หลักการของวาร์บไดร์ฟได้รับการสนับสนุนโดยการคำนวณโดยนักฟิสิกส์หลายท่านที่ Baylor University in Waco, Texas เมื่อเปรียบเทียบกับ หลักการของวาร์บไดร์ฟของ Star Trek ทฤษฎีของพวกเขาบอกว่ายานอวกาศจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ววาร์บภายในฟองของกาลอวกาศโดยอาศัยแรงผลักของพลังงานมืด โดยความลับของแรงที่มองไม่เห็นนี้ ได้รับการยืนยันจากการสังเกต ความเร่งของการขยายตัวของเอกภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี ค.ศ. 1996 นาซาได้ก่อตั้ง Breakthough Propulsion Physics Program ซึ่งให้การสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับวาร์บไดร์ฟ โดยโครงการนี้ได้หยุดชะงักไปเมื่อปี ค.ศ. 2002 ขณะที่การทดลองทั้งหมดที่ทำโดยทฤษฎีทางฟิสิกส์ แต่กลับไม่มีแบบจำลองใดที่สามารถทำการเดินทางด้วยความเร็ววาร์บเป็นไปได้ นักฟิสิกส์บางคนได้เสนอแบบจำลอง FTL โดยสร้างในบริบทของ Lorent manifolds ซึ่งใช้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในการสร้างแบบจำลองกาลอวกาศ แต่อย่างไรก็ตามแบบจำลองนี้ก็ไม่สื่อในการที่จะใช้ในการหาผลเฉลยของ Einstein field equation โดยมันไม่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับว่าจะสร้าง warp bubble อย่างไร? แต่อย่างใด
ตามหลักการในแบบจำลองของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่วัตถุจะมีความเร็วมากกว่าความเร็วแสง ในหลักการแล้วอาจเป็นไปได้ที่จะเลี่ยงกฎของนี้โดยการทำให้กาลอวกาศบิดเบี้ยว ซึ่งทฤษฎีที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ Alcubierre Drive ซึ่งในทฤษฎีนี้ได้มีการใช้คำศัพท์ที่บรรยัดจาก Star Trek คือ “warp factor” ซึ่งเป็นการวัดการบิดเบี้ยวของกาลอวกาศ แทนที่จะเป็นขนาด (magnitude) ของความเร็ว ในหนังสือ The Physics of Star Trek เขียนโดย Lawrence Krauss กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางในห้วงกาลอวกาศด้วยความเร็วมากกว่าความเร็วแสงโดยใช้วาร์บไดร์ฟ แต่พลังงานลบ (negative energy) จำนวนมากจำเป็นที่จะต้องใช้ร่วมกับการทำงานของวารบไดร์ฟ Gardiner ได้สร้างสเกลเวลาขึ้นมาสำหรับการพัฒนาวาร์บไดร์ฟโดยวิเคราะห์จากประวัติศาสตร์ เขาได้สรุปว่ามนุษยชาติจะประสบความสำเร็จในการสร้างวาร์บไดร์ฟในปี ค.ศ. 2180 (หวังว่าข้าพเจ้าคงยังไม่ตายนะ อยากเห็นกับตาหน่ะ)
จากสมการ Einstein field equation ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกล่าวว่า ในทางทฤษฎีแล้ววัตถุจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วมากกว่าแสงได้ถ้ากาลอวกาศโค้ง
โดยที่ Guv คือ Einstein curvature tensor ซึ่งอธิบายถึงความโค้งของอวกาศ โดยสมมติฐานแล้วถ้ากาลอวกาศถูกทำให้บิดเบี้ยวอย่างเหมาะสมแล้ว ความเร็วของวัตถุในทางเทคนิคก็จะยังไม่มากกว่าความเร็วแสง แม้ว่าจะปรากฏต่อผู้สังเกตที่อยู่ในกาลอวกาศปกติว่ามีความเร็วมากกว่าความเร็วแสง