12 พ.ค. 2020 เวลา 11:48 • ธุรกิจ
การกระทำของ Fed จะทำให้เกิด Inflation
-THE CORNER
ผลที่ตามมาจากสิ่งที่ Fed
เเละรัฐบาลได้ทำการ Lock Down สถานที่ต่างๆ
นั้นคือการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ Banking System
เป็นการเพิ่มหนี้ที่มีอยู่ให้มากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายขาดดุลอีกด้วย
การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ
ไม่เพียงเเค่เพิ่ม excess reserves
ของระบบธนาคารเท่านั้น
เเต่เงินเหล่านี้ได้วิ่งเข้าสู่บริษัทต่างๆในตลาด
เเละเข้าสู่มือของผู้บริโภค
โดยที่เป้าหมายคือการเพิ่มสภาพคล่อง
ให้กับผู้ที่สูญเสียรายได้
The Fed’s money creation policy
เพิ่งจะเเสดงผลกระทบเเรกออกมาเท่านั้น
ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ปริมาณเงิน M1 เพิ่มสูงขึ้นถึง 28.5%
เมื่อเทียบกับปีที่เเล้ว
ในขณะเดียวกันปริมาณเงิน M2
มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 17.8%
ธนาคารกลางกำลังเพิ่มปริมาณเงินกันอย่างบ้าคลั่ง
เเต่ในขณะเดียวกันผลผลิตทางเศรษฐกิจกลับหดตัว
นี้คือ Inflation รึเปล่า
คำตอบคือ ใช่อย่างเเน่นอน..
ในบริบทตอนนี้ กุญเเจสำคัญคือการเข้าใจว่า
Inflation จริงๆเเล้วมันคืออะไร
สำหรับคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันคิดว่า Inflation
คือการที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% ต่อปี
เเละนี้คือผลจากการที่ mainstream economics
ได้สอนนักเรียนในเเต่ละรุ่น ทั่วทุกมุมโลก
1
อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบ
Inflation กับราคาของสินค้า
ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องเลย
Inflation ในราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ได้ ignore Inflation
ใน assets class อื่นๆไปจนหมดสิ้น
stocks (หุ้น)
bonds (พันธบัตร)
and real estate (อสังหาริมทรัพย์)
**สิ่งที่กล่าวมาข้างบนนี้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดครับ
ในขณะเดียวกันราคาสินค้าอื่นๆไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรมากมาย
เเละ purchasing power of money ก็ไม่ได้ลดลงขนาดนั้น
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา
ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงค่อนข้างนิ่ง
เเต่ในขณะที่ราคาสินทรัพย์อื่นๆปรับตัวสูงขึ้น
คนที่ถือ Assets ในกลุ่มนี้คือผู้ชนะ
ส่วนอีกฝั่งคือผู้ที่ไม่ได้รับผลตอบเเทนอะไรเลย
มันเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้ Fed เเละ
ธนาคารพาณิชย์จะมีการร่วมมือกัน
จะมีการผ่อนปรนในเรื่องการปล่อยเงินกู้
ในจำนวนที่มากขึ้น ในขณะที่ดอกเบี้ยกลับต่ำลง
ความจริงทางเศรษฐกิจคือ
การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินควรได้รับการเรียกว่า Inflation
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเป็นเพียง
อาการที่เป็นไปได้ของการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินเท่านั้น
จริงๆการเพิ่มขึ้นของ Money Supply
ควรจะเป็นการกระจายรายได้
ให้กับประชาชน เพิ่มความมั่งคั่งให้กับประชาชน..
การหดตัวของเศรษฐกิจในครั้งนี้
ส่งผลให้เกิดการลดลงของ Demand ในตัวสินค้าต่างๆ
เมื่อ Demand ของสินค้าต่างๆลดลง
มันเลยเสี่ยงที่จะทำให้ราคาสินค้าลดลงด้วยเช่นกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าตกต่ำไปกว่านี้
Central bank จึงมีการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ
เพิ่มปริมาณเงินในมือของบริษัทและมือของผู้บริโภค
สมมติว่า การกระทำนี้ได้ทำให้ Demand
กลับมาสู่ระดับปกติ
เเละราคาของสินค้ายังอยู่เท่าเดิม
ในช่วงเเรกเราจะยังไม่ได้เจอกับ Inflation
เเต่สุดท้ายเเล้ว ราคาของสินค้าจะปรับตัวขึ้น
เพื่อรองรับกับปริมาณที่เพิ่มขึ้น
การเพิ่มปริมาณ Money Supply
เพื่อป้องกันราคาสินค้าต่างๆลดลง
ผลประโยชน์ในส่วนนี้จะตกไปอยู่ที่ใคร
บริษัทที่ขายสินค้าต่างๆใช่มั้ย ?
โอกาสในการซื้อสินค้าต่างๆในราคาต่ำของประชาชนกลับถูกปล้นออกไป
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่าๆกัน
จากปริมาณเงินมหาศาลที่ถูกเพิ่มเข้ามานี้
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่
hedge funds
insurance companies เเละอื่นๆ
กลับได้รับเงินก้อนโต
ขณะเดียวกันธุรกิจและพนักงานขนาดเล็กหล่ะ
พวกคุณคงรู้คำตอบกันดี
ยิ่งไปกว่านั้น
บางคนได้รับเงินก้อนใหม่นี้เร็วกว่าคนอื่น ๆ
คนแรกที่ได้รับเงินจะกลายเป็นผู้ชนะ
พวกเขาสามารถซื้อสินค้าในราคาปัจจุบัน
ในขณะที่เงินใหม่ย้ายจากมือหนึ่งไปอีกมือ
ซึ่ง Process นี้จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
ผู้ที่ได้รับเงินก้อนนี้ช้าคือผู้แพ้ของเกม
พวกเขาทำได้เเค่ซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้นเท่านั้น
มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่านโยบายทางการเงินเเบบนี้
ได้สร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน
มีการว่างงานจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจะส่งผลต่อค่าแรงเเน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาน้ำมัน
ส่งผลให้ราคาของสินค้าไม่เกิด price inflation ขึ้น
มันจริงอยู่ถ้าหากบริษัทเเละผู้คนต่างเก็บเงินที่ตนได้รับ
ไม่ยอมที่จะใช้จ่าย เมื่อไม่ใช้จ่าย เงินจึงไม่หมุนเวียน
Inflation จะไม่เกิดขึ้น
เเละเราจะได้เห็นถึงการเกิด Deflation ด้วยซ้ำ
เเต่สุดท้าย สำหรับคนทั่วไปนั้นเงินใหม่ที่ได้รับมานั้นจะถูกใช้ไปกับ
อาหารเสื้อผ้าและอื่น ๆ
หรือถ้าจะพูดให้เห็นภาพ สุดท้ายเเล้ว
New money is likely to find its way into
the demand for goods and services
เงินก้อนนี้จะหาทางวิ่งไปหา Demand ในสินค้าหรือบริการเสมอ
เเละถ้า lockdown ได้กลับมาเปิดอีกครั้ง
เศรษฐกิจกลับมาทำงานได้เป็นปกติ
Money Supply ที่ถูกเก็บเอาไว้
มันก็พร้อมที่จะไหลกลับเข้ามาในระบบทันที
บทเรียนสำหรับนักลงทุน คือ US-dollar เเละ Currencies อื่นๆที่ไม่ได้มีอะไรมา Back up
กำลังจะต้องเจ็บปวด
The currencies’ purchasing power
คือเหยื่อรายเเรกของธนาคารกลาง
หลังจากนี้เราจะได้เห็นการเสื่อมค่าของสกุลเงิน
ผ่านการปรับตัวสูงขึ้นของ Assets ต่างๆ..
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเงิน คือสิ่งที่จำเป็น
ไม่ใช่เเค่เฉพาะกับนักลงทุนเท่านั้น เเต่มันสำคัญกับทุกๆคน
ตราบใดที่เรายังใช้ Fiat Currency เป็นตัวกลางในการเเลกเปลี่ยนอยู่
บังหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับทุกคนนะครับ
เพราะความรู้คือของขวัญที่ดีที่สุด📚
ตอนนี้บังได้สร้างซีรีส์อัลบั้มของบทความไว้เเล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถติดตามอ่าน
ย้อนหลังได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะครับ
ถ้าตลาดหุ้นกำลังจะถล่ม
เราอยู่ในจุดที่ต่ำสุดเเล้วหรือยัง ?

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา