17 พ.ค. 2020 เวลา 12:27
เรื่องสั้นย้อนยุค (ตอนที่ 3)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
ความเดิมตอนที่แล้ว: หนูพาได้มาพบกับหม่อมทินกรที่หน้าเฉลียงตึกเหลืองของท่าน เพื่อรับเหรียญจากหม่อมท่านไปให้ คุณเจ้าขา หนูพิม และหนูพลอย, ขณะที่หนูพาเอง ก็ได้รับปากกาขนนก และพรพิเศษ บางประการก่อนที่หนูพาจะเข้าสู่ภวังค์นิทราแห่งจันทร์ ..
วันนี้จึงขออนุญาต ลงตอนที่ 3 พร้อมกับคาราโอเกะ เพลง “จันทร์เจ้าขา” อีกครั้งนะครับ ..แต่ในเวอร์ชั่นนี้ เป็นเวอร์ชั่นร้องคู่ ที่ได้พี่เจี๊ยบ future มาช่วยทำให้อ่อนช้อย งดงาม หวานละมุน.. ยิ่งขึ้นนะครับ :)
บทที่ 1 อรุณรุ่ง
ตอนที่ 3 พิม พลอย พา
“เหตุไร ..ยามนี้ จึงมีเด็กน้อยมานอนอยู่ที่ตึกเหลืองของหม่อมท่าน..เช่นนี้”
“หรือจะเป็นเด็กน้อยจากเรือนคัดสรร”
เจ้าของเสียงทุ้ม กังวาลนั้นพูดพลาง ก็ค่อยๆช้อนตัวอุ้ม หนูพาไว้ที่อก พลางหันไปบอกบ่าว ที่กำลังเดินตามกันมาว่า ..
“ข้าจะอุ้มเด็กน้อยคนนี้ ไปส่งที่เรือนคัดสรร แล้วจะรอครูช้อยอยู่ที่เรือนนั้น ส่วนพวกเจ้าหากจัดของเข้าเรือนหม่อมท่านเสร็จ ก็ค่อยตามไปสมทบข้า ณ ที่นั้น..”
“ขอรับ คุณหลวง” พันพินิตจันทรา (ชุ่ม) ตอบรับ ก่อนจะหันไปสั่งงานต่างๆให้บ่าวเร่งมือ ให้เสร็จ ทันก่อนอรุณรุ่ง..
ระยะทางระหว่างตึกเหลืองไปยังเรือนคัดสรรนั้น นับว่าไม่ไกลมากนัก แต่ถ้าหากลัดเลาะเดินผ่านทางสวนไม้ไทย อาจจะใช้เวลามากกว่าทางปกติ สักหน่อย แต่ก็จะร่มรื่น แลเย็นสบายกว่า..
คุณหลวงครุ่นคิดซักครู่หนึ่ง ..แล้วจึงตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าไปทางร่มไม้ใหญ่ของ สวนไม้ไทย..ด้วยเกรงว่า แสงอรุณยามเช้าในทางเดินปกตินั้น อาจจะปลุกให้คุณหนูพาตื่นก่อนที่จะถึงเรือน .. แล้วคงจะต้องมีการซักถามเสียเวลา ..
.
.
ในระหว่างที่คุณหลวงกำลังเดินลัดเลาะในสวน...
...
กลิ่นไม้หอม และดอกไม้ที่บานรับอรุณ พร้อมเสียงสกุณาที่ร้องรับกัน ..
ทำให้คุณหลวงได้สูดลมหายใจ ยาว ลึก อย่างสดชื่น เต็มที่ และร้องขับเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดีว่า
“ภาพรอยยิ้ม พริ้มพราว
นั้นราว มี..มนต์ขลัง
ตกอยู่ในภวังค์ เพ้อครวญ
ใจเฝ้าเรียกหา..”
เสียงนุ่มทุ้ม ที่ขับร้องเพลงนี้ช่างงดงาม อบอุ่น สว่างไสว จนแม้เหล่าสกุณายังต้องลดเสียง..
หยุดฟัง..
อาการเดียวกันนั้น ก็คล้ายว่ามีเทพหรือเทพารักษ์องค์ใด มาร่วมฟัง และ เผลอขยับแหวกกิ่งไม้ที่ปกคลุมขณะที่คุณหลวง ขับบทเพลงนั้น..เปิดออก ได้อย่างพอดิบพอดี..
ทำให้แสงอรุณยามเช้า .. ผ่านยอดไม้ที่ปกคลุมเข้ามา เป็นลำแสงต้องใบหน้าและเปลือกตาที่ปิดอยู่ของหนูพา ..ให้ค่อยๆ หรี่ตา สู้แสงระยิบระยับนั้น ..
และในที่สุด คุณหนูพาจึงลืมตากลมใส หลุดออกจากภวังค์นิทรา ..
สติ และโสตสัมผัสของหนูพาก็ค่อยๆ เริ่มกลับมารับรู้ถึง..
ลมเย็นเบาๆที่โชยพัดบางๆ สัมผัสใบหน้าของหนูพา พร้อมกลิ่นดอกแก้วจางๆ..
.
.
แล้วค่อยๆ รับรู้ถึงการเคลื่อนที่ คล้ายถูกอุ้มเหาะลอยลิ่วมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนคัดสรร..
จนที่สุด จึงรู้สึกถึงอ้อมแขน ที่กำลังเกร็งกอดของชายหนุ่มที่อุ้มหนูพา..ให้กระชับแน่น ..แนบแผ่นอกที่กว้างใหญ่แข็งแรง
..ใบหน้าหนูพาแนบชิดจนได้ยินเสียงเต้นหัวใจ ดังเป็นจังหวะหนักแน่น จนคล้าย เหมือนกำลังบอกว่า
... อ้อมกอดนี้จะปกป้องดูแล และเป็นที่พักสงบ อันอบอุ่น
..
..
ขณะที่หนูพาเอียงหน้าหลบแสงแดดนั้น จึงทำให้สายตาของหนูพา ค่อยๆสังเกต เห็นใบหน้าคมสัน นั้นชัดยิ่งขึ้น..
.
.
ใบหน้างามนั้น มีความอ่อนโยน และมีรอยยิ้มแทรกนิดๆ อยู่ในขณะขับเพลง..
“รอยยิ้มนี้ เป็นยิ้มของผู้มีบุญวาสนาที่มีเมตตาบารมีอย่างสูง เสียนี่กระไร จึงทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกสงบ และอบอุ่นอย่างประหลาด.. ได้เพียงนี้..” หนูพารำพึง
เมื่อมองไปที่ดวงตาโศกคู่นั้น คุณหนูพาก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าบางอย่าง ที่ซ่อนอยู่ข้างในลึกๆ อย่างเป็นปริศนา..
“..ใบหน้านี้ ไม่น่าจะเกินช่วงวัยเบญจเพส..แต่ขับบทเพลงนี้ได้ไพเราะน่าฟังได้ราวอย่างกับเป็นครูเพลงขับร้องจากสำนักเสนาะดุริยางค์..”
และขณะที่หนูพา กำลังอ่านปากของชายหนุ่ม เพื่อจะจำบทเพลงนั้น..
พลันสายตาของชายหนุ่มก็ก้มลงมามองที่หนูพา ..
จน หนูพาตกใจ รีบหลับตาหยี สนิทแน่นในทันที..
..คล้ายเวลาหยุดนิ่ง จนสรรพเสียงรอบๆ และเสียงบทเพลงนั้นก็เงียบสนิทเช่นกัน..
เหลือแต่เพียงเสียงหัวใจของหนูพา เต้นเร็วรัวๆ ดัง..ตึก..ตึก แรง.. และเสียงหายใจเข้าออกของชายแปลกหน้าผู้นี้.. และกลิ่นหอมจางของอบร่ำ คละกับกลิ่นดอกแก้ว..
เวลาช่างผ่านไปอย่างเนิ่นนานช้า..จนกระทั่งหลุดพ้นบรรยากาศร่มรื่นของสวนไม้ไทย เข้าสู่บริเวณเรือนคัดสรร..
หนูพาจึงค่อยๆหรี่ตาซ้ายขึ้นมอง..แต่ภาพที่เห็น ยังคงเป็นภาพรอยยิ้มเล็กๆมุมปาก และสายตาคู่นั้นมองลงมาที่หนูพา เหมือนเดิม..
หนูพาตกใจ ทำอะไรไม่ถูก..รีบหลับตาหยีอีกครั้ง และทำเสียง
”คร่อก..ฟรี้... คร่อกๆ..ฟรี้”
เสียงกรน ดังกลบ
.
.
.
.
.
“คุณหนูพา”
“หนูพา”
“คุณหนูพา”
..
เสียงเรียกชื่อ หนูพา หลายๆครั้ง จาก หลายๆเสียง ดังขึ้น อยู่ด้านหน้าไม่ไกล และค่อยๆมุ่งหน้ามาทาง หนูพา..
จนหนูพาต้อง ค่อยๆเอียงหน้าหันไปมอง..
และอุทานเบาๆ เมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้น
“พี่พิม..พี่พลอย..
และครูช้อย..”
ช่างมากันมากมายครบพร้อมกัน..เสียนี่กระไรเจ้าคะ
“โอย คราวนี้หนูพา ตายจริงๆ แน่แล้วนะเจ้าขา”
“..คร่อก..” เป็น คำอุทานสุดท้ายของหนูพา..
ก่อนที่หนูพาจะเป็นลมสลบคอพับโดยไม่ต้องแสดงแสร้งหลับเช่นทุกๆครั้ง..
จบตอนที่ 3
#เกร็ดเพิ่มเติม,
#ยศชั้น,
ยศของขุนนางเรียงลำดับจากขั้นสูงสุดลงไปดังนี้
     สมเด็จเจ้าพระยา
     เจ้าพระยา
     พระยา
     พระ
     หลวง
     ขุน
     หมื่น
     พัน
     ทนาย
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดิน และเลิกระบบฐานันดรไพร่ด้วย พ.ร.บ.ลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 ,ไพร่จึงได้เป็นประชากรอิสระสามารถที่จะศึกษาเล่าเรียนแล้วเข้ารับราชการในตำแหน่งหน้าที่แทนขุนนางมากขึ้น..
#ราชทินนาม
คือ ชื่อที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทาน ใช้กำกับยศหรือบรรดาศักดิ์ขุนนาง สมณศักดิ์พระสงฆ์ การพระราชทานราชทินนามเพื่อให้เป็นสิริมงคลและมีเกียรติยศปรากฏแก่คนทั่วไปแล้ว ยังบอกหน้าที่การงานของผู้รับพระราชทานราชทินนามนั้นๆ ด้วย เช่น พัน(ยศ) พันทิวาทิตย์(ราชทินนาม),
พัน(ยศ)พินิตจันทรา(ราชทินนาม) คือ “ชาวพนักงานรักษานาฬิกา” ในเวลากลางวัน และกลางคืน ในกรมนาฬิกา ซึ่งวิธีการตั้งเวลาของกรมนาฬิกาจะเริ่มจากเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น กรมนาฬิกาต้องลอยกะลาจนจมลงจึงไปตีฆ้องที่แขวนไว้บนชั้นของหอนาฬิกา 1 ครั้ง และปักไม้ติ้วบนราว ทำเช่นนี้ไปจนครบ 12 อัน,
#สำนักเสนาะดุริยางค์,
มีชื่อเสียงในสังคมไทยตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ถึงปัจจุบัน มีการสืบสกุลตระกูล "สุนทรวาทิน" มา 4 ชั่วอายุคน พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดวิชาดนตรีแก่สังคมไทยและราชสำนัก เป็นผู้สร้างเพลงและวงดนตรีไทยให้วิจิตรถึงขั้นอุดมคติ
สวัสดี และขอจบเพียงเท่านี้
ขอบคุณมากครับ
(T.Mon+Piano: พี่เจี้ยบ Future)
ภาพและข้อมูลส่วนหนึ่ง: บางฉากจากภาพยนตร์ทวิภพ, ฉายาลักษณ์สยาม โจคิม เค.บ้าวท์ซ,ภาพถ่ายของฟรานซิส จิตร, หนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 36 ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2558หน้า 150-167, ระเบียบวิธีการประพันธ์เพลงมโหรีโดยขนบของสำนักเสนาะดุริยางค์,

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา