3 มิ.ย. 2020 เวลา 11:17 • ประวัติศาสตร์
“กระทรวงโฆษณาการ” สื่อสารมวลชนที่ทำให้นาซีกลายเป็นเยอรมนีและฮิตเลอร์กลายเป็นพระเจ้า
“โฆษณาชวนเชื่อ” เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ชนชั้นนำใช้ในการปกครองคนหมู่มากมาทุกยุคทุกสมัย
แต่ไม่มีครั้งใดในประวัติศาสตร์ ที่การโฆษณาชวนเชื่อจะสร้างความยิ่งใหญ่และหายนะได้เท่าครั้งนี้
ทุกท่านครับ ผมกำลังพูดถึง “กระทรวงโฆษณาการ” ของเยอรมนี
และผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับหน่วยงานนี้...
หน่วยงานที่เป็นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของนาซี...
หน่วยงานที่สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามย่อยยับ...
หน่วยงานที่สร้างความเกลียดชังยิวและคอมมิวนิสต์...
หน่วยงานที่เชิดชูชาวอารยันให้สูงส่งที่สุด...
หน่วยงานที่ทำให้ผู้คนเคารพและเชื่อมั่นพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเหมือนดั่งประเทศ...
หน่วยงานที่สร้างให้ผู้คนศรัทธาและบูชาบุคคลคนหนึ่งเหมือนดั่งพระเจ้า...
1
สัญลักษณ์สวัสดิกะ...
นาซีเยอรมัน...
ไฮล์ ฮิตเลอร์...
อาณาจักรไรซ์ที่ 3...
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทุกท่านจะได้รู้ว่า “โฆษณาชวนเชื่อ” เป็นเครื่องมือที่ร้ายกาจขนาดไหน
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีเป็นประเทศผู้แพ้สงครามที่บอบช้ำมากที่สุด ทั้งทางด้านเศรษฐกิจที่พังทลายลงจากสงคราม ซ้ำยังโดนขูดรีดรังแกอย่างไม่เป็นธรรมจากสนธิสัญญาแวร์ซาย ทางด้านการเมืองก็มีความปั่นป่วนไม่แพ้กันครับ คือ ประชาชนหมดความเชื่อใจในตัวผู้นำ คือ ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 ที่ถึงขนาดโดนประชาชนกดดันจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนลี้ภัยไปต่างประเทศ
คราวนี้ล่ะครับ ทำให้เยอรมันได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ กลายมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ ที่ใช้รัฐธรรมนูญไวมาร์ เราจึงเรียกช่วงนี้ว่า สาธารณรัฐไวมาร์นั่นเองครับ
1
แต่ระบอบการปกครองใหม่นี้ก็ไม่มั่นคงซักเท่าไหร่ครับ เพราะรัฐบาลจากระบอบนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้อง การว่างงาน ปัญหาสังคมของชาวเยอรมันได้เลย แล้วในที่สุดประชาชนก็พากันก่อจราจลแล้วโทษรัฐบาลไวมาร์ ว่าทำให้ชีวิตของพวกเขาระยำตำบอนแบบนี้...
เมื่อรัฐบาลอ่อนหัด จึงได้เกิดพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลขึ้นมาครับ โดยตัวละครเด่นๆเลยมี 2 พรรค คือ พรรคคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการเปลี่ยนเยอรมันให้กลายเป็นเหมือนโซเวียต ส่วนอีกพรรคหนึ่ง คือ พรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน หรืออีกชื่อที่เรารู้จักกันดีคือ พรรคนาซีนั่นเองครับ โดยมีผู้นำพรรค คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ชูเรื่องชาตินิยมและความพิเศษของชนชาติอารยัน
พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคนาซีต่างต่อสู้เชือดเฉือนกันเพื่อชิงที่นั่งในสภากันอย่างดุเดือดครับ ผลัดกันลุกผลัดกันล้ม แล้วในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นใน ค.ศ.1933 คือ การเกิดเพลิงไหม้ที่อาคารทำการรัฐบาลเยอรมนี
พรรคนาซีจึงใช้เหตุผลและหลักฐานโจมตีว่าเป็นฝีมือของพรรคคอมมิวนิสต์ในการก่อความวุ่นวายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล จนสามารถดิสเครดิตพรรคคอมมิวนิสต์ได้อย่างหมดจด และในที่สุดพรรคนาซีก็ได้รับเสียงข้างมากในสภาและฮิตเลอร์ได้ถูกแต่งตั้งจากประธานาธิบดีฟอน ฮินเดนเบิร์ก ให้เป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี
เหตุการณ์เพลิงไหม้นั้น มีการขบคิดกันครับว่า เป็นฝีมือของพรรคนาซีเองต่างหาก ที่จัดฉากเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งจริงแท้แค่ไหนผมก็ไม่อาจรู้ได้ครับ...
หลังจากที่ฮิตเลอร์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 1 ปี ประธานาธิบดีฟอน ฮิลเดนเบิร์กถึงแก่อสัญกรรม คราวนี้แหละครับเข้าทางฮิตเลอร์เลยทีเดียว เขาจึงทำการออกกฎหมายเปลี่ยนระบอบการปกครองของประเทศ กลายเป็นเผด็จการฟาสซิสต์เต็มรูปแบบ และตั้งตัวเองเป็น ฟือห์เรอร์ (Fuehrer) หรือท่านผู้นำในที่สุด
และนี่ถือเป็นการสิ้นสุดสาธารณรัฐไวมาร์อย่างสิ้นเชิง และเยอรมนีได้เข้าสู่ยุคของนาซีอย่างเต็มรูปแบบใน ค.ศ.1934...
ภาพจาก Wikipedia (เยอรมนีในยุคนาซี)
เมื่อนาซีขึ้นมาเป็นรัฐบาลเผด็จการของเยอรมันแล้ว ฮิตเลอร์ได้คิดแล้วครับว่าการปกครองแบบเผด็จการไม่ใช่เรื่องง่าย และการที่จะทำให้ประชาชนจำนวนมหาศาลในประเทศยอมรับการปกครองของคนกลุ่มเดียว ต้องอาศัยโฆษณาชวนเชื่อเข้ามาช่วย ดังนั้นฮิตเลอร์จึงได้ตั้ง “กระทรวงโฆษณาการ” ขึ้นมาเพื่อจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ
เมื่อพูดถึงเรื่องกระทรวงโฆษณาการแล้ว ผมคงต้องเล่าถึงบุคคลอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญสำหรับนาซีมากๆ และเป็นผู้นำของกระทรวงโฆษณาการ คนๆนั้น คือ ดร.โยเซฟ เกิบเบิลส์ครับ
1
โดยตัวของดร.เกิบเบิลส์เนี่ย เกิดในตระกูลชนชั้นกลางในแคว้นไรน์ และจบปริญญาเอก สาขาปรัชญาจาก มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก แล้วเมื่อเรียนจบแล้ว ดร.ได้เข้าไปทำงานเป็นเลขานุการส่วนตัวของเกรเกอร์ สตราช ที่เป็นผู้นำพรรคนาซีในตอนเหนือของเยอรมนีครับ โดยตัวของดร. จะเป็นผู้ดูแลงานหนังสือพิมพ์และการกล่าวสุนทรพจน์เพื่อหาเสียงให้พรรคนาซี
แล้วในที่สุด ดร.เกิบเบิลส์ก็ได้มีโอกาสพบกับฮิตเลอร์ แล้วฮิตเลอร์ถูกใจความสามารถในการพูดของดร. มาก อีกทั้งทางดร.เกิบเบิลส์ก็ประทับใจในตัวฮิตเลอร์เช่นกัน จนในที่สุดฮิตเลอร์จึงได้ชักชวนให้ดร.มาร่วมงานกับตัวเอง โดยมอบตำแหน่งใหญ่ให้เลยทีเดียวล่ะครับ คือ ตำแหน่งผู้นำพรรคนาซีในเขตเบอร์ลิน
1
จนเมื่อเข้าสู่ยุคการปกครองของนาซีเต็มรูปแบบ ฮิตเลอร์จึงได้ก่อตั้งกระทรวงโฆษณาการขึ้นมา โดยยกให้ตัว ดร.เกิบเบิลส์เป็นรัฐมนตรี
1
ดร.โยเซฟ เกิบเบิลส์นี่แหละครับ ถือเป็นตัวละครสำคัญที่เป็นมันสมองให้กับกระทรวงโฆษณาการ ในการสร้างโฆษณาชวนเชื่อให้พรรคและภาพลักษณ์ของฮิตเลอร์เป็นดั่งพระเจ้าในสายตาคนเยอรมัน...
ภาพจาก Goodreads (ดร.โยเซฟ เกิบเบิลส์)
การทำงานหลักๆของกระทรวงโฆษณาการ คือ การควบคุมความคิดของประชาชนให้เป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลต้องการและปลูกฝังอุดมการณ์ของพรรคให้กับประชาชนครับ โดยเครื่องมือที่กระทรวงใช้ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ วิทยุ วรรณกรรม งานศิลปะ ฯลฯ เรียกได้ว่าทุกอย่างที่ประชาชนสามารถรับสารได้ ถือว่าเป็นเครื่องมือที่กระทรวงโฆษณาการใช้หมดเลยล่ะครับ
1
เมื่อดร.เกิบเบิลส์เข้าเป็นรัฐมนตรี เริ่มแรกเลยคือ การรวบรวมสื่อมวลชนทั้งหมดในเยอรมันให้มาอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์แห่งเบอร์ลิน หนังสือพิมพ์แห่งแฟรงเฟิร์ตที่ประชาชนนิยมอ่านกัน แล้วยังเข้าไปควบคุมบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำอย่างอูฟาและโทบิสของเยอรมัน
1
แล้วยังตั้งหน่วยเอสดี ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองในการสืบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล เพื่อที่จะนำข้อมูลนั้นมาวางแผนและปรับใช้การโฆษณาชวนเชื่อของตัวเอง เช่น หากมีกระแสประชาชนต่อต้านรัฐบาล ดร.จะได้จัดการหาแผนการโฆษณาให้กระแสต่อต้านนั้นเบาลง เรียกได้ว่าอุดจุดบอดทุกจุดไม่ให้มีความคิดเห็นแย่ๆต่อรัฐบาลเลยก็ว่าได้...
แต่ช่วงแรกในการทำงานของกระทรวงโฆษณาการเรียกได้ว่า ไม่ค่อยราบรื่นและประสบผลสำเร็จซักเท่าไหร่ เพราะวิธีที่ใช้คือ วิธีพื้นๆ คือการกระจายถ่ายทอดสุนทรพจน์ของฮิตเลอร์ไปตามวิทยุ ซึ่งสุนทรพจน์ที่ว่ามีถึง 50 ตอน! บอกได้เลยว่าประชาชนเบื่อตายพอดีครับที่ต้องมาฟังท่านผู้นำพูดเรื่อยเปื่อยทางวิทยุอย่างยาวเหยียดกว่า 50 ตอน...
1
ดังนั้น ดร.เกิบเบิลส์จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ คือการจัดหานักพูดกว่า 6,000 คน กระจายไปทั่วประเทศ ให้ไปพูดเผยแพร่ในที่สาธารณะโน้มน้าวใจผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอุดมการณ์ของพรรค ซึ่งนักพูดแต่ละคนนั้นตัวของดร.และท่านผู้นำฮิตเลอร์เป็นคนคัดมาเองกับมือเลยล่ะครับ โดยทั้งสองคนนั้นเห็นตรงกันว่าการพูดในที่สาธารณะเป็นวิธีที่สามารถเผยแพร่อุดมการณ์ได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการเขียนและการฟังผ่านวิทยุ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ทั้งสองคนคิดครับ มีคนเยอรมันจำนวนมากเลยทีเดียวที่เริ่มคล้อยตามอุดมการณ์ของนาซี...
5
ภาพจาก Military.com (ฮิตเลอร์และดร.เกิบเบิลส์)
จุดประสงค์หลักๆของกระทรวงโฆษณาการมี 2 อย่างครับ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพรรคนาซีกับประชาชน และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างฮิตเลอร์กับประชาชน คีย์เวิร์ดหลักๆ คือ พรรคนาซี และ ฮิตเลอร์นี่แหละครับ ถึงกับมีการสร้างคำขวัญว่า “หนึ่งประชาชน หนึ่งอาณาจักร และหนึ่งผู้นำ”
ซึ่งเริ่มโดยการเผยแพร่แนวคิดผ่านทางหนังสือ และหนังสือที่สำคัญเลย คือ Mein Kampf หรือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” ซึ่งเป็นหนังสือที่ฮิตเลอร์ได้เขียนขึ้นเอง ตัวของดร.จึงให้กระทรวงโฆษณาการทำการเผยแพร่หนังสือนี้ไปสู่สาธารณชนครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้หน่วยงานต่างๆแจกพนักงานของตัวเอง หรือใช้เป็นหนังสือแบบเรียนของเด็กนักเรียนเยอรมัน เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของท่านผู้นำและพรรคนาซี
3
การโฆษณาชวนเชื่ออีกด้านของกระทรวงโฆษณาการก็คือ ภาพยนตร์ โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง กลุ่มเยาวชนของฮิตเลอร์ ซึ่งตัวเอกจะเป็นวัยรุ่นเยอรมันที่ต่อสู้กับตัวร้ายคือคอมมิวนิสต์และยิว โดยเนื้อหาของภาพยนตร์จะเน้นหนักไปที่ความชั่วร้ายของคอมมิวนิสต์และยิว แสดงให้เห็นว่าคนพวกนี้เป็นเชื้อร้ายที่ต้องถูกกำจัดและทำลายให้สิ้นซากเท่านั้น และตอนจบ วัยรุ่นเยอรมันคนนั้นก็ตายในการต่อสู้ ซึ่งนี่ถือเป็นการปลูกฝังแนวคิดเรื่อง “การตายเพื่อชาติ” และ “การแบ่งแยกชนชาติ” ได้อย่างแนบเนียนเชียวล่ะครับ
1
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เล่าไม่ได้เลยก็คือ การใช้สัญลักษณ์สวัสดิกะแทนทุกสิ่งทุกอย่างของพรรคและประเทศ โดยมีการอธิบายถึงเรื่องธงและสัญลักษณ์ว่า พื้นธงสีแดงเปรียบเสมือนเลือดของสมาชิกนาซีทุกคน มีสีขาวอยู่ตรงกลางที่หมายถึงความเข้มแข็งและความบริสุทธิ์ และภายในวงกลมมีเครื่องหมายสวัสดิกะอยู่ตรงกลางที่เป็นเครื่องหมายเตือนใจให้ชาวเยอรมันยึดมั่นในความสูงส่งของชนชาติอารยัน ที่มีหน้าที่ต่อสู้กวาดล้างชาวยิวและคอมมิวนิสต์ออกไปจากแผ่นดินเยอรมัน
1
ซึ่งธงและสัญลักษณ์ของนาซีนี่แหละครับ มีบทบาทในการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมาก ทั้งใช้ในพิธีการสำคัญต่างๆ ใช้ในการประดับอาคารบ้านเรือน ใช้ในกองทหาร เรียกได้ว่า เปรียบเสมือนธงชาติเยอรมันเลยทีเดียว และนี่แหละครับ เป็นการสร้างแนวคิดให้กับประชาชนว่า “เยอรมนีคือนาซีและนาซีคือเยอรมนี” ทำให้พรรคนาซีบัดนี้ กลายเป็นหนึ่งเดียวกับประเทศเยอรมนีอย่างแยกไม่ออกเลยล่ะครับ จากการใช้สัญลักษณ์ในการโฆษณาชวนเชื่อ...
และสุดท้ายคือการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของ “อาณาจักรไรซ์ที่ 3” ซึ่งหมายถึงอาณาจักรที่นาซีปกครองอยู่นี่แหละครับ หลายท่านอาจสงสัยว่าแล้วไรซ์ที่ 1 และไรซ์ที่ 2 ล่ะ มีรึเปล่า? ถ้ามี แล้วมันคือช่วงไหน?
3
แน่นอนครับว่ามี! โดยไรซ์ที่ 1 คือ ช่วงจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และไรซ์ที่ 2 คือช่วงจักรวรรดิเยอรมนี ซึ่งแนวคิดเรื่องอาณาจักรไรซ์นั้นเป็นสิ่งที่กระทรวงโฆษณาการนั้นตั้งขึ้นมาเองครับ(นักประวัติศาสตร์ไม่ได้มีการแบ่งเยอรมันเป็นไรซ์ที่ 1 2 3) โดยตั้งขึ้นมาเพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่าในยุคที่นาซีปกครอง คือ อาณาจักรไรซ์ที่ 3 ซึ่งเป็นยุคที่เยอรมนีมีอำนาจ แสนยานุภาพ และความยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับไรซ์ที่ 1 และ 2 นั่นเองครับ พูดง่ายๆว่าเป็นการสร้างชาตินิยมและความเชื่อมั่นในนาซีว่าจะนำเยอรมันให้กลับไปยิ่งใหญ่แบบไรซ์ที่ 1 และ 2
1
ภาพจาก Nyafuu Archive (สัญลักษณ์ของนาซี)
ต่อไปคือจุดประสงค์ที่สองของกระทรวงโฆษณาการครับ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างฮิตเลอร์กับประชาชน โดยเน้นเลยว่า จุดประสงค์นี้เป็นจุดประสงค์หลักและสำคัญที่สุดของกระทรวงโฆษณาการเลยทีเดียวล่ะครับ คือ การสร้างภาพลักษณ์ของฮิตเลอร์ให้ดูดี มีความสามารถ และยิ่งใหญ่สำหรับประชาชน
1
ตัวอย่างที่ทุกท่านคงเคยเห็นกันบ่อยๆคือ การทำความเคารพครับ โดยการเคารพแบบฉบับนาซีเนี่ยเป็นการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในเชิงปฏิบัติและเป็นการแสดงถึงอำนาจของฮิตเลอร์ โดยวิธีการ คือ ยกมือขวาข้างเดียวขึ้นสู่ฟ้าในมุมแหลม พร้อมกระแทกส้นเท้าข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “ไฮล์ ฮิตเลอร์” (Hei Hitler) หรือ ฮิตเลอร์จงเจริญนั่นเองครับ
หรือแม้กระทั่งการสร้างโฆษณาชวนเชื่อแบบเบสิคสุดๆ นั่นคือ การประกาศวันสำคัญให้เป็นวันหยุดของชาติ ไม่ว่าจะเป็นวันฉลองการขึ้นเป็นนายกของฮิตเลอร์ วันฉลองการขึ้นเป็นผู้นำของฮิตเลอร์ วันฉลองการก่อตั้งพรรคนาซี วันเกิดของฮิตเลอร์ บลาๆๆ พูดง่ายๆ คือ วันไหนเกี่ยวกับฮิตเลอร์หรือนาซี เตรียมเป็นวันหยุดได้เลยครับ...
ไม่พอเท่านั้น วันสำคัญเหล่านี้ไม่ใช่แค่ให้เป็นวันหยุดธรรมดา แต่รัฐบาลได้มีการจัดกิจกรรมแบบยิ่งใหญ่สุดๆ! โดยกิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในโฆษณาชวนเชื่อด้วยเช่นกันครับ
กิจกรรมส่วนใหญ่นั้นจะจัดขึ้นที่เมืองนูเรมเบิร์ก ซึ่งที่เป็นเมืองนี้มีเหตุผลอยู่ครับ นั่นก็เพราะว่า เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ของเยอรมัน ทั้งยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และบรรยากาศของเมืองแสดงถึงความขลังและความยิ่งใหญ่ โดยก่อนวันงานจะมีการประดับธงของนาซีไปทั่วเมือง เรียกได้ว่า ดร.เกิบเบิลส์เป็นคนที่เก็บทุกรายละเอียดจริงๆครับ...
ภาพจาก Reddit (กิจกรรมวันสำคัญที่เมืองนูเรมเบิร์ก)
และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนอกจากธงของนาซี คือ ตัวของฮิตเลอร์ โดยกระทรวงโฆษณาการจะทำให้ฮิตเลอร์เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมอยู่เสมอ และทุกกิจกรรมใหญ่ๆต้องมีฮิตเลอร์ ถึงขนาดฮิตเลอร์ต้องกล่าวสุนทรพจน์เฉลี่ยถึง 4 ครั้งในหนึ่งวัน! ซึ่งถือว่าโชคดีมากๆครับ ที่การพูดของชายคนนี้นั้นเรียกได้ว่า โคตะระเทพสุดๆ! โดยความสามารถที่โดดเด่นของฮิตเลอร์คือการพูดโน้มน้าวใจคนให้คล้อยตามได้เก่งมากๆ ปัจจัยนี้แหละครับทำให้การโฆษณาชวนเชื่อและการสร้างความเชื่อมั่นในตัวฮิตเลอร์นั้นง่ายขึ้นอย่างมาก แล้วกระทรวงโฆษณาการได้ปลูกฝังให้เยาวชนเคารพรักในตัวฮิตเลอร์ ถึงขนาดชูฮิตเลอร์ให้เป็นเหมือนดั่งพระเยซูที่มาปลดปล่อยเยอรมันจากความทุกข์ยากเลยล่ะครับ
1
นอกจากจะสร้างความรักความศรัทธาในตัวฮิตเลอร์แล้ว กระทรวงโฆษณาการยังสร้างให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าฮิตเลอร์เป็นผู้ที่สามารถบริหารประเทศได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถเถียงได้จริงๆครับ เพราะฮิตเลอร์สามารถนำพาเยอรมันให้พ้นจากประเทศที่บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งยังล่มสลายทางเศรษฐกิจ ให้กลับมาเป็นประเทศที่เข้มแข็ง กลายเป็นมหาอำนาจของโลกอีกครั้งภายในเวลาไม่กี่ปี
3
ผลงานเด่นๆคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยการสร้างงานให้ประชาชนครับ โดยแต่เดิมเยอรมนีมีคนว่างงานกว่า 6,000,000 คน เมื่อนาซีขึ้นมา บริหาร สามารถลดจำนวนคนว่างงานเหลือเพียง 500,000 คน! นี่ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่นาซีทำได้จริงๆครับ
1
โดยวิธีแก้ปัญหา คือ การทำโครงการเกี่ยวกับสาธารณูปโภค เช่น สร้างตึก สร้างถนน สร้างคลอง สร้างสะพาน สร้างทางด่วน ฯลฯ ซึ่งได้ประโยชน์ 2 เด้งเลยทีเดียวล่ะครับ ทั้งคนมีงานทำและบ้านเมืองเจริญขึ้นผิดหูผิดตา ในเรื่องนี้แทบไม่ต้องใช้โฆษณาชวนเชื่อในการช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ฮิตเลอร์เลย ในเมื่อผลงานนั้นเห็นได้ชัดเจน แค่การโฆษณาชวนเชื่อนั้นช่วยเพิ่มความเชื่อที่ทำให้ฮิตเลอร์เข้าใกล้กับการเป็นพระผู้มาไถ่บาป ไถ่ความทุกข์ให้ชาวเยอรมันมากขึ้นเท่านั้น
1
โดยหากท่านเป็นคนเยอรมันในยุคนั้น แล้วโดนโฆษณากรอกหูทุกวันๆ เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของพรรค ความเก่งกาจและเมตตาของผู้นำ เรียกได้ว่า หายใจเข้าก็เป็นนาซี หายใจออกก็เป็นฮิตเลอร์ เป็นไปได้ยากมากๆเลยล่ะครับที่ท่านจะไม่คิดว่า พรรคนาซีคือชาติเยอรมัน และฮิตเลอร์คือพระเจ้า...
1
ภาพจาก Reddit (ฮิตเลอร์และความยิ่งใหญ่ของนาซี)
ตั้งแต่ ค.ศ.1937 เป็นต้นไป บทบาทของกระทรวงโฆษณาการก็เปลี่ยนไปครับ คือไม่ได้เน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์ของพรรคและผู้นำแล้ว แต่เน้นไปที่การเสี้ยมให้ประชาชนเยอรมันมีความก้าวร้าวครับ เพื่อตอบสนองนโยบายการขยายดินแดนของฮิตเลอร์
3
ซึ่งเมื่อฮิตเลอร์คิดที่จะรุกรานประเทศใด กระทรวงโฆษณาการก็จะเริ่มทำงานครับ โดยการแพร่ข่าวสารที่เป็นด้านลบของประเทศนั้น โดยเฉพาะประเด็นที่ชอบเล่นเลยก็คือ การกดขี่ชาวเยอรมันที่เป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นๆ (หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนเยอรมันถูกแบ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยครับ ซึ่งบางดินแดนก็ถูกแบ่งไปประเทศอื่นๆข้างเคียง ทำให้คนเยอรมันกระจัดกระจายไปตามประเทศข้างเคียงจำนวนมาก)
กระทรวงโฆษณาการได้ยกเรื่องดังกล่าวมาโจมตีรัฐบาลในประเทศนั้น เพื่อสุมไฟความเกลียดชังให้ประชาชนสนับสนุนให้ฮิตเลอร์เปิดฉากบุกประเทศนั้นๆอย่างชอบธรรม ไม่ใช่สร้างภาพให้กลายเป็นผู้นำบ้าสงครามอย่างไร้เหตุผล
1
อย่างใน ค.ศ.1938 ที่ฮิตเลอร์ตั้งใจจะขยายดินแดนและยึดซูเดเตนที่อยู่ในเชคโกสโลวาเกีย กระทรวงโฆษณาการจึงทำการปลุกระดม สร้างเรื่องราวการกดขี่ ข่มเหง รังแกชนกลุ่มน้อยเยอรมันในเชคโกสโลวาเกีย ทั้งยังลงข่าวว่าเชคโกสโลวาเกียมีท่าทีก้าวร้าวและพร้อมโจมตีเยอรมนีอยู่ตลอดเวลา สร้างความเชื่อให้ประชาชนว่า “เยอรมันไม่ได้เป็นฝ่ายก้าวร้าวหรือเริ่มก่อนนะ แต่เป็นเชคโกต่างหากที่เป็นฝ่ายก้าวร้าวเอง เยอรมันเพียงแค่เป็นฝ่ายตอบโต้เท่านั้น”
ซึ่งในที่สุดเมื่อสุมไฟความเกลียดชังมากเข้าๆ ก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนมาก แล้วฮิตเลอร์ก็ทำการบุกเชคโกสโลวาเกีย แล้วจัดการเผด็จศึกได้ในที่สุด
ภาพจาก www.ww2inprague.com (กองทัพเยอรมันในเชคโกสโลวาเกีย)
หลังจากบุกเชคโกแล้ว ฮิตเลอร์ก็ได้ใจครับ จึงมุ่งเป้าไปที่โปแลนด์ต่อ และแน่นอนว่ากระทรวงโฆษณาการก็เริ่มทำงานเหมือนเดิม โดยการเผยแพร่เรื่องราวการกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อยเยอรมันในโปแลนด์ ทั้งลงข่าวในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ “การกระทำอันโหดร้ายของชาวโปแลนด์ที่กระทำต่อเพื่อนร่วมชาติที่น่าสงสารของเรา” เรียกได้ว่าใส่สีตีไข่จนไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จเลยทีเดียวล่ะครับ
1
แต่ประชาชนก็ยังลังเลอยู่เกี่ยวกับการบุกโปแลนด์ เพราะกังวลว่าอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับอังกฤษและฝรั่งเศสแล้วเกิดสงครามขึ้นมา...
จนดร.เกิบเบิลส์ได้ใช้ไพ่ตาย คือการให้ทหารนาซีปลอมตัวเป็นทหารโปแลนด์ทำเป็นเข้ายึดสถานีวิทยุของเยอรมันแล้วพูดจาดูถูก ต่อต้านคนเยอรมันทางวิทยุกระจายเสียง เท่านั้นยังไม่พอครับ เพื่อให้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น ดร.เกิบเบิลส์ ได้นำศพของนักโทษที่ค่ายกักกันของเยอรมนีมาสวมเครื่องแบบของทหารเยอรมันและทหารโปแลนด์เพื่อสร้างสถานการณ์ว่ามีการปะทะกันขึ้นจริงๆ แล้วลงข่าวให้ประชาชนรับรู้
1
และในที่สุด เมื่อโดนโฆษณาชวนเชื่อคอนโทรล ประชาชนเยอรมันต่างโกรธแค้นและถึงคราวที่ “ยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด” ฮิตเลอร์จึงได้รับความชอบธรรม และทำการยาตราทัพบุกโปแลนด์ในที่สุดครับ แล้วก็มีการออกอากาศของกระทรวงโฆษณาการและดร.เกิบเบิลส์ว่า
“ครั้งหนึ่งเยอรมนีเคยเป็นชาติที่ทุกข์ทรมานที่สุดในโลก แต่บัดนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว แผ่นดินของเรากว้างใหญ่ขึ้นอีกครั้ง และภายใต้ความเก่งกาจและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้นำของเรา ความฝันของคนเยอรมันที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้อาณาจักรอันยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกำลังจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว”
การบุกโปแลนด์นับเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับความอดทนของอังกฤษและฝรั่งเศส
และแล้ว มหาสงครามที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ก็ได้เริ่มขึ้น...
และนี่คือผลงานของกระทรวงโฆษณาการ ที่สร้างรากฐาน เรื่องราวและความเชื่อมั่น ให้กับนาซีและฮิตเลอร์ โดยใช้อาวุธที่ร้ายกาจที่สุด คือ “การโฆษณาชวนเชื่อ”
ทั้งยังมีข้อคิดหนึ่งครับว่า สื่อมวลชนในประเทศประชาธิปไตยมีหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่สื่อมวลชนในประเทศเผด็จการ เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งของรัฐบาลที่ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการบริหารประเทศ
1
และสุดท้ายเราคงต้องยอมรับว่า สิ่งที่กระทรวงโฆษณาการได้ทำไว้ เป็นทั้งความยิ่งใหญ่และหายนะสำหรับคนเยอรมันอย่างแท้จริงครับ...
ภาพจาก The issue
อ้างอิง
Fisher, Klaus P. Nazi Germany. New York : The Continuum Publishing, 1995.
Spielvogel, Jackson. Hitler and Nazi Germany. New Jersy : Prentice hall, inc, 1992.
Wykes, Alan. The Nuremberg rallies. New York : Ballantine Book, inc, 1970.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา