยธรรมที่สามารถควบคุมพลังงานระดับดาวเคราะห์ได้อย่างสมบูรณ์ การบริโภคพลังงานของอารยธรรมเหล่านี้สามารถตรวจวัดได้อย่างเเม่นยำ กล่าวคือโดยนิยามเเล้วพวกเขาสามารถนำพลังงานทั้งหมดของพลังงานเเสงอาทิตย์ที่ตกกระทบดาวเคราะห์มาใช้ประโยชน์ได้ หรือคิดเป็น 10^13 วัตต์ ด้วยพลังงงานระดับดาวเคราะห์เช่นนี้ พวกเขาอาจจะควบคุมหรือปรับเเปลงสภาพอากาศได้ อารยธรรมเช่นนี้เป็นนายของดาวเคราะห์ของพวกเขา เเละได้ก่อให้เกิดอารยธรรมระดับดาวเคราะห์
อารยธรรมที่ 2 ได้ใช้พลังงานของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งไปจนหมด เเละได้ควบคุมพลังงานของดาวฤกษ์ได้ทั้งดวง หรือคิดเป็นพลังงานประมาณ 10^26 วัตต์ พวกเขาสามารถบริโภคพลังงานทั้งหมดที่ออกมาจากดาวฤกษ์ของพวกเขา เเละน่าที่ะสามารถควบคุมการระเบิดบนดวงอาทิตย์ (solar flares) เเละการจุดระเบิดของดาวฤกษ์ดวงอื่นๆได้
อารยธรรมที่ 3 ได้ใช้พลังงานของระบบดาวฤกษ์ดวงหนึ่งไปจนหมดสิ้นเเละได้ไปยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกาเเล็คซี่ของพวกเขาไว้เป็นอาณานิคมเเล้ว อารยธรรมเช่นนี้สามารถนำพลังงานจากดาวฤกษ์จำนวนหมื่นล้านดวงมาใช้งานได้ หรือคิดเป็นพลังงานจำนวน 10^36 วัตต์
อารยธรรมเเต่ละระดับนั้นต่างจากอารยธรรมระดับถัดลงมาคิดเป็นอัตราส่วนหนึ่งหมื่นล้านเท่า ดังนั้นอารยธรรมระดับที่ 3 ซึ่งสามารถควบคุมพลังงานของระบบดาวฤกษ์จำนวนหลายพันล้านดวงได้นั้น ใช้พลังงานได้มากเป็นหมื่นล้านเท่าของอารยธรรมระดับที่ 2 ซึ่งสามารถควบคุมพลังงานได้มากเป็นหมื่นล้านเท่าของอารยธรรมที่ 1 เเม้ว่าช่วงห่างระหว่างอารยธรรมเหล่านี้อาจจะดูเเล้วรู้สึกว่ามากเหลือเกิน เเต่ก็เป็นไปได้ที่จะประมาณการระยะเวลาที่ต้องใช้เพื่อบรรลุถึงอารยธรรมที่ 3 สมมติว่าอารยธรรมใดๆเติบโตขึ้นด้วยอัตราเพียง 2 ถึง 3 เปอร์เซนต์ของพลังงานที่อารยธรรมนั้นผลิตได้ในเเต่ละปี (นี่เป็นสมมติฐานที่เป็นไปได้มากทีเดียว เนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งสามารถคำนวณได้อย่างสมเหตุสมผลนั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณพลังงานที่บริโภค ยิ่งเศรษฐกิจใหญ่มากเท่าใด ปริมาณความต้องการพลังงานก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากการเจริญเติบโตของผลผลิตประชาชาติโดยรวม (gross domestic product หรือ GDP) ของชาติจำนวนมากอยู่ระหว่าง 1 ถึง 2 เปอร์เซนต์ต่อปี เราสามารถคาดได้ว่าการบริโภคพลังงานชาตินั้นๆน่าจะเติบโตด้วยอัตราคร่าวๆที่เท่ากัน
ด้วยอัตราที่ประเมินในขั้นต่ำเช่นนี้ เราสามารถประมาณการได้ว่า อารยธรรมของพวกเราปัจจุบันนั้นต้องใช้เวลาประมาณ 100 ถึง 200 ปีเพื่อก้าวให้ถึงสถานะของอารยธรรมระดับที่ 1 พวกเราต้องใช้เวลาคร่าวๆอีก 1,000 ถึง 5,000 ปี เพื่อบรรลุถึงสถานะของอารยธรรมระดับที่ 2 เเละบางทีอาจต้องใช้เวลาอีก 100,000 ถึง 1,000,000 ปี เพื่อบรรลุถึงสถานะของอารยธรรมระดับที่ 3 ด้วยมาตราส่วนเช่นนี้เอง อารยธรรมของพวกเราทุกวันนี้อาจจัดได้ว่าเป็นอารยธรรมระดับที่ 0 เนื่องจากเราได้พลังงานของเราจากซากของพืชเเละสัตว์ที่ตายเเล้ว (น้ำมันเเละถ่าหิน) เเม้กระทั่งการควบคุมพายุเฮอร์ริเคน (ซึ่งปลดปล่อยพลังงานมากพอๆกับอาวุธนิวเคลียร์จำนวนหลายร้อยลูก) นั้นยังอยู่เกินขอบเขตเทคโนโลยีของเรา
เพื่อบรรยายถึงอารยธรรมของเราในปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ คาร์ล ซาเเกน (Carl Segen) ได้เสนอให้สร้างวิธีจำเเนกที่มีความละเอียดขึ้นสำหรับขั้นต่างๆที่อยู่ระหว่างระดับของอารยธรรม เราได้เห็นเเล้วว่า อารยธรรมที่ 1 2 เเละ 3 นั้นผลิตพลังงานทั้งหมดได้โดยประมาณเเล้วเท่ากับ 10^16 10^26 เเละ 10^36 ตามลำดับ ซาเเกนได้นำเสนอตัวอย่างเช่นอารยธรรมระดับที่ 1.1 ซึ่งผลิตพลังงานได้ 10^17 วัตต์ อารยธรรมที่ 12 ซึ่งผลิตพลังงานได้ 10^18 วัตต์เเละอื่นๆโดยการเเบ่งอารยธรรมระดับที่ 1 ออกเป็นสิบระดับย่อยๆ เราสามารถที่จะเริ่มจัดประเภทให้กับอารยธรรมของเราได้ ด้วยมาราส่วนนี้อารยธรรมของเราในปัจจุบันน่าจะเทียบได้กับอารยธรรมระดับ 0.7 ซึ่งนับว่าอยู่ในระยะที่ใกล้จะก้าวเป็นอารยธรรมระดับดาวเคราะห์อย่างเเท้จริงเเล้ว (อารยธรรมระดับ 0. นั้นยังมีขนาดเล็กกว่าอารยธรรมระดับที่ 1 อยู่ 1,000 เท่า เมื่อคำนึงถึงปริมาณของพลังงานที่ผลิตได้)
เเม้ว่าอารยธรรมของเราจะยังค่อนข้างโบราณ เเต่เราก็ได้เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนเเปลงเกิดขึ้นเเล้ว เมื่อผมมองดูจากหัวข้อข่าว ผมเห็นสิ่งที่บ่งชี้ถึวงิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์นี้อยู่ตลอดเวลา ที่จริงเเล้วผมรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นพบานรู้เห็นการเปลี่ยนเเปลงเหล่านี้
+ อินเตอร์เน็ตเป็นระบบโทรศัพท์ของอารยธรรมระดับที่ 1 ที่กำลังปรากฏขึ้น มันมีความสามารถที่จะกลายเป็นพื้นฐานของเครือข่ายโทรคมนาคมที่เป็นสากลสำหรับดาวเคราะห์ทั้งหลาย
+ ระบบเศรษฐกิจของสังคมอารยธรรมระดับที่ 1 จะมิได้ถุกควบคุมโดยประเทศหลัก เเต่กลับโดยควบคุมโดยกลุ่มของประเทศที่รวมตัวกันทางการค้าขนาดใหญ่ เช่น สหภาพยุโรป (Europlan Union) ซึ่งเป็นโดยตัวมันเองก็ก่อตั้งขึ้นเพื่อรองรับการเเข่งขันจากกลุ่มนาฟตา (NAFTA) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ
+ ภาษาที่ใช้ในสังคมของอารยธรรมระดับที่ 1 อาจเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่สองที่มีบทบาทสำคัญเเล้วในระดับโลก ในประเทศโลกที่สามจำนวนมากทุกวันนี้ ชนชั้นบนๆของสังคมเเละกลุ่มที่มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมีเเนวโน้มที่จะพูดภาษาอังกฤษเเละภาษาประจำท้องถิ่นหรือภาษาประจำชาติ ประชากรทั้งหมดของอารยธรรมระดับที่ 1 อาจจะพูดได้สองภาษาในลักษณะนี้ คือพูดได้ทั้งภาษาประจำชาติเเละภาษาของดาวเคราะห์ ซึ่งมีเเนวโน้มว่าจะเป็นภาษาอังกฤษสำหรับโลกของเรา
1
+ รัฐชาติ (Nation) เเม้ว่ารัฐชาติทั้งหลายอาจจะยังคงมีอยู่ในรูปเเบบบางอย่างไปอีกหลายศตวรรษข้างหน้า ทว่าจะมีความสำคัญน้อยลง ขณะที่กำเเพงทางการค้าทลายลง เเละโลกมีความเชื่อมโยงพึ่งพาซึ่งกันเเละกันทางเศรษฐกิจมากขึ้น (ในบางส่วนเเล้ว ประเทศยุคใหม่นั้นถูกตัดเเบ่งตั้งเเต่ต้นโดยนายทุนทั้งหลายเเละบรรดาผู้ที่ต้องการระบบเงินตรา พรมเเดน ระบบภาษีเเละกฎหมายที่เป็นระบบเดียวกันเพื่อสะดวกต่อธุรกิจการค้า เมื่อธุรกิจเองเริ่มีลักษณะนานาชาติมาขึ้น พรมเเดนของประเทศก็ควรจะลดความสำคัญลง) ไม่มีประเทศใดเลยที่ทรงพลังมากพอจะหยุดยั้งการก้าวไปสู่อารยธรรมที่ 1 นี้ได้
+ สงคราม อาจจะอยู่กับพวกเราไปตลอด เเต่ธรรมชาติของสงครามจะเปลี่ยนไปเมื่อมีการเกิดขึ้นของชนชั้นกลางระดับทั้งดาวเคราะห์ (planetary middle class) ซึ่งสนใจกับเรื่องการท่องเที่ยวเเละการสะสมความมั่งคั่งทางการเงินเเละทรัพยากรมากกว่าการพยายามมีอำนาจเหนือผู้อื่นหรือการควบคุมตลาดหรือดินเเดนในทางภูมิศาสตร์
+ ปัญหามลพิษ จะถูกเเก้ไขในระดับดาวเคราะห์มากขึ้นเรื่อยๆ ก๊าซเรือนกระจก ฝนกรด การเผาป่าฝนเขตร้อน เเละปัญหาทั้งหลายที่ไม่คำนึงถึงเส้นเเบ่งเขตเเดนประเทศเเละจะมีเเรงกดดันจากประเทศเพื่อนบ้านต่อผู้สร้างปัญหาที่พวกเขาได้สร้างขึ้น ปัญหาสิ่งเเวดล้อมระดับโลกจะช่วยเร่งให้เกิดการเเก้ปัญหาในระดับโลก
+ ทรัพยากร ขณะที่ทรัพยากร เช่น ผลผลิตทางการประมง ผลผลิตทางการเกษตร ทรัพยากรน้ำ เริ่มไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป เนื่องจากการเพาะปลูกมากเกินไป เเละการบริโภคมากเกินไป จะมีเเรงกดดันมากขึ้นเพื่อให้จัดการทรัพยากรในระดับโลก หรือมิฉะนั้นเเล้วต้องเผชิญกับความอดอยากเเละการล่มสลาย
+ ข้อมูล จะมีเสรีภาพเกือบสมบรณ์ ซึ่งกระตุ้นให้เป็นสังคมประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างเเท้จริง ทำให้ผู้มีสิทธิมีเสียงในสังคมเริ่มมีสิทธิมีเสียงมากขึ้น เเละสร้างความกดดันให้กับบรรดาผู้เผด็จการทั้งหลาย เช่นสังคม facebook ของเรา เเละsocial network อื่นๆอีกมากมาย ประเทศบางประเทศมีการปิดกันไม่ให้มีการใช้ social network เช่น จีน เกาหลีเหนือ เเละประเทศด้อยพัฒนาที่ยังเป็นเผด็จการหลายประเทศ ประเทศเหล่านี้ไม่น่าคบหา เเต่นาซีนีั้นเเตกต่างมาก เพราะเเนวคิดของเค้าต้องการทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้ก้าวกระโดดขึ้นเป็นอารยธรรมระดับที่ 1 ภายใน 100 ปี ซึ่งเป็นอุดมการระดับโลกทั้งใบ ไม่ใช่ระดับรัฐๆหนึ่ง โดยจะสร้างเป็นระบบ One world one Government โดยมีภาษาเยอรมันเป็นภาษาระดับดาวเคราะห์ เเต่เสียดายที่ทำไม่สำเร็จ ทำให้การก้าวขึ้นสู่อารยธรรมระดับที่ 1 ต้องช้าไปอีกหลายร้อยปี
พลังเหล่านี้อยู่เกินกว่าการควบคุมของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือรัฐใดรัฐหนึ่ง อินเตอร์เน็ตไม่สามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ที่จริงเเล้วการเคลื่อนไหวใดๆในลักษณะนั้นจะถูกหัวเราะเยอะมากกว่าที่จะทำให้ใครกลัวได้ เนื่องจากอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นถนนสู่ความมั่งคั่งทางิทยาศาสตร์พอๆกับทางวัฒนธรรมเเละความบันเทิง
เเต่การเคลื่อนย้ายจากอารยธรรมระดับที่ 0 ไปสู่อารยธรรมที่ 1 นั้นก็จัดว่าอันตรายอย่างที่สุด เนื่องจากเรายังคงเเสดงออกถึงความป่าเถื่อน ซึ่งสะท้อนถึงการวิวัฒนาการจากป่า ในบางเเง่เเล้ว ความก้าวหน้าของอารยธรรมของเรากำลังเเข่งกับเวลา ในเเง่หนึ่งนั้นการก้าวสู่อารยธรรมของดาวเคราห์ระดับที่ 1 อาจจะให้ความหวังกับเราถึงยุคสมัยเเห่งสันติภาพเเละความมั่งคั่งอย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เเต่ในอีกเเง่หนึ่งพลังของเอนโทรปี (ปรากฏการณ์เรือนกระจก มลพิษ สงครามนิวเคลียร์ เเนวทางหัวรุนเเรง โรคระบาดร้ายเเรงทั้งหลาย) อาจกำลังรอฉีกเราออกเป็นเสี่ยงๆ เซอร์มาร์ติน รีส์มองมองการคุกคามเหล่านี้ รวมทั้งปัญหารเรื่องการก่อนการร้าย เชื้อโรคจากพันธุวิศวกรรม เเละฝันร้ายทางเทคโนโลยีอื่นๆ ว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งหใญ่ของมนุษยชาติที่ต้องเผชิญ มันน่าเศร้าที่เขามองว่า เรามีโอกาสเพียง 15 เปอร์เซนต์เท่นั้นที่จะสามารถประสบความสำเร็จในการต่อรองกับความท้าทายเหล่านี้
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่พบเห็นอารยธรรมต่างดาวในอวกาศ ถ้าอารยธรรมเหล่านั้นมีอยู่จริง บางทีพวกเขาก็อาจจะก้าวหน้าเสียจนพวกเขามองเห็นประโยชน์น้อยมากในอารยธรรมโบราณระดับ 0.7 ของพวกเรา หรือในทางกลับกัน บางทีพวกเขา อาจถูกาวครามทำลาย หรือล้มตายเพราะมลพิษของพวกเขาเอง ขณะที่พยายามที่จะตะเกียกตะกายไปสู่ระดับที่ 1 (ในเเง่นนี้ผู้คนทในรุ่นที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้อาจเป็นรุ่นที่มีความสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีชีวิตเดินอยู่บนโลกใบนี้ คนรุ่นนี้อาจเป็นผู้ตัดสินว่าพวกเราจะสามารถย่างก้าวอย่างปลอดภัยสู่อารยธรรมระดับที่ 1 หรือไม่)
เเต่ดังเช่นที่ ฟรีดดรีช นิเช่ (Friedrich Nietzche) ได้เคยกล่าวไว้ว่าอะไรที่ไม่ฆ่าเราจะทำให้เราเเข็งเเรงขึ้น การเปลี่ยนผ่านอันเเสนเจ็บปวดของเราจากอารยธรรมระดับที่ 0 ไปสู่อารยธรรมระดับที่ 1 เเน่นอนว่าจะเป็นการทดสอบครั้งสำคัญ โดยเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดเเบบทิ้งบาดเเผลไว้ครั้งเเล้วครั้งเล่า ในลักษณะเดียวกับการตีเหล็กกล้าซึ่งถูกเผาจนร้อนเเดงช่วยเพิ่มความเเข็งเเกร่งให้กับมัน
ผมเองก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาอยู่ในช่วงเจเนอเรชันเเห่งการเปลี่ยนผ่านสู่อารยธรรมระดับที่ 1 เเละภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ปราศจากการพึ่งพาพลังงานจากซากพิชซากสัตว์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเเห่งอารยธรรมระดับที่ 1 อย่างเเท้จริง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา