1 มิ.ย. 2020 เวลา 14:29 • ประวัติศาสตร์
ตำนานดาบที่ฝังอยู่ในหิน
ใครๆต่างก็รู้จักตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ ที่พระองค์ได้ดึงดาบวิเศษ "เอ็กซ์คาลเบอร์ (Excalibur)" ออกมาจากก้อนหิน เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ว่าพระองค์คู่ควรกับบัลลังก์มากเพียงใด
แม้ตำนานกษัตริย์อาเธอร์จะถูกเล่าขานมาจากเกาะอังกฤษ แต่ความจริงแล้วต้นกำเนิดดาบฝังในหินมาจากประเทศอิตาลีต่างหาก
Photo credit: lkonya / Shutterstock.com
ณ อารามเล็กๆที่ La Rotonda di Montesiepi จังหวัดซีเอนา (Siena) แคว้นตอสคาน่า (Tuscany) ประเทศอิตาลี มีดาบเล่มหนึ่งฝังแน่นอยู่กับก้อนหิน ดาบเล่มนี้มีส่วนคมโผล่ขึ้นเหนือก้อนหินเพียงไม่กี่นิ้ว
แล้วมันไปติดอยู่ในก้อนหินได้อย่างไร?
:: อัศวินกับยมทูต ::
Galgano Guidotti วาดโดย Giovanni d'Ambrogio ในศตวรรษที่ 15
ตำนานมีอยู่ว่า ในราวศตวรรษที่ 12 มีกระทาชายนายอัศวินนาม Galgano Guidotti ผู้ชอบตีรันฟันแทงและสังหารผู้คนเป็นว่าเล่น โดยไม่คิดเกรงกลัวต่อบาปกรรมเลยแม้แต่น้อย
อยู่มาวันหนึ่ง Guidotti ฝันว่าเห็นยมทูตจะมาเอาชีวิต เพราะเขาได้ก่อกรรมทำชั่วกับผู้อื่นไว้มาก อัศวินนายนี้ยังไม่อยากตาย จึงร้องขอความเมตตาจากยมทูต ผู้ซึ่งแนะนำให้เขาสาบานตนว่าจะรับใช้พระเจ้าตลอดช่วงอายุขัยที่เหลือ
Guidotti จึงปักดาบของตนเอาไว้ในหินก้อนหนึ่ง เพื่อแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่าเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือใช้อาวุธสังหารผู้อื่นอีกต่อไป
:: Galgano Guidotti ::
Galgano Guidotti เกิดในปี 1148 ในชุมชนเล็กๆภายในเมือง Chiusdino จังหวัด Siena
ประวัติบันทึกไว้ว่า Guidotti เป็นนักดาบฝีมือดี จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน ในตอนแรกเขาก็ดูเป็นคนเก่งกล้ามีความสามารถ แต่นานวันไป Guidotti เริ่มหลงไหลมัวเมากับการฆ่าฟัน และเย่อหยิ่งในฝีมือดาบของตนเป็นนักหนา ชื่อเสียงของ Guidotti ทำให้ศัตรูและอันธพาลหวั่นเกรงไปทั่วแคว้น
จนกระทั่งคืนหนึ่ง Guidotti ฝันเห็นยมทูตมาว่ากล่าวตักเตือนเรื่องที่เขาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา ไร้เกียรติศักดิ์ศรีแห่งอัศวิน
Guidotti รู้สึกหวาดกลัวว่าตนอาจจะต้องลงนรก จึงร้องขอวิธีไถ่บาป ซึ่งยมทูตแนะนำว่าเขาควรให้สัตย์สาบาน ว่าจะรับใช้พระเจ้าตลอดไป ในฝัน ยมทูตยังพา Guidotti ไปบนเนินเขาเพื่อพบกับอัครสาวกทั้ง 12 และพระผู้สร้างอีกด้วย
เช้าวันถัดมาขณะที่ Guidotti ปีนขึ้นหลังม้าเพื่อเตร็ดเตร่ไปทั่วเหมือนทุกวัน ม้าศึกของเขาเกิดพยศ ไม่เชื่อฟังคำสั่ง พา Guidotti วิ่งเตลิดออกนอกเส้นทางไปยังเนินเขาเดียวกันกับในฝัน
Guidotti เชื่อว่านี่เป็นสัญญาณย้ำเตือนของยมทูตให้เขาตระหนักว่า ความฝันเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ Guidotti จึงตัดสินใจละทางโลก สละหน้าที่ของอัศวิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งศาสนาอย่างเต็มตัว
นอกจากนั้น ยังมีเสียงแห่งสวรรค์กระซิบบอก Guidotti ให้ทิ้งข้าวของเครื่องใช้อู้ฟู่ต่างๆ โดยเฉพาะดาบคู่กายที่เปื้อนเลือดผู้คนมานักต่อนัก เสียงนั้นสั่งให้ Guidotti ทิ่มดาบลงไปในก้อนหินซะ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ดึงออกมาใช้อีก
ในตอนแรก Guidotti ก็ไม่เชื่อว่าดาบจะปักลงในหินได้อย่างไร แต่เขาก็ลองๆดู เพื่อให้ยมทูตเห็นว่าเขาละทิ้งทางโลกแล้วจริงๆ ซึ่งน่าอัศจรรย์มากที่ดาบของ Guidotti สามารถแทงทะลุเนื้อหิน และปักคาอยู่เช่นนั้น ไม่อาจดึงออกได้อีก
หลังจากนั้น Guidotti ได้สร้างอาศรมเล็กๆบนเนินเขาที่ปรากฏในฝัน และใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่าย สวดมนต์บำเพ็ญเพียรภาวนาให้แก่พระผู้เป็นเจ้า และผู้คนที่ต้องสิ้นชีวิตเพราะดาบของเขา จนกระทั่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพวกพระ และชาวบ้านทั่วทั้ง Montesiepi
สำหรับตำนานการปักดาบ บางแห่งเล่าต่างออกไป บ้างก็ว่า อัศวิน Galgano Guidotti ต้องการจะสร้างไม้กางเขนบนเนินเขา แต่หาไม้ไม่ได้เลย จึงตัดสินใจเสียบดาบของตัวเองลงบนพื้นหินเพื่อใช้ต่างไม้กางเขน เวลาต่อมา ดาบได้หลอมกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นหิน และไม่มีใครดึงมันออกได้เลยจนถึงปัจจุบัน
:: La Cappella di San Galgano a Montesiepi ::
Photo credit: lkonya / Shutterstock.com
(photo: Wiki Commons)
Galgano Guidotti เสียชีวิตในวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1181 (Via wikipedia) ศิริรวมอายุได้เพียง 33 ปี
Guidotti ได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญอย่างเป็นทางการในปี 1184 งานศพของเขาถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีบิชอปและนักพรตขาว (Cistercian abbots) จำนวน 3 รูปเป็นพ่องาน
ปี 1185 คณะนักพรตขาวได้เริ่มลงมือก่อสร้าง " La Cappella di San Galgano a Montesiepi" เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้แก่ Galgano Guidotti บนเนินเขาเหนือกระท่อมและหลุมศพของ Guidotti โดยมีแท่นหินที่ดาบปักติดไว้เป็นใจกลางสำคัญของโบสถ์
:: ดาบที่ปักแน่นบนแผ่นหิน ::
กว่าหลายศตวรรษมาแล้วที่คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่ามันเป็นของปลอม
แต่ Luigi Garlaschelli ศาสตราจารย์ด้านเคมี แห่งมหาวิทยาลัยปาเวีย (The University of Pavia) ยืนยันว่า เนื้อโลหะมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 จริง
"การจะคำนวณอายุดาบเล่มนี้นับว่าเป็นภารกิจที่ยากเหมือนกันครับ แต่ผมพูดได้เลยว่า เนื้อโลหะและสไตล์ของดาบ ดูมีความเป็นไปได้มากว่ามาจากยุคเดียวกับในตำนาน" Garlaschelli กล่าว
ในส่วนของดาบที่โผล่พ้นหินขึ้นมานั้น หัวด้ามดาบมีลักษณะแบน กลม รี คล้ายกับไข่ไก่ โกร่งดาบเป็นแผ่นยาวทำจากเหล็กกล้า ความยาวจากหัวด้ามดาบถึงโกร่งดาบ 144 มิลลิเมตร โกร่งดาบยาว 172 มิลลิเมตร ตัวดาบกว้าง 43 มิลลิเมตร
การวิเคราะห์แผ่นหินด้วย "เครื่องหยั่งความลึกด้วยสัญาณเรดาร์ (Ground Penetrating Radar)" พบว่า ใต้แผ่นหินที่ปักดาบมีโพรงขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร ซึ่งนักวิจัยคาดว่าแต่เดิมน่าจะเป็นที่ฝังศพของ Galgano Guidotti
:: กษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม ::
มีการถกเถียงอย่างดุเดือดว่าเรื่องราวของ Galgano Guidotti คือแรงบันดาลใจของตำนานอันโด่งดังในยุคกลาง "กษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม"
"ความจริงคือ ในเวลานั้น เรื่องราวสุดอัศจรรย์พันลึกของ Galgano Guidotti ได้แพร่สะพัดไปทั่วยุโรป สิ่งที่ควรตั้งข้อสังเกตุคือ ตำนานกษัตริย์อาเธอร์ผู้ดึงดาบวิเศษ "Excalibur" ออกจากก้อนหินนั้น เกิดทีหลังตำนานของนักบุญ Galgano Guidotti หลายสิบปีทีเดียว" Björn Hellqvist นักค้นคว้าชาวสวีดิช ผู้สนใจในเรื่องราวของดาบในตำนานยุโรปกล่าว
"แม้รายละเอียดปลีกย่อยตำนานกษัตริย์อาเธอร์จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่เรื่องที่อาเธอร์ต้องดึงดาบออกจากก้อนหิน (ซึ่งเป็นใจความสำคัญที่อาเธอร์ใช้พิสูจน์ชาติกำเนิดของตัวเอง) ก็อาจได้รับอิทธิพลมาจากตำนานของอัศวินชาวอิตาเลี่ยนคนนี้ ก็เป็นได้"
:: เรื่องเล่าสุดประหลาด ::
(photo: jfkingsadventures)
1) ในช่วงที่ Galgano Guidotti ถือศีลใช้ชีวิตอย่างสมถะบนเนินเขา Montesiepi นอกจากจะได้รับความศรัทธาจากชาวบ้านแล้ว พวกสัตว์ป่ายังเกิดความเคารพยำเกรง Guidotti อีกด้วย
มีวันหนึ่ง ซาตานอยากจะทดสอบความจงรักภักดีของ Guidotti ที่มีต่อพระเจ้า จึงได้ส่งทีมลอบฆ่าปลอมตัวเป็นพระ เมื่อสบโอกาสจึงพยายามสังหาร Guidotti แต่มีหมาป่าฝูงหนึ่งที่สนิทสนมคุ้นเคยกับอดีตอัศวินได้เข้ามาปกป้อง พวกมันรุมฉีกทึ้งทีมสังหาร แทะกินกระดูกจนเอี่ยมอ่อง
ปัจจุบัน เศษกระดูกท่อนแขนของทีมสังหารยังคงถูกเก็บไว้ภายในโบสถ์ เล่ากันว่ายังคงมีรอยเขี้ยวหมาป่าติดบนกระดูกจนถึงทุกวันนี้
2) ชาวบ้านเชื่อกันว่า ใครก็ตามที่พยายามดึงดาบออกมาจากแผ่นหิน เป็นต้องสูญเสียแขนข้างนั้นในภายหลัง ราวกับมีคำสาปผูกติดไว้
คณะวิจัยของ Luigi Garlaschelli พบมัมมี่ท่อนแขนที่คอนเฟิร์มด้วยการวัดอายุคาร์บอน ว่ามีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 จริง แต่อาจเป็นไปได้ว่า ผู้ที่ลองดีกล้าดึงดาบออก อาจถูกกลุ่มผู้เลื่อมใสศรัทธาลากไปตัดแขนเสียมากกว่า
ภาชนะที่เชื่อว่าใช้เก็บรักษากะโหลกศีรษะของ Galgano
3) ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ได้ โครงกระดูกส่วนใหญ่ของ Galgano Guidotti ได้หายสาบสูญไปจากหลุม ตำนานเล่าว่า ศีรษะของ Guidotti ยังคงมีเส้นผมสีน้ำตาลทองงอกยาวอยู่ชั่วขณะหนึ่งแม้เขาจะสิ้นชีวิตไปแล้ว ปัจจุบันกะโหลกศรีษะของเขาถูกเก็บรักษาไว้ในโบสถ์เช่นกัน
ส่วนหนึ่งของบทความจาก:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา