31 พ.ค. 2020 เวลา 03:00 • ธุรกิจ
Digital Disruption+Polities Disruption
=Hyper disruption(ภาค2)
จากภาคที่แล้วที่ผมได้อธิบายถึงHyper Disruption ที่เกิดจาก New Normal+พลังของBIG 5 ไปแล้ว มาวันนี้ผมจะมาอธิบายถึงPolities Disruption ที่เป็นหนึ่งในฉนวนที่ทำให้เกิด Hyper Disruption ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งคนที่เริ่มจุดฉนวนนี้ให้ลุกเป็นไฟ ก็คงไม่พ้น Donald Trump นั่นเอง
Polities Disruption ก่อให้เกิด Hyper Disruption ได้อย่างไร Near us จะสรุปให้ฟังครับ
โดยหลักๆแล้วมีอยู่ เรื่องหลักๆด้วยกัน ได้แก่
1.ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของฮ่องกง
"สหรัฐฯ ควรจะหยุดความคิดและความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงจีน"
"ชาวอเมริกันบางคนกำลังผลักดันให้ประเทศเข้าสู่สงครามเย็นครั้งใหม่"
Wang Yi รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนกล่าว
ต้นตอเกิดมาจากการที่ทางประเทศจีนได้มองเห็นว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นใหม่ในองกงเป็นฝืมือที่อยู่เบื้องหลังของสหรัฐที่ต้องการที่จะให้ประเทศฮ่องกงไม่เป็นเอกภาพและแตกคอกับประเทศจีน
ทำไมสหรัฐทำแบบนั้นล่ะ? นั่นก็เพราะว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เคยระบุว่า มีบริษัทอเมริกันรวมกว่า 1,300 รายดำเนินงานอยู่ในฮ่องกง และมีพลเมืองอเมริกันราว 85,000 คนอาศัยในเกาะแห่งนี้ ทำให้บริษัทในสหรัฐได้ผลประโยชน์ทางการค้าในประเทศการค้าเสรีกับฮ่องกงเป็นจำนวนมาก
เมื่อจีนเห็นว่าสหรัฐได้ใช้วิธีนี้ จีนจึงได้ตอบโต้สหรัฐในระยะยาว 2 อย่างหลักๆ ได้แก่
1.การออกมาตรการในการจัดการที่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมสำหรับการกระทำผิดในการ แบ่งแยกดินแดน การโค่นล้มรัฐบาล และการแทรกแซงจากต่างประเทศ(ก็เพราะสหรัฐทำแบบนี้ใงล่ะ)
2.ให้นักลงทุนชาวจีนว่านซื้อหุ้นของบริษัทในฮ่องกงในปริมาณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนโดยการเข้าซื้อเป็นจำนวนกว่า 3.53 หมื่นล้านหุ้นภายในปี 2020 ได้แก่
2.1บริษัทIndustrial & Commercial Bank of China Ltd.
2.2 Ping An Healthcare and Technology Co. บริษัททางด้านเทคโนโลยีสุขภาพ(บริษัทนี้ CP ลงทุนอยู่ 8.97% ในปี 2019 มีมูลค่าประมาณ59,650ล้านบาทครับ)
2.3 China Construction Bank Corp. ธนาคารยักษ์ใหญ่ของจีน
ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นการซื้อหุ้นในบริษัทจีนที่ไปลงทุนอยู่ในฮ่องกงอยู่ก่อนแล้ว แต่ซื้อในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สหรัฐจึงมีแผนตอบโต้ด้วยการ ถอนสิทธิพิเศษทางการค้ากับฮ่องกงซึ่งจะทำให้สหรัฐและฮ่องกงต้องเจ็บทั้งคู่ โดยข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุว่า ในปี 2561 การค้าสินค้าและบริการของสหรัฐกับฮ่องกงมีมูลค่ารวมกว่า 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสหรัฐส่งออกไปฮ่องกงรวม 5.01 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ฮ่องกงส่งออกไปสหรัฐ 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งหากสหรัฐใช้แผนการนี้ ก็จะเป็นการโจมตีฮ่องกงโดยตรง....
นี่เป็นอีก 1 เคสที่ต้องดูกันนานๆครับ เพราะสหรัฐก็มีผลประโยชน์กับฮ่องกงมาก ส่วนจันเองก็หวงฮ่องกงมากเพราะเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในอนาคต Near us มองว่านี่จะเป็นเกมยาวที่ดูน่าสนใจที่สุดครับ
2.การพัฒนา 5G เพื่อแซงสหรัฐในอีก 6 ปีข้างหน้า
Alibaba และ Tencent ผู้ที่มีBig Data Customer รายใหญ่ที่สุดของจีนไม่ว่าจะเป็นData Service, E-Commerce,Digital,Fianceและ Advertising เพื่อให้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายกัน และได้มอบหมายให้ Huawei เป็นผู้พัฒนาระบบ 5G โดยการพัฒนาแบบเต็มสูบ (ซึ่ง Alibaba กับ Tencent มีคู่แข่งก็คือ BIG 5 ของสหรัฐนั่นเอง)
ขอบคุณรูปภาพจาก Market Think ด้วยครับ
ซึ่งสิ่งนี้จีนมองว่าจะเป็นการใช้ Digital Disruption เพื่อที่จะทำสงคราม Digital กับสหรัฐอย่างชัดเจน และเป็นการแบ่งมหาอำนาจ Digital ของโลกและนี่ก็คือเกมระยะยาวของจีนครับ
3. Corona Crisis ของสหรัฐอเมริกา
โดยมีเหตุผลที่เกิดอยู่ 2 อย่างด้วยกัน ได้แก่
3.1 ชาวอเมริกันที่ติดเชื้อ Covid-19
ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2020 มีชาวอเมริกันที่ติดเชื้อ Covid-19 ยอดActive Cast ทั้งสิ้น 1,166,406 คน โดย Trump ได้ออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่มีการLockdown อีกแม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระบาดรอบ 2 ซึ่งก็หมายความว่า หากสหรัฐยังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนและแจกจ่ายได้อย่างรวดเร็วพอ ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีจนกว่าจะเกิด Herd Immunityเองโดยธรรมชาติ(เป็นการที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโรคเอง)
3.2 การเกิดภาวะ Inflation ครั้งใหญ่ของอเมริกา
FED ได้ทำการผลิตเงิน $ ตั้งแต่เริ่มมีมาตราการ Lock down และ FED ได้ใช้นโยบาย QE(การซื้อพันธบัตรรัฐบาลแบบ Unlimited)ไปกว่า 7 ล้านล้าน$ แล้ว บวกกับ ณ ตอนนี้จีนได้นำเงินหยวนเข้าเป็นเงินกู้ยืมระหว่างประเทศ(IMF)
โดยเมื่อวันที่เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กล่าวว่า กรณีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศให้สกุลเงินหยวนเข้าอยู่ในตะกร้าเงิน โดยจะมีผลตั้งแต่ ต.ค.59 ว่า เป็นสิ่งที่ตลาดได้คาดการณ์มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าปริมาณการใช้เงินหยวนในธุรกรรมทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเริ่มมีเพิ่มมากขึ้น
พูดง่ายๆก็คือ หากประเทศเราจะค้าขายกับประเทศไหน ก็ใช้เงินหยวนแลกเปลี่ยนซื้อขายกันระหว่างประเทศได้สบายๆ ไม่ต้องง้อเงินดอลลาร์แล้วนั่นเอง และเงินดอลลาร์กว่า 7ล้านล้านที่ FED ผลิตออกมา จะเอาไปทำอะไรล่ะนอกจากกระดาษเช็ด....
สรุปในมุมมองของNear us ก็คือ
1.วิกฤติของอเมริกานี้แสดงให้เห็นเลยว่า เศรษฐกิจและการเงินกำลังมีการ"เปลี่ยนมือ"ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียวโดยตัวละครที่"เปลี่ยนมือ"การเงินมียู่ 3 คน
1.1นักลงทุนทั่วไป(เมื่อเศรษฐกิจสั่นคลอนจาก Covid-19 นักลงทุนจะเริ่มกลัวว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปจะมีผลกระทบแบบ"ลูกโซ่เศรษฐกิจ"และถอนทุนในสินทรัพย์นั้นในที่สุด
1.2ธนาคารกลางของ FED และ ECB(เมื่อนักลงทุนทำแบบนี้ ธนาคารกลางก็ต้อง"เอาเงินเข้าไปแทนที่"ในสินทรัพย์ที่นักลงทุน(1)ถอนทุนเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้มี"ตัวเลขที่ดี"
1.3บริษัทยักษ์ใหญ่(เป็นผู้ช่วยที่"เอาเงินเข้าไปแทนที่"สินทรัพย์แทนนักลงทุน(1)ในยามวิกฤติเศรษฐกิจแล้วรอให้สินทรัพย์มีมูลค่าขึ้นหลัง Covid-19เพื่อทำกำไรในตอนท้าย
1.4 เมื่อเศรษฐกิจดีกลับมาอีกครั้ง เงินของ(1)ก็จะหมุนกลับมาอีกทีและ(3)จะได้ประโยชน์จาก"ความเชื่อที่กลับมา"
2. จับตาดูฮ่องกงให้ดีๆ นี่อาจเป็นตัวแปรสำคัญของจีนและสหรัฐ
3. จับตาดูเงินหยวนของจีนให้ดีๆ เพราะมันจะ "ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วในวันที่เงินดอลลาร์ไม่มีค่าอีกต่อไป"
ข้อที่ 4 ที่สำคัญที่สุดก็คือ จงจับตาดู Hyper disruption ของ 2 มหาอำนาจให้ดีๆ เพราะนี่จะเป็นศึกชี้ฃะตาว่า การปกครองแบบคอมมิวนิสต์กับการปกครองระบบประชาธิปไตย เผ่าพันธุ์และมนุษยชาติไหนจะได้ผลประโยชน์สูงสุด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา