*ในอดีตของท่านนั้น ท่านเคยเกิดในยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ พระปิณโฑลภารทวาชะบังเกิดเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ ณ เชิงเขาในป่าใหญ่ ตอนเช้าตรู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยธรรมจักษุ ทรงทอดพระเนตรเห็นพญาราชสีห์เข้ามาปรากฏในข่ายพระญาณอันบริสุทธิ์ จึงเสด็จไปบิณฑบาตในพระนครหงสวดี หลังจากที่เสวยภัตตาหารเสร็จ ก็เสด็จมายังถํ้าของพญาราชสีห์ซึ่งกำลังออกหาอาหาร แล้วทรงประทับนั่งขัดสมาธิ(Meditation)กลางอากาศ เข้านิโรธสมาบัติ รอคอยการกลับมา
พญาราชสีห์ได้เหยื่อและกลับมายังถ้ำ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ภายในถ้ำ จึงคิดว่า "ในป่าแห่งนี้ ไม่มีสัตว์อื่นที่มีความสามารถจะมานั่งกลางอากาศในที่อยู่ของเราได้ บุรุษนี้ช่างยิ่งใหญ่จริงหนอ มานั่งขัดสมาธิภายในถ้ำของเรา และมีรัศมีกายสว่างไสวแผ่ไปโดยรอบ เราไม่เคยเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ สงสัยบุรุษนี้คงเป็นยอดมหาบุรุษของโลก"
เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ก็ออกไปหาดอกไม้ชนิดต่างๆ ทั้งที่เกิดในน้ำและที่เกิดบนบก มาปูลาดเป็นอาสนะดอกไม้ ตั้งแต่พื้นดินวางซ้อนๆกันขึ้นไป จนถึงที่พระพุทธองค์ประทับนั่งขัดสมาธิ และยืนอารักขาพระพุทธองค์อยู่ตรงนั้น ด้วยจิตเลื่อมใสจนกระทั่งถึงสว่าง
พอรุ่งเช้าวันใหม่ พญาราชสีห์ก็นำดอกไม้เก่าของเมื่อวานออกไปทิ้ง และหาดอกไม้สดมาปูเป็นอาสนะอีก จัดแจงปูลาดอาสนะถวายพระพุทธเจ้าอย่างนี้อยู่ถึง ๗ วัน โดยที่ตัวเองก็ไม่ออกไปล่าเหยื่อที่ไหนเหมือนกัน มีความปีติและอิ่มบุญที่ได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ในระหว่างที่ทำหน้าที่อารักขาพระพุทธเจ้าอยู่นั้น พญาราชสีห์จะบันลือสีหนาท ๓ เวลา คือ เช้า กลางวัน และเย็น เป็นการขับไล่สัตว์ร้ายทั้งหลายไม่ให้มารบกวนพระพุทธองค์ การบันลือสีหนาทด้วยจิตที่เลื่อมใสนี่เอง เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่าน หลังจากได้บรรลุอรหัตผลแล้ว มักจะบันลือสีหนาทเป็นประจำ
ครั้นถึงวันที่ ๗ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกจากนิโรธสมาบัติ ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับยืนอยู่ที่หน้าประตูถ้ำ พญาราชสีห์และเหล่าบริวาร พร้อมด้วยหมู่สัตว์นานาชนิด ก็กระทำประทักษิณด้วยความเคารพอยู่ถึง ๓ รอบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริว่า "เพราะอาศัยเหตุเพียงเท่านี้ ก็จะเพียงพอที่จะเป็นอุปนิสัยให้แก่พญาราชสีห์ต่อไปในอนาคต" แล้วทรงเหาะกลับไปพระวิหารตามเดิม
พญาราชสีห์เกิดความปีติมาก ที่ได้บูชาพระบรมศาสดา จึงนึกถึงบุญนั้นบ่อยๆ เมื่อตายจากภพชาตินั้นแล้ว บุญได้หนุนส่งให้ได้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์ คือ เกิดในตระกูลของมหาเศรษฐี ในเมืองหงสวดี
ครั้นเจริญวัยแล้ว วันหนึ่งได้มีโอกาสไปวัดพร้อมกับชาวเมืองหงสวดี ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งบังเกิดความเลื่อมใสหนักขึ้นไปอีก ตอนเป็นพญาราชสีห์นั้น จะทำบุญกุศลอะไรก็ติดๆ ขัดๆ เพราะอัตภาพของสัตว์เดียรัจฉาน...มันไม่เหมาะต่อการสร้างบารมี ครั้นได้เป็นมนุษย์จึงสั่งสมบุญอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะได้บำเพ็ญมหาทานบารมีอยู่ตลอด ๗ วัน จากนั้นก็ได้ทำบุญทุกอย่างจนตลอดชีวิตนั่นแหละ ครั้นละสังขารในภพชาตินั้น ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิของเทวดาและมนุษย์นับชาติไม่ถ้วน
ต่อมาในสมัยพุทธกาล ท่านก็ได้มาบังเกิดอยู่ในตระกูลของพราหมณ์ในกรุงราชคฤห์ มีชื่อว่า ภารทวาชะ เมื่อเติบโตขึ้นได้ศึกษาเล่าเรียนไตรเพทจนแตกฉาน อบรมสั่งสอนมหาชน จนกระทั่งมีลูกศิษย์มากถึง ๕๐๐ คน อยู่มาวันหนึ่ง ท่านได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาแล้วเกิดดวงปัญญา และมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์ จึงออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในเวลาที่ท่านบรรลุกายธรรมอรหัต ท่านเป็นผู้องอาจแกล้วกล้าในธรรมอย่างยิ่ง จึงออกจากวิหารนี้ไปสู่วิหารโน้นและไปตามสถานที่ต่างๆ เที่ยวบันลือสีหนาท คำว่า "บันลือสีหนาท" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตะโกนเหมือนพญาราชสีห์หรอก แต่กล่าวเสียงดังฟังชัด ก้อง กังวาน เป็นการกล่าวถ้อยคำที่พูดออกมาให้ทุกคนในมหาสมาคมได้ยินทั่วถึง บ่งบอกถึงความเป็นผู้องอาจนั่นเอง แต่ไม่ใช่ลักษณะของคนมีทิฐิมานะหรือหยิ่งยโส ท่านประกาศท่ามกลางมหาสมาคมว่า "ท่านผู้ใดมีความสงสัยในมรรคผล หรือในธรรมอันใด ก็จงถามเราเถิด เราจะช่วยเปิดเผยความกังขาของพวกท่าน"
วันนั้น หมู่ภิกษุสงฆ์ได้สนทนากัน ถึงเรื่องของพระปิณโฑลภารทวาชะที่บันลือสีหนาทในทันทีที่ตนได้บรรลุพระอรหัต แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงทราบ ธรรมดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จะทรงตำหนิผู้ที่ควรตำหนิและสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ แต่ในขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า...
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอินทรีย์ทั้งหลายของปิณโฑลภารทวาชะ เจริญแล้ว แก่กล้าแล้ว เธอจึงได้พยากรณ์อรหัตผลที่ได้บรรลุว่า ชาตินี้สิ้นแล้ว เราอยู่จบพรหมจรรย์ สิ่งที่ควรทำเราทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป"
เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จ ก็ทรงสถาปนาพระปิณโฑลภารทวาชะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการบันลือสีหนาท