1 มิ.ย. 2020 เวลา 05:05 • การศึกษา
พระสูตรเรื่อง : "พระโสดาบันมีญาณหยั่งรู้เหตุให้เกิดขึ้น และเหตุให้ดับไป ของโลก"
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๙๒/๑๗๘.
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมไม่มีความสงสัยอย่างนี้ ว่า :-
“เพราะอะไรมี อะไรจึงมีหนอ; เพราะอะไรเกิดขึ้น อะไรจึงเกิดขึ้น : เพราะอะไรมี นามรูปจึงมี; เพราะอะไรมี สฬายตนะจึงมี; เพราะอะไรมี ผัสสะจึงมี; เพราะอะไรมี เวทนาจึงมี; เพราะอะไรมี ตัณหาจึงมี; เพราะอะไรมี อุปาทานจึงมี; เพราะอะไรมี ภพจึงมี; เพราะอะไรมี ชาติจึงมี; เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ว่า :- “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;เพราะวิญญาณมี นามรูปจึงมี; เพราะนามรูปมี สฬายตนะจึงมี; เพราะสฬายตนะมี ผัสสะจึงมี; เพราะผัสสะมี เวทนาจึงมี; เพราะเวทนามี ตัณหาจึงมี; เพราะตัณหามี อุปาทานจึงมี; เพราะอุปาทานมี ภพจึงมี; เพราะภพมี ชาติจึงมี; เพราะชาติมี ชรามรณะจึงมี” ดังนี้.
อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ ว่า “โลกนี้ย่อมเกิดขึ้น ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมไม่มีความสงสัยอย่างนี้ ว่า :- “เพราะอะไรไม่มี อะไรจึงไม่มีหนอ; เพราะอะไรดับ อะไรจึงดับ; เพราะอะไรไม่มี นามรูปจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี ตัณหาจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี อุปาทานจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี ภพจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ว่า :- “เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี; เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ; เพราะวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี; เพราะนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี; เพราะสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี; เพราะผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี; เพราะเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี; เพราะตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี; เพราะอุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี; เพราะภพไม่มี ชาติจึงไม่มี; เพราะชาติไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี” ดังนี้.
อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ ว่า “โลกนี้ ย่อมดับด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก ย่อมมารู้ประจักษ์ถึง เหตุเกิดและความดับแห่งโลก ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ในกาลใด; ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนี้ ว่า :- “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ” ดังนี้บ้าง; “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ” ดังนี้บ้าง; “ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว” ดังนี้บ้าง; “ผู้ได้เห็นอยู่ซึ่งพระสัทธรรมนี้” ดังนี้บ้าง; “ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง;“ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง; “ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว” ดังนี้บ้าง; “ผู้ประเสริฐมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส” ดังนี้บ้าง;“ยืนอยู่จรดประตูแห่งอมตะ” ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.
อ้างอิงจาก : พุทธวจนหมวดธรรม เล่มที่ ๒
พุทธวจน คู่มือโสดาบัน
หน้าที่ ๓๓ - ๓๗
พุทธวจน (ธรรมะจากพระโอษฐ์)
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://watnapp.com
ศึกษาดูพระสูตรเพิ่มเติม : https://etipitaka.com/search/
ฟังเสียงธรรมะพระสูตรเพิ่มเติม : https://m.soundcloud.com/search?q=พุทธวจน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา