*ในอดีตกาล มีหนุ่มไร่อ้อยคนหนึ่งเดินถืออ้อยมาจากไร่ ในระหว่างทางได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ทันทีที่ได้เห็น เกิดจิตเลื่อมใส ได้ถวายน้ำอ้อยจนเต็มบาตร ซึ่งอ้อยในสมัยก่อนเพียงแค่เอามีดตัดลำอ้อย น้ำอ้อยก็จะไหลออกมาทันที ไม่ต้องมีการใช้เครื่องหีบเช่นในสมัยนี้
เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าฉันน้ำอ้อยแล้ว ท่านได้อนุโมทนาให้สมปรารถนาในทุกสิ่ง แล้วยังนำน้ำอ้อยไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าอีก ๕๐๐ รูป โดยเหาะไปทางอากาศ ชายหนุ่มเห็นปาฏิหาริย์นั้น จึงเกิดมหาปีติและด้วยอานิสงส์ที่ถวายน้ำอ้อยนั้น ทำให้เขาเวียนว่ายอยู่เฉพาะในสุคติภูมิ โดยไม่ต้องตกสู่ทุคติ
กระทั่งมาถึงสมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เขาได้เกิดเป็นเศรษฐีชื่อว่า อปราชิตะ มีความศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก ได้สร้างกุญชรศาลาที่ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ และเอารัตนชาติไปโปรยรอบพระคันธกุฎี เพื่อเป็นกุศโลบายสำหรับให้ผู้คนมาฟังธรรม เมื่อมาแล้วหากใครปรารถนาอยากได้รัตนชาติ ก็สามารถหยิบไปได้ ฉะนั้น คนที่ไปวัดจึงได้ทั้งโลกียทรัพย์และอริยทรัพย์กลับไป ในยุคสมัยนั้นจึงมีมหาชนได้บรรลุธรรมกันมากมาย
เมื่อรัตนชาติที่โปรยลงในคราวเดียวหมดไป ท่านได้นำมาโปรยลงอีกเรื่อยๆ โดยไม่มีความรู้สึกเสียดาย วันหนึ่ง...ท่านเศรษฐีนำแก้วมณีดวงใหญ่เท่าผลแตงโมที่หาค่ามิได้ มาวางไว้แทบพระบาทของพระบรมศาสดา ความสว่างของแก้วมณี เมื่อกระทบกับพระรัศมีกายของพระพุทธองค์ ยิ่งทำให้บริเวณนั้นสว่างไสวเรืองรอง เหล่าชนที่มาฟังธรรม ต่างเกิดความอิ่มเอิบเบิกบานใจ แลดูพระพุทธองค์ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่งนัก
วันหนึ่ง มีพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิ แสร้งมาถวายบังคมแทบพระบาทของพระบรมศาสดา แล้วแอบเอาแก้วมณีซ่อนไว้ในผ้า จากนั้นรีบเดินหลีกไป ท่านเศรษฐีเห็นแล้วรู้สึกไม่พอใจ พระบรมศาสดาจึงตรัสถ้อยคำให้ท่านตัดใจจากสมบัติที่ได้บริจาคแล้ว เศรษฐีจึงทำจิตให้ผ่องใส แล้วตั้งความปรารถนาว่า "ต่อแต่นี้ไป ถ้าข้าพระองค์ยังไม่อนุญาตให้อะไรแก่ใคร แม้สิ่งเล็กน้อยเพียงเส้นด้าย ก็อย่าให้ใครนำไปได้ น้ำและไฟก็ไม่อาจทำลายทรัพย์สมบัติทั้งหลายของข้าพระองค์ได้" ตั้งแต่นั้น ท่านเศรษฐีได้ทำบุญจนตลอดอายุขัย ละโลกไปแล้ว ได้ไปบังเกิดในเทวโลก
จนมาถึงในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านเกิดในตระกูลเศรษฐี มีชื่อว่า โชติกะ ในวันที่ท่านเกิด สรรพาวุธทั่วทั้งเมืองเกิดแสงสว่างโชติช่วง ทั่วทั้งเมืองสว่างไสวไปหมด เมื่อถึงวัยที่จะครองเรือน พระอินทร์ได้เสด็จมาจากเทวโลก เนรมิตปราสาท ๗ ชั้น ที่ทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ มีกำแพง ๗ ชั้น แวดล้อมปราสาทอย่างประณีตสวยงาม และทรงเนรมิตต้นกัลปพฤกษ์โดยรอบกำแพง มีขุมทรัพย์ทั้ง ๔ เกิดขึ้นที่บริเวณหัวมุมของกำแพง ที่ซุ้มประตูทั้ง ๗ มียักษ์พร้อมด้วยบริวารนับพันคอยพิทักษ์รักษาอยู่
พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับว่า ปราสาทแก้ว ๗ ชั้น บังเกิดขึ้นเพื่อโชติกะ จึงพระราชทานฉัตรเศรษฐี แต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีประจำเมือง นอกจากนี้ เทวดายังนำนางแก้วจากอุตรกุรุทวีปมาให้เป็นภรรยา นางแก้วได้ถือข้าวสารหนึ่งทะนานกับแผ่นศิลา ๓ แผ่นมาด้วย เมื่อจะหุงข้าวเพียงใส่ข้าวสารลงในหม้อ แล้ววางไว้บนแผ่นศิลา แผ่นศิลาก็จะมีไฟลุกโพลงขึ้นทันที เมื่อข้าวสุกแล้วไฟก็จะดับเอง ส่วนข้าวในหม้อนั้นก็ตักไม่พร่อง ภรรยาท่านเศรษฐีได้หุงต้มอาหารด้วยแผ่นศิลานั่นแหละ อีกทั้งในปราสาทยังสว่างไสวไปด้วยแสงของแก้วมณี โดยไม่ต้องใช้ประทีปโคมไฟเลย
มหาชนต่างพากันมาชื่นชมสมบัติของท่านเศรษฐี ทุกวันจะมีคนเดินทางมาจากทั่วชมพูทวีป เพื่อเยี่ยมชมปราสาท ท่านเศรษฐีได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้งเตรียมข้าวปลาอาหารให้ ใครปรารถนาจะได้เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือปรารถนาสิ่งใด ก็ไปอธิษฐานจากต้นกัลปพฤกษ์ แล้วท่านเศรษฐียังได้เปิดขุมทรัพย์ทั้ง ๔ หากใครปรารถนาก็ให้ขนไปตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะตักไปมากแค่ไหน สมบัตินั้นก็ตักไม่พร่อง คือ ตักออกไปแล้ว ก็กลับมีเพิ่มขึ้นเท่าเดิมอีก
พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะชมปราสาท จึงพาอชาตศัตรูราชกุมารผู้เป็นโอรสของพระองค์ตามเสด็จไปด้วย เมื่ออชาตศัตรูราชกุมารเห็นสมบัติของท่านเศรษฐีแล้วก็ดำริว่า "ท่านเศรษฐีอยู่ในปราสาทแก้ว แต่พระราชบิดาของเราเป็นถึงพระราชา ประทับอยู่ในพระราชมณเฑียรที่ทำด้วยไม้ เมื่อไร เราได้เป็นพระราชา เราจักยึดปราสาทหลังนี้ให้ได้"
ต่อมา พระเจ้าอชาตศัตรูได้เป็นพระราชา ทรงนำกองทัพมาเพื่อจะยึดสมบัติของท่านโชติกเศรษฐี เมื่อมาถึงได้เห็นกองทัพยักษ์ที่ดูแลปราสาทไว้ พระเจ้าอชาตศัตรูทรงตกพระทัยกลัว จึงเสด็จหนีเข้าไปในวัดพระเชตวันและได้พบกับท่านเศรษฐีซึ่งกำลังฟังธรรมอยู่ในวัดพอดี
เมื่อเศรษฐีรู้เรื่องทั้งหมด จึงได้ทูลว่า "ทรัพย์ของข้าพเจ้าทั้งหมด ถ้าไม่ปรารถนาจะให้ใคร แม้แต่เข็มเล่มเดียวก็ไม่มีใครนำไปได้" เศรษฐีให้พระราชาทดลองดึงแหวนออกจากนิ้วมือของตน พระราชาแม้มีพระกำลังมากสามารถกระโดดได้สูงถึง ๘๐ ศอก ก็ไม่สามารถที่จะดึงแหวนออกได้ แต่เมื่อเศรษฐีออกปากว่าให้ แหวนทั้ง ๒๐ วง ก็เลื่อนออกจากนิ้วเองโดยที่ไม่ต้องดึงออก
ท่านเศรษฐีได้เห็นความประพฤติของพระราชา ก็เกิดความสลดใจ จึงได้ทูลขอออกบวช เมื่อบวชได้ไม่นาน ท่านสามารถทำใจหยุดนิ่ง ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ในขณะเดียวกัน สมบัติทั้งหมดของท่านก็ได้อันตรธานหายไป เพราะท่านได้ถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้สมบัติ ไม่มีความเยื่อใยในสมบัติทั้งหลาย สมบัติจึงหมดความหมายเมื่อถึงกายธรรมอรหัต