16 พ.ค. 2020 เวลา 10:00 • ความคิดเห็น
เวลาและโอกาสที่พลาดไม่ได้
เรารู้เวลาตายไม่ได้โดยแท้ เวลาตายยังปกปิดอยู่ หาปรากฏไม่ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่บริโภคกามแล้วเที่ยวภิกษา เวลากระทำสมณธรรมอย่าล่วงเลยเราไปเสีย …
เราทุกคนโชคดีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดา และมีโอกาสได้เข้าถึงพระรัตนตรัย ใครก็ตามที่เข้าถึงพระรัตนตรัย ย่อมได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง แต่ถ้าใครยังเข้าไม่ถึงธรรมะ ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ คำสอนของพระพุทธองค์จะทำให้ใจเราสงบระงับ การทำความดีด้วยการละชั่วด้วยกาย-วาจา-ใจ ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ทำแต่ความดีด้วยกาย-วาจา-ใจ เท่านั้น ทำใจให้ผ่องใส เมื่อใจใสมากๆ เข้า ก็จะเข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
 
    ถ้าเข้าไม่ถึงพุทธรัตนะ ก็ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่ถึงธรรมรัตนะ ก็ไม่ถึงสังฆรัตนะ ก็ไม่รู้จักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ดังนั้นถ้าไม่เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ก็ไม่ได้ลิ้มรสแห่งธรรม ซึ่งสิ่งนี้เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาทีเดียว
พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคำสุภาษิตใน สมิทธิชาดก ว่า
"เรารู้เวลาตายไม่ได้โดยแท้ เวลาตายยังปกปิดอยู่ หาปรากฏไม่ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่บริโภคกามแล้วเที่ยวภิกษา เวลากระทำสมณธรรมอย่าล่วงเลยเราไปเสีย"
ธรรมชาติของเวลามีปกติอยู่ ๔ ประการ คือ
 
๑.ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือแม้กระทั่งตัวของมันเอง ได้กำหนดให้ ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่าเทียมกัน
๒.คุณค่าของเวลาอยู่ที่ว่าใครจะสามารถใช้เวลาให้คุ้มค่า ควรแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์มากกว่ากัน เพราะถึงแม้จะมีเวลาเท่ากัน แต่ทุกคนใช้เวลาไม่เหมือนกัน
๓.มีปกติผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลยไม่มีวันหวนกลับ เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว รอแต่จะตกไปท่าเดียว
๔.เมื่อเวลาผ่านไปแล้วไม่ผ่านไปเปล่า ยังกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งไปด้วย ที่ว่ากลืนกิน คือ เวลาได้นำเอาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความเสื่อมมาสู่ตัวเรา สังเกตได้จากคนรอบข้างหรือตัวของเราเองที่เสื่อมลงไปทุกๆ วัน
โอกาสดีก็เช่นเดียวกันมีไม่บ่อยนักสำหรับทุกคน บางคนสามารถใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสได้ บางคนปล่อยโอกาสดีให้สูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์ หรือกลายเป็นวิกฤตไปเลยก็มี อย่างบางคนมีศรัทธามาก อยู่ต่างแดน มีไทยธรรมด้วย อยากถวายสังฆทานแต่กลับไม่มีเนื้อนาบุญ บางทีมีเนื้อนาบุญพร้อมแต่ตนเองไม่มีศรัทธา ไม่มีไทยธรรม อย่างนี้ก็หมดโอกาสจะสั่งสมบารมี อย่างไรก็ตามยอดนักสร้างบารมีทั้งหลายที่มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ได้ชื่อว่ามีทั้งเวลาและโอกาสในการทำความดี
ความดีและบุญกุศลอะไรที่เรายังไม่เคยทำ ยังไม่ได้ทำ ก็ให้รีบทำให้เต็มที่ ก่อนที่เวลาและโอกาสของเราจะหมดไป เหมือนพระเถระองค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อท่านรู้ว่าอะไร คือ เป้าหมายของชีวิต ก็รีบใช้เวลาและโอกาสที่มีอยู่อย่างเต็มที่ ไม่ห่วงกังวลถึงอะไรทั้งสิ้น ทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะดำเนินไปในหนทางที่ถูกต้องอย่างเดียว แล้วในที่สุดท่านก็สมหวัง กว่าจะได้ต้องลงทุนเป็นอย่างมาก แต่ก็นับว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป ดังเรื่องต่อไปนี้
*ในสมัยหนึ่ง มนุษย์จำนวนมากนิยมแล่นเรือไปเพื่อค้าขาย เมื่อเรือไปถึงกลางมหาสมุทรเกิดอับปางลง มนุษย์ทั้งหลายต่างล้มหายตายจาก กลายเป็นอาหารของปลาและเต่า แต่มีชายคนหนึ่งได้อาศัยแผ่นกระดาน พยายามตะเกียกตะกายแหวกว่ายมาจนถึงฝั่ง เนื่องจากว่ายน้ำเป็นเวลานานหลายวัน เสื้อผ้าขาดวิ่นไปหมด เขามองไม่เห็นอะไรพอที่จะนุ่งห่มได้ เลยเอาเชือกปอมัดพันกับใบไม้แห้งใช้ห่มแทนเสื้อผ้า พวกมนุษย์สำคัญผิดว่า บุรุษนี้น่าจะเป็นพระอรหันต์ เพราะเมื่อเอาเสื้อผ้าให้ใส่ เขาไม่ยอมใส่ เพราะแต่งตัวอย่างนี้แล้ว มีคนมาเคารพนับถือ จึงสำคัญตัวว่าเป็นพระอรหันต์ตามที่เขายกย่องกันด้วย มหาชนเรียกท่านว่า พาหิยทารุจิริยะ ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อย้อนไปสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ท่านเคยออกบวชพร้อมกับสหธรรมิกอีก ๖ รูป ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขา มีรูปหนึ่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก่อน ต่อมาอีกรูปหนึ่งได้บรรลุเป็นพระอนาคามีแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก ส่วน ๕ รูปที่เหลือไม่ได้บรรลุคุณวิเศษอันใด พอครบเจ็ดวัน ทุกคนทำกาละ แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ หมดบุญแล้วลงมาเกิดเป็นมนุษย์
 
    เมื่อสหธรรมิกที่เกิดในพรหมโลกเห็นท่านพาหิยะหลงผิดอย่างนั้น จึงมาเตือนสติว่า "ตัวท่านไม่ใช่พระอรหันต์หรอก แถมยังไม่ได้บรรลุคุณวิเศษอะไรเลย" และบอกให้ไปพบพระบรมศาสดา ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง
เมื่อท่านฟังดังนั้นจึงได้รีบไปพบพระศาสดา ซึ่งขณะนั้นกำลังเสด็จบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี กราบทูลทั้งๆ ที่ตนเองยังเหน็ดเหนื่อยอยู่นั่นเองว่า "พระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ สิ้นกาลนานเทอญ"
 
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนพาหิยะ ตอนนี้เรากำลังบิณฑบาต ยังไม่ใช่เวลาที่จะแสดงธรรม"
 
    เมื่อพาหิยะได้ฟังเช่นนั้น จึงกราบทูลว่า "เมื่อพระองค์ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ไม่เคยได้อาหารคือคำข้าวก็หาไม่ และข้าพระองค์ไม่ทราบถึงอันตรายว่า จะมีแก่ข้าพระองค์หรือจะมีแก่พระองค์เมื่อไร"
เราจะเห็นได้ว่า ท่านเร่งรีบราวกับจะรู้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามา ชีวิตเหมือนแขวนไว้บนเส้นด้าย จะขาดเมื่อไรก็ไม่รู้ วันเวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ลองถามตัวของเราเองว่า อายุเราขนาดนี้แล้ว เราได้ทำความดีเต็มที่แล้วหรือยัง ในขณะที่เวลาและโอกาสของชีวิตของเรายังเหลืออยู่ อย่างท่านพาหิยทารุจิริยะ ท่านไม่ประมาทในเวลาและชีวิต ถึงเรือจะแตกกลางมหาสมุทรยังมีกำลังใจว่ายน้ำมาจนถึงฝั่งได้ และเมื่อรู้ว่าตนเองยังไม่บรรลุธรรมจริงๆ จึงรีบเข้าไปหาท่านผู้รู้ เพื่อตนเองจะได้รู้ตามด้วย และเมื่อมีโอกาส ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป รีบไต่ถามรีบขวนขวายใฝ่รู้ เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงห้ามถึงสองครั้ง เพราะทรงทราบว่า ขณะนี้พาหิยะกำลังมีมหาปีติเพราะได้พบพระองค์ และกำลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ถึงฟังธรรมก็จะไม่สามารถแทงตลอดในธรรมได้ ทรงรอให้ความกระวนกระวาย ความกระสับกระส่ายของพาหิยะ ผู้เดินทางมาทั้งคืน เป็นระยะทางตั้ง ๑๒๐ โยชน์ ให้สงบระงับลงเสียก่อน วาระที่สาม พาหิยะจึงทูลขออีก
 
    พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงประทับยืนในระหว่างถนนนั่นเอง ตรัสแสดงธรรมว่า "พาหิยะ เมื่อเธอเห็นจงสักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังจงสักแต่ว่าฟัง เมื่อได้ยินจงสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อรู้จงสักแต่ว่ารู้"
 
