15 พ.ค. 2020 เวลา 11:19 • ธุรกิจ
What worked (and didn’t work)
during 1970s stagflation
เมื่อตอนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิด
ในวันที่ 2 มกราคม 1970
Dow Jones อยู่ที่ 809 จุด
มันคือการเริ่มต้นของทศวรรษใหม่
เเละเเน่นอนมันเต็มไปด้วยความหวังของผู้คน
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูง
เศรษฐกิจแข็งแรง
NASA ก็เพิ่งส่งมนุษย์อวกาศไปเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์
เพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง
America was ready to move on from the tumultuous 1960s and was looking forward to a boom in the 1970s
อเมริกาพร้อมที่จะก้าวผ่านจากปี 1960s
ยุคที่แสนจะวุ่นวาย
ไปสู่อนาคต ยุคใหม่ 1970s อนาคตที่เเสนจะสดใส..
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดคิด
นานกว่า 10 ปี เศรษฐกิจของสหรัฐต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่สุด นับตั้งแต่ Great Depression
ในช่วงปี 1970s นั้นสหรัฐต้องจมอยู่กับ Stagflation
High unemployment
high inflation
higher taxes
higher debt levels
and pitiful economic growth
อัตราการว่างงานที่สูง
เงินเฟ้อสูง
ภาษีและระดับของหนี้ที่สูง
และมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าอนาถ
มันคือชะตากรรมทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุด
และมันก็คงอยู่กับสหรัฐมาได้เป็นปี ๆ
Inflation peaked above 10% in the 1970s
เงินเฟ้อขึ้นสูงสุดทะลุ 10% ในช่วง 1970s
อัตราว่างงานประมาณ 8%
ผู้คนต่างหางานประจำทำ เเต่กลับเหลือพื้นที่สำหรับ Part time เท่านั้น
การลงทุนส่วนใหญ่ต้องพบกับการขาดทุน
การลงทุนในพันธบัตรสหรัฐต้องพบกับความเสียหายจากเงินเฟ้อ
ผู้ซื้อพันธบัตร 10-year เมื่อช่วงต้น 1970s
จะขาดทุนจากอัตราเงินเฟ้อมากถึง 5.5%
And the stock market produced dismal returns
เเละตลาดหุ้นก็สร้างผลตอบแทนที่เเสนจะน่าหดหู่
Dow Jones เมื่อตอน 1970 เท่ากับ 809 จุด
เดือนธันวาคม 1979 เท่ากับ 839
แทบไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย...
แล้วเมื่อนำตัวเลขเงินเฟ้อเข้ามา
คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจะขาดทุนถึง 49% ตลอดช่วง 1970s
ทรัพย์สินที่เเท้จริง
แต่ผู้ที่ลงทุนในทรัพย์สินแท้จริงจะได้ผลตอบแทนที่ดี
ลองไปดูที่ดินการเกษตรดูซิ
จากตัวเลขกระทรวงเกษตรสหรัฐ
(US Department of Agriculture)
ราคาที่ดิน farmland เมื่อปี 1970 เฉลี่ยอยู่ที่ $137 ต่อเอเคอร์
ในช่วงระยะเวลาสิบปี ขึ้นไปเป็น $737 ต่อเอเคอร์
a hefty return averaging more than 14% per year
Investors who purchased farmland with
a modest amount of leverage earned a 24.7%
นักลงทุนที่ซื้อ farmland โดยใช้เงินกู้เเบบปกติ
ได้ผลตอบแทน 24.7% เฉลี่ยต่อปี ตลอดช่วง 1970s
นั่นยังไม่รวมรายได้จากผลผลิตอื่นๆด้วยซ้ำ
ราคาเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วงสิบปี
ข้าวโพดเพิ่มสามเท่าเเละข้าวสาลีสี่เท่าตัว
มันคือ best performing assets อย่างเเท้จริง
ราคาอสังหาที่อยู่อาศัยก็ให้ผลตอบเเทนที่ดีไม่เเพ้กัน
เเต่เป็นเเค่เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น..
ทองคำ (Gold)
ช่วงเเรกของต้นทศวรรษ
ในตอนนั้นทองคำมีราคาอยู่ที่ $36.56
ย้อนกลับไปตอนนั้น ดอลล่าร์ยังคง peg ค่าอยู่กับทองคำ
But by the end of the decade,
the US dollar was officially
a ‘fiat’ currency and no longer backed by gold
( Us dollar กลายเป็น Fiat Currency โดยสมบูรณ์)
ปลายปี 1979 ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น
ราคาขยับขึ้นไปมากกว่า $400
นักลงทุนทำกำไรได้มากถึง 10 เท่าในช่วงสิบปีนั้น
จากภาพทุกคนคงเห็นคำตอบที่ชัดเจน...
ยังมีตัวอย่างเเบบนี้อีกมากมาย เเต่สิ่งสำคัญคือ
ทรัพย์สินแท้จริง จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่า
ทรัพย์สินอื่นๆในช่วงเวลาที่เลวร้ายของเศรษฐกิจ
ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
มาตอนนี้ มันน่าขัน..
ถ้าจะบอกว่า 2020s
ก็จะเหมือนกับยุค 1970s
ไม่มีผิดเพี้ยน..
it’s important to approach everything about this pandemic from a position of ignorance and uncertainty
เรื่องที่เรารู้เกี่ยวกับมันมีน้อยมาก
แต่ที่รู้แน่ๆคือมีการพิมพ์เงินกันอย่างมหาศาล
และหนี้ที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
US Treasury Department (กระทรวงการคลังสหรัฐ)
เพิ่งประกาศออกมาว่าจะมีการกู้เงินอีกกว่า
$3 TRILLION ภายในไตรมาสนี้
กว่าจะถึงสิ้นปี ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะต้องกู้กันอีกเท่าไหร่
และในเมื่อเราไม่สามารถที่จะบอกได้เลยว่า
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
stagflation, deflation หรือ inflation
ประวัติศาสตร์ได้บอกเราเเล้ว
คงจะดีกว่าถ้าจะถือครอง real assets ที่เเท้จริง
สำหรับตัวบังนั้น
บังมองว่าฟองสบู่ลูกนี้
ใหญ่กว่าฟองสบู่ Subprime อย่างน้อยก็ 3 เท่า
ดูเเลตัวเอง ช่วยเหลือกันเเละกันนะครับ..
เพราะความรู้คือของขวัญที่ดีที่สุด 📚
ตอนนี้บังได้สร้างซีรีส์อัลบั้มของบทความไว้เเล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถติดตามอ่าน
ย้อนหลังได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะครับ
ถ้าตลาดหุ้นกำลังจะถล่ม
เราอยู่ในจุดที่ต่ำสุดเเล้วหรือยัง ?

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา