ครั้นได้สดับข้อความอย่างนั้นแล้ว พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า "อุบาสก ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มีการแตกไปเป็นธรรมดา ไม่วันใดวันหนึ่งก็ย่อมจะแตกไป เมื่อมันแตกไปแล้วก็ไม่ควรที่จะเก็บมาเศร้าโศกอีก ต้องรู้จักปลดปล่อยวาง บัณฑิตทั้งหลายเมื่อภรรยาตายไป ก็ยังไม่เศร้าโศก เพราะรู้จักคิดและปล่อยวาง" แล้วพระพุทธองค์จึงทรงนำอดีตชาติมาตรัสเล่าให้ฟังว่า...
ในสมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักตักสิลา จนกระทั่งประสบความสำเร็จ จึงกลับมาบ้านเกิด
บิดามารดาของพระโพธิสัตว์บอกกับลูกชายว่า "พ่อกับแม่จะหาภรรยาให้ลูก"
แต่พระโพธิสัตว์ตอบปฏิเสธว่า "ลูกไม่ต้องการจะครองเรือนเลย แต่ปรารถนาจะออกบวช"
เมื่อถูกบิดามารดารบเร้าบ่อยๆ จึงหาอุบายให้ช่างทองทำรูปหล่อทองคำขึ้นมารูปหนึ่ง พร้อมกับบอกท่านว่า หากได้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ลูกก็จะยอมแต่งงานด้วย บิดามารดาได้ฟังแล้วก็แสนจะดีใจ เพราะอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา จึงส่งคนออกตามหาผู้หญิงที่คล้ายกับรูปทองคำนั้น
ใจจริงของพระโพธิสัตว์แล้ว ไม่ต้องการจะมีครอบครัวเลย แต่ที่ทำอย่างนั้น เพื่อว่าจะได้มีข้ออ้างในการปฏิเสธการแต่งงาน ฝ่ายผู้บังเกิดเกล้าของท่านไม่ละความพยายาม ได้ส่งคนเที่ยวไปในชมพูทวีป เพื่อแสวงหากุมาริการูปงาม พร้อมกับกำชับว่า หากท่านทั้งหลายพบนางแล้ว ให้ใช้ทองคำนี้เป็นสินสอด แล้วนำนางมาสู่ตระกูลของเรา
ในสมัยเดียวกันนั้น มีผู้มีบุญจุติลงมาจากพรหมโลก บังเกิดเป็นกุมาริกาในเรือนของพราหมณ์มหาศาล ผู้มีสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิในแคว้นกาสี นางอายุได้ ๑๖ ปี เป็นผู้ที่มีรูปสวยงามมาก บิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า สัมมิลลหาสินี แต่ด้วยความที่เป็นผู้จุติลงมาจากพรหมโลก จึงทำให้ใจใสบริสุทธิ์มาก