    เมื่อจบพระคาถาเพียงเท่านี้ ท่านพาหิยะได้บรรลุอรหัตตผลทันที แล้วขอบวช เนื่องจากท่านไม่เคยถวายผ้าและเครื่องบริขารให้ใครเลย จึงไม่สามารถบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้ท่านไปแสวงหาเครื่องบริขารมาก่อน ขณะที่ท่านกำลังแสวงหาอยู่นั้น ได้ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ภิกษุทั้งหลายจึงถามถึงคติของท่านพาหิยทารุจิริยะ พระศาสดาได้ตรัสว่า ท่านได้ปรินิพพานแล้ว ภิกษุสงฆ์เกิดความสงสัยในเรื่องการบรรลุอรหัตผลของท่าน จึงกราบทูลว่า "พาหิยะฟังธรรมแค่นิดเดียว ได้บรรลุธรรมเพราะเหตุใดพระเจ้าข้า"
 
    พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาว่า "ถ้าคาถาแม้ตั้งพันไม่ประกอบด้วยประโยชน์ จะมีประโยชน์อะไร บุคคลได้ฟังคาถาใดแล้วสามารถสงบระงับได้ คาถานั้นแม้บทเดียวประเสริฐกว่า" แล้วพระพุทธองค์ทรงตั้งพาหิยะไว้ในตำแหน่งสาวกผู้เลิศ ทางด้านตรัสรู้ได้เร็ว
เราจะเห็นได้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก เหมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า ไม่นานก็เหือดแห้งไป วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนนกบิน เมื่อผ่านไปแล้วจะเรียกร้องให้กลับคืนมาก็ไม่ได้ แม้มีทรัพย์สมบัติมากมาย ก็ไม่อาจจะซื้อเวลาให้กลับคืนมาได้ ในขณะที่ชีวิตของเรายังเหลืออยู่ ยังมีเวลาและโอกาส เราจะต้องเร่งทำความดีให้เต็มที่ ไม่ประมาท เหมือนอย่างท่านพาหิยทารุจิริยะที่ไม่ประมาทในเวลาและรู้คุณค่าของชีวิต เมื่อเรารู้ว่าเรายังไม่บรรลุธรรมที่ควรบรรลุ เราก็ต้องหมั่นปรารภความเพียร แล้วหมั่นเข้าไปหาท่านผู้รู้เพื่อซักถามข้อสงสัย เมื่อมีโอกาสให้ไต่ถาม รีบขวนขวายในการแสวงหาความรู้ ในที่สุดเราก็จะบรรลุธรรมตามผู้รู้ทั้งหลายไปได้
สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง และยังเป็นข้อคิดเตือนใจได้เป็นอย่างดี คือ สมัยที่ท่านพาหิยทารุจิริยะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทำไมเมื่อมีเวลาและโอกาส จึงไม่เคยถวายอัฐบริขารเลย พอมาภพชาติสุด ท้ายแม้บรรลุธรรมแล้วไม่สามารถบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาได้ ต้องไปแสวงหาบริขารมาบวชเอง
 
    ตรงนี้เป็นอุทาหรณ์ให้พวกเราได้เป็นอย่างดีว่า ความดีทุกๆ อย่าง เราควรทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สิ่งใดที่เรานักสร้างบารมียังทำไม่เต็มที่ ยังไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ ขอให้ขวนขวายทำอย่างเต็มที่ ยุคนี้เราต้องไวต่อการทำความดี เพราะเราต้องรีบชิงช่วงก่อนที่จะโดนช่วงชิงเวลาและโอกาสไปจากเรา เวลา พญามาร และความตาย เป็นสิ่งที่เราจะประมาทไม่ได้เลย
ฉะนั้น พวกเราจงใช้เวลาและโอกาสที่มีอยู่นี้ สร้างบารมีให้เต็มที่ ให้เกิดบุญบารมีเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งต่อตนเอง ต่อส่วนรวมและต่อชาวโลก ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าเพิ่งท้อถอย ในการสร้างบารมี นักสร้างบารมีที่แท้จริงนั้นต้องไม่หวั่นไหว ไม่ท้อถอยแต่ทำความท้อให้ถอยหนีออกไปจากใจของเรา เหนื่อยเราก็พัก หายเหนื่อยเราก็ทำกันต่อ แต่เราจะไม่ยอมหยุดพักในการสร้างบารมี เพราะบุญบารมีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เป็นอาหารสำหรับชีวิตของเรา เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเรา เหมือนน้ำมันหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นอย่าประมาทในชีวิต ให้หมั่นสั่งสมบุญบารมีกันให้เต็มที่ จนกว่าบุญบารมีของเราจะเต็มเปี่ยมกันทุกๆ คน
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. ประวัติพระพาหิยะ เล่ม ๓๒ หน้า ๔๓๑

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา