6 พ.ค. 2020 เวลา 08:34 • การเมือง
Talking of Thailand : ประเทศไทยติดอันดับ 1 ของโลก !! ในแง่ของประเทศที่เหมาะสมแก่การเริ่มต้นทำธุรกิจในปี 2020
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว "ประเทศไทย" ควรเดินหน้าต่อไปในทางไหน ? เศรษฐกิจในประเทศต่อไปจะเป็นอย่างไร ? วันนี้ World Maker จะมาวิเคราะห์ให้ฟังครับ (เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ CPTPP ด้วยนะ)
จากการจัดอันดับโดย US NEWS และ World Report ระบุว่า "ประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจในปี 2020"
และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ "ประเทศไทยยังได้รับการยกย่องว่ามีระบบสาธารณสุขดีที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก" ซึ่งทำให้โดยรวมแล้ว ประเทศไทยถูกจัดเป็นประเทศที่ดีที่สุดอันดับ 26 ของโลก !!
เท่านั้นยังไม่พอ ประเทศไทยยังได้ถูกจัดให้อยู่ในประเทศที่ "น่าผจญภัย" มากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก !!
Comment : จากภาพด้านล่างนี้ โดยส่วนตัวแล้ว World Maker ข้องใจกับอันดับ 1 และ 2 มาก ๆ เลยครับ ไม่รู้ว่าขึ้นไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ยอดคนติดเชื้อและคนตายเยอะขนาดนั้น
ตอนนี้ทั่วโลกมีมุมมองต่อไทยอย่างไร ?
เรื่องนี้ World Maker ขออ้างอิงจากมุมมองของแหล่งข่าวในบทความนี้ ซึ่งก็คือ US NEWS และ World Report ซึ่งระบุไว้ดังนี้
"ไทยแลนด์" หรือที่เรารู้จักในชื่อของ "Land of the free (ดินแดนแห่งเสรีภาพ)" คือประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ไม่พบการตั้งถิ่นฐานของอาณานิคมยุโรป *
เริ่มแรกนั้น ประเทศไทยรู้จักกันในชื่อของ "Siam (สยาม)" หรือ "Land of Smiles (ดินแดนแห่งรอยยิ้ม)"
ประเทศไทยนั้นเป็นดินแดนแห่ง "เกษตรกรรม" ซึ่งมีทรัพยากรคือ "เมล็ดพันธ์ุ" อยู่มากมาย และแน่นอนว่าเรามีความสามารถที่จะแข่งขันทางด้านอาหารได้ในระดับโลก ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่คนไทยควรความภาคภูมิใจอย่างมาก เนื่องจากการมี "เมล็ดพันธ์ุ" ทำให้ประเทศของเราเติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง และมีอัตราการว่างงานที่ต่ำมาก แม้แต่ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ก็ตาม
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีการส่งออก "ข้าวสาร" มากที่สุดในโลก และเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ, ดีบุก และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมถึงยังมีความได้เปรียบในการ "ได้รับความรู้ และเทคโนโลยีจากทางฝั่งตะวันตก" ซึ่งถูกดูดซึมเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
"One of The world's most visited countries"
(1 ในประเทศที่มีการเดินทางไปเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก)
ถึงแม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7% ของ GDP ภายในประเทศ แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ผ่านมายังคงคึกคักตลอดเวลา ด้วยเอกลักษณ์ด้านการ "นวดแผนไทย" และ "รสชาติอาหาร" ที่มีความกลมกล่อมอย่างมากระหว่างความหวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และเผ็ด
ภาพด้านล่างนี้แสดงให้เราเห็นว่า ประเทศไทยระดับคะแนนสูงมากในด้านของ การผจญภัย(ท่องเที่ยว), การเปิดโอกาสสำหรับเริ่มต้นธุรกิจใหม่, การเจริญเติบโตในแง่ของเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม ประเพณี และมรดกสืบทอดในแง่ที่เกี่ยวกับภูมิปัญญา
เมื่อเจาะลึกไปดูในแต่ล่ะภาคส่วนต่าง ๆ เราจะพบรายละเอียดได้ดังนี้
ด้านการท่องเที่ยว
ประเทศไทยได้รับคะแนนด้านความสนุก จุดชมวิว และความเป็นมิตรสูงมาก ส่วนด้านภูมิอากาศ ประเทศไทยได้ไป 65.8 คะแนน และที่ต่ำสุดคือ "ความเซ็กซี่" ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึง "ความโรแมนติกของบรรยากาศ" ที่ได้ไป 57.7 คะแนน
ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ
ประเทศไทยได้คะแนนได้ด้าน "ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ" มากถึง 98.8 คะแนน ขณะที่ความพึงพอใจในอัตราภาษีอยู่ที่ 41.9 คะแนน และการ Corruption อยู่ที่ 30 คะแนน ส่วนด้านระบบราชการและ "ความโปร่งใสของรัฐบาล" เราได้คะแนนต่ำมากที่ 12 และ 2.9 คะแนนตามลำดับ
ด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยได้รับคะแนนด้าน "ความหลากหลาย" สูงที่สุดถึง 82.7 คะแนน รองลงมาคือ "ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว" ที่ 81.4 คะแนน ตามด้วยแง่ของความโดดเด่นที่ 71.1 คะแนน ส่วนในแง่ของ "กลไกทางเศรษฐกิจ" นั้น ประเทศไทยได้รับคะแนนต่ำสุดในด้านนี้ โดยอยู่ที่ 42.8 คะแนน
ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และมรดกสืบทอด
ประเทศไทยได้รับคะแนนในด้าน "อาหารยอดเยี่ยม" มากที่สุดถึง 88.3 คะแนน รองลงมาคือ "การมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย" ที่ 82.6 คะแนน ตามด้วย "การเข้าถึงได้ทางวัฒนธรรม" ที่ 63.4 คะแนน และ "การมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน" ที่ 57.7 คะแนน
ส่วนด้านที่เราได้คะแนนต่ำมาก ๆ นั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของประชากร, ความเหลื่อมล้ำ และสิทธิมนุษยชน โดย World Maker ขอยกตัวอย่างเรื่องที่สำคัญและเห็นได้ชัด ดังต่อไปนี้ครับ
ด้านพลเมือง
ประเทศไทยได้คะแนนต่ำมากในทุก ๆ ปัจจัยย่อยที่นำมาเป็นเกณฑ์ให้คะแนน ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือ, ความเท่าเทียมกันทางเพศ, ความเคารพในสิทธิมนุษยชน, ความก้าวหน้าทางสังคม, การแพร่กระจายอำนาจทางการเมือง, ความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม, ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน ฯลฯ
ด้านคุณภาพชีวิต
ประเทศไทยได้คะแนนเต็ม 100 ในแง่ของ "ราคาสินค้าต่าง ๆ" แต่นอกจากนั้น มีเพียงอีก 2 ปัจจัยที่เราได้คะแนนเกิน 20 คะแนน ซึ่งก็คือ "ความเป็นมิตรภายในครอบครัว" และ "ตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ" ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นเราได้คะแนนต่ำมาก (ไม่เกิน 10 คะแนน) ไม่ว่าจะในแง่ของความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ, ความปลอดภัย, ความมั่นคงทางการเมือง, ระบบการศึกษา
ประเทศไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
Analysis By World Maker
ก่อนอื่นต้องขอสรุปท้าวความจากข้อมูลที่ได้กล่าวไปแล้วในเบื้องต้น ว่าประเทศไทย "มีอะไรดีบ้าง"
(1.) มุมมองที่ต่างประเทศมองไทยในตอนนี้คือ "ดินแดนแห่งเกษตรกรรม" ซึ่งมีเมล็ดพันธุ์อยู่มากมาย โดยจะสังเกตได้ว่าทั่วโลกยกย่องไทยในเรื่องของ "อาหาร" จนถึงขนาดตั้งฉายาว่า "ประเทศไทยเป็นครัวของโลก"
(2.) ประเทศไทย ยังจัดอยู่ในกลุ่ม "ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)" ซึ่งทำให้อยู่ในสถานะที่ "เหมาะแก่การลงทุนเป็นอย่างมาก"
(3.) เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว อย่าเพิ่งดีใจไปจนลืมคิดถึงความเสี่ยงที่จะตามมาด้วย โดยความเสี่ยงที่ว่าก็คือ "การเข้ายึดครองทรัพยากรของประเทศ" ด้วยระบบทุนนิยม หรือที่เราอาจจะเรียกกันว่า "การล่าอาณานิคมในยุคใหม่" นั่นเอง
(4.) ขบวนการเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นได้โดยการผลักดันให้ประเทศไทยเข้าร่วม "โครงการ" หรือ "สนธิสัญญา" ใด ๆ ในระดับนานาชาติ เพื่อที่จะทำให้เรา "สูญเสียสถานะความเป็นเจ้าของทรัพยากรภายในประเทศ"
(5.) มีหลายเพจเขียนเรื่องรายละเอียดของโครงการ Cptpp ไปแล้ว ดังนั้นผู้ที่ติดตามเรื่องนี้คงพอรู้ดีว่าโครงการดังกล่าว จะทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้อง "ซื้อ" เมล็ดพันธ์ุ และยารักษาโรค ที่เราสามารถผลิตได้เองด้วยต้นทุนที่ถูกมาก
(6.) หลายคนอาจยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องของมรดก อย่างเช่น เมล็ดพันธุ์ หรือในเรื่องของการล่าอาณานิคมยุคใหม่ ซึ่ง World Maker อยากให้ผู้อ่านลองฟังคลิปใน Youtube ตามลิ้งด้านล่างที่ได้แนบไว้ให้นี้ เพื่อให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นครับ (อธิบายไว้ได้ดีมาก อยากให้ฟังจริง ๆ ครับ)
(7.) เมื่อประเทศไทยกลายเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจทางฝั่งยุโรปก็ดูเหมือนจะไปไม่ไหวแล้วเต็มที ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่พวกนายทุนเหล่านี้ จะเริ่มหันมาลงทุนใน "ประเทศตลาดเกิดใหม่" อย่างจริงจัง
(8.) ดังนั้นแล้วสิ่งที่ประชาชนคนไทยควรจับตามองให้มาก ๆ ในอนาคตต่อไปนี้ก็คือ "ความเป็นเจ้าของทรัพยากรภายในประเทศ" โดยขอให้เหตุผลสำคัญตามที่ได้กล่าวไปคือ "การล่าอาณานิคมยุคใหม่" นั่นทำได้โดยการออกกฎหมายเพื่อเข้ายึดทรัพยากรของประเทศ
(9.) หากจะให้เห็นภาพชัดกว่านั้นก็คือ ต่อไปนี้จะมีนายทุน หรือบริษัททุนยักษ์ใหญ่จากต่างชาติ เข้ามาขอลงทุนทำธุรกิจในไทยอย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ "ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ" ซึ่งต้องกระทำผ่านผู้มีอำนาจทางกฎหมายในบ้านเรา
(10.) เพราะฉะนั้นแล้ว หากพวกเรายังไม่ใส่ใจที่จะเฝ้าติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และช่วยกันเป็นหูเป็นตาในเรื่องนี้แล้วล่ะก็ ประเทศไทยในอนาคต จะเกิดความเสี่ยงอย่างมาก ที่เราจะสูญเสียทรัพยากรสำคัญของประเทศให้แก่พวกนายทุนต่างชาติ ที่อาจเข้ายึดด้วยรูปแบบและกลไกที่แนบเนียนจนเราไม่รู้ตัว หากไม่ได้สังเกตและใส่ใจในเรื่องนี้อยู่ตลอด
(11.) เมื่อประเมินจาก "ศักยภาพที่แท้จริง" แล้วนั้น World Maker ขอยืนยันว่า ประเทศไทยสามารถกลายเป็น "ครัวของโลก" ได้อย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่ได้เป็นคำพูดที่เกินความเป็นจริงไปเลยแม้แต่น้อย และนั่นต้องทำให้มีคนอยากได้ทรัพยากรของประเทศเราอยู่แล้ว
(12.) สำหรับการพัฒนาประเทศไทยจากปัจจุบันนี้ และต่อไปในอนาคตนั้น World Maker มีมุมมองว่ารัฐบาลควรส่งเสริมความแข็งแกร่งในแง่ของเกษตรกรรม สินค้า OTOP และเศรษฐกิจในขั้นพื้นฐานเป็นอันดับแรก โดยยึดหลักแนวทางสำคัญคือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ทั้งนี้ ควรกระทำไปพร้อม ๆ กับการแก้ไขข้อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอย่างเป็นจริงเป็นจัง (อย่าลืมว่าปัญหาของคุณภาพชีวิต และความเหลื่อมล้ำยังเป็นปัญหาต้น ๆ ของประเทศไทย)
(13.) เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวง ร.9 นั้น ถือเป็น "แก่นแท้ของความเจริญรุ่งเรือง" ที่เลือนหายไปจากสังคมไทยอย่างมากในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้ และเป็นสิ่งที่ "ระบบทุนนิยม" รังเกียจมากที่สุด
(14.) เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า หากประเทศใดดำเนินการตามแก่นแท้ของหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้ ก็จะกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาตัวเองได้ในทุก ๆ เรื่องซึ่งจำเป็นต่อการอยู่รอด โดยที่อำนาจของระบบทุนนิยม ซึ่งต้องการให้แต่ล่ะประเทศพึ่งพาตัวเองไม่ได้ จะไม่สามารถทำอะไรกับประเทศที่หมุนเวียนเศรษฐกิจได้ด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย
(15.) ในด้านอื่น ๆ ของประเทศอย่างเช่นการท่องเที่ยว แน่นอนว่าหลังจบการระบาดของ COVID-19 และมียารักษาออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว และเมืองไทยก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งหากมองต่อไปในอนาคต เราสามารถพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของประเทศ ควบคู่ไปกับด้านการลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างดีเลยทีเดียว
(16.) โดยสรุปแล้ว สิ่งที่ World Maker มองเห็นคือ "ประเทศไทยจะรุ่งเรืองอย่างแน่นอนในยุคต่อจากนี้ไป" แต่สิ่งที่ World Maker กังวลไม่แพ้กันก็คือ "ผู้คนจะใส่ใจและรู้ทันระบบทุนนิยมพวกนี้มากเพียงพอหรือไม่?" โดยอยากย้ำให้ผู้อ่านตระหนักถึงสิ่งที่ต้องรักษาไว้มากที่สุดก็คือ "มรดก ทรัพยากร วัฒนธรรม และประเพณีของชาติไทย"
สำหรับอันดับของประเทศไทยในด้านอื่น ๆ สามารถดูรายละเอียดได้ตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ
1
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